ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่แก้ว เกสาโร
วัดละหารไร่
อ.เมือง จ.ระยอง
หลวงปู่แก้ว เกสาโร วัดละหารไร่ พระเกจิอาจารย์เข้มขลัง เชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์ ผู้เป็นดังเสือซ่อนเล็บ คู่บารมีหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ จ.ระยอง
◉ ชาติภูมิ
หลวงปู่แก้ว เกสาโร วัดละหารไร่ นามเดิมชื่อ “เชียงคำ คำมี” เกิดที่บ้านชนบท ต.ท่าฆ้อ อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันอังคาร เดือน ๖ ปีวอก ท่านเคยบวชเณรเมื่ออายุได้ ๑๕ ปีและเที่ยวหาอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณเพื่อศึกษาเล่าเรียน วิชาที่ท่านเรียนนั้นเน้นหนักไปทางคงกระพันชาตรีและมหาอุด ด้วยถูกจริตนิสัยของท่านที่ค่อนไปทางนักเลงมาแต่เด็ก ต่อมาก็ลาสิกขาไปเมื่ออายุได้ ๒๒ ปี
ช่วงชีวิตที่พลิกผันก็มาถึง เมื่อท่านเข้าพวกกับพรานป่าออกล่าสัตว์อยู่นานปีจนพลัดเข้าไปอยู่กับหมู่โจรโดยที่ท่านไม่ทราบมาก่อน ในที่สุดท่านก็จำยอมต้องเข้าพวกร่วมปล้นโดยมีเสือฉิ่งเป็นหัวหน้าและตัวท่านเป็นรอง
คาถาอาคมที่ท่านศึกษาเล่าเรียนมาได้ปรากฏชัดจนลือชื่อในระยะนี้เอง เพราะวันหนึ่งเสือฉิ่งคุมพวกเข้าปล้นบ้านนายบุญเพื่อเอาม้าเลี้ยงไปขาย หลวงปู่แก้วในขณะนั้นจึงโดดขึ้นหลังม้าเพื่อควบหนีไป ทว่านายบุญเจ้าของบ้านยกปืนส่องเข้ากลางหลังอย่างจังถึงกับตกจากหลังม้า
ผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหลายไม่ว่าโจรว่าเจ้าของบ้านต่างมั่นใจว่าท่านตายแล้วแน่ๆ ทันทีนั้นท่านก็ลุกพรวดพราดกระโดดขึ้นหลังม้าควบไปท่ามกลางความตกตะลึงของหมู่โจรและเจ้าบ้าน
ครั้นพวกเสือฉิ่งหนีกลับรังมาได้ก็ขอดูบาดแผลท่านเป็นการใหญ่ สิ่งที่เห็นเป็นแค่เพียงรอยช้ำเป็นจ้ำเป็นจุดเท่านั้น ลูกปืนยาวหาได้ระคายผิวท่านไม่
แต่นั้นมาลูกน้องทั้งหลายก็ขอให้ท่านเป็นผู้สักยันต์ให้ และคนเหล่านั้นได้กลายเป็นเสือติดปีกที่ปล้นฆ่าจนสร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้านเป็นอันมาก การปราบปรามของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ยังไม่สามารถทำอะไรโจรห้าร้อยพวกนี้ได้เลย
ท่านตั้งใจสักให้ลูกน้องเพื่อหวังคุ้มภัย แต่คนเหล่านั้นกลับไปเที่ยวก่อภัย ท่านเกิดความสลดสังเวชใจจึงเลิกสักให้ใครมานับแต่นั้น
สมัยฆราวาสท่านหนีอาญาบ้านเมืองไปอยู่ที่ใดท่านก็ได้ภรรยาที่นั้นทุกคราวไป ท่านหลบเจ้าหน้าที่มาเรื่อยและได้กบดานเงียบอยู่ที่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ถึง ๑๐ ปี ตำรวจก็รู้แหล่งอีกจนได้ ท่านจึงหนีลงมาอีกกระทั่งถึง ต.ตาสิทธิ์ (ต.หนองละลอก-ปัจจุบัน)
และที่นี่เองท่านได้พบพวกมิจฉาชีพด้วยกันเพราะตำบลนี้สมัยก่อนเป็นป่าดิบดงทึบ บรรดาเสือที่หนีการจับกุมของทางการพากันมารวมตัวที่นี่มากมาย เช่น เสือชู เสือเหี้ยม เสือไม้ รวมถึง เสือเชียงคำ คือท่านด้วย
ดังกล่าวแล้วว่าอยู่ไหนก็ได้เมีย ที่นี่ท่านก็มีอีกหนึ่งพร้อมให้กำเนิดบุตรชายอีกคนซึ่งได้รับการตั้งชื่อว่า ด.ช.เช้า คำมี ซึ่งต่อมาหลวงปู่ทิมได้อุปการะเด็กชายเช้าจนเติบใหญ่ได้ดีเป็นถึงแพทย์ประจำตำบล
◉ อุปสมบท
หลวงปู่แก้ว ใช้ชีวิตระหกระเหินจนเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายในชีวิตที่ผ่านมา ท่านนึกถึงความชั่วร้ายที่ท่านก่อไว้เป็นอันมากในอดีตก็ยิ่งสลดใจ ท่านจึงตัดสินใจบวชพระเมื่ออายุได้ ๖๐ ปี ณ พระอุโบสถวัดหวายกรอง โดยมี หลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เกียง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์สวัสดิ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “เกสาโร”
บวชแล้วท่านยังได้ต่อวิชากับพระอาจารย์เกียงซึ่งเป็นพระชาวเขมรจนเจนจบ ต่อมาได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดละหารไร่ และได้ต่อวิชาอีกกับหลวงปู่ทิม ท่านได้เห็นความเก่งกล้าสามารถในวิชาอาคมและอำนาจจิตตานุภาพที่กล้าแข็งของหลวงปู่ทิม ท่านจึงยอมรับหลวงปู่ทิมว่าเก่งจริงจนหมดใจ ถึงกับเรียกหลวงปู่ทิมอย่างเคารพสูงสุดว่า “คุณพ่อ”
หลังจากบวชแล้วท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดละหารไร่ วัดแม่น้ำคู้ และวัดหนองมะปริง โดยแวะเวียนไปจำพรรษาแห่งละ ๓-๔ เดือน แล้วแต่ความพอใจของท่าน หลวงปู่แก้ว มีความเคารพหลวงปู่ทิมมาก ถึงขนาดเรียกท่านว่าพ่อ ทั้งๆ ที่หลวงปู่แก้วอ่อนอาวุโสกว่า หลวงปู่ทิม เพียง ๒ ปีเท่านั้น มีคนเคยกล่าวว่า สาเหตุที่หลวงปู่แก้วต้องย้ายวัดจำพรรษาตลอดเวลา เพราะท่านไม่อยากดังกว่าหลวงปู่ทิม
ต่อมา หลวงปู่แก้ว ก็เริ่มมีชื่อเสียงด้วยการสรรเสริญจากปากขององค์อาจารย์คือหลวงปู่ทิมบ่อยครั้ง ผู้คนจึงเริ่มเข้าหาท่านโดยขอตะกรุดบ้าง ผ้ายันต์บ้าง และที่สร้างชื่อให้ท่านมากคือการสักยันต์ ซึ่งส่วนมากการสักของท่านจะเป็นการสักน้ำมันเสียทั้งนั้น
นอกจากจะเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว หลวงปู่แก้ว ยังเป็นพระมีวิชาอาคมไม้แพ้ใครในแผ่นดิน ท่านจึงถือสัจจะยิ่งชีวิตของท่าน อาคมของท่านจึงไม่เคยเสื่อมไปตามสังขาร ท่านรักในความสันโดษ รักในความสงบ ท่านไม่ใคร่อยู่ที่ไหนนานๆ เที่ยวจาริกธุดงค์ไปที่นั่นที่นี่ เพื่อบำเพ็ญสมณะธรรม จนสังขารท่านไม่เอื้ออำนวยในการเดินทางไปมา ท่านจึงเลือก “วัดหนองพะวา” เป็นที่สุดท้าย ที่ท่านจะทิ้งร่างกายคืนเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ สู่ธรรมชาติ หลวงปู่แก้วจำพรรษาอยู่วัดหนองพะวากว่าสิบปีจึงมรณภาพ และฌาปนกิจศพท่านที่วัดแห่งนี้ ว่ากันว่า บั้นปลายของหลวงปู่แก้ว ท่านเร่งความเพียรจนได้ธรรมะในขั้นพระสกิทาคามี เป็นพระอริยะบุคคลรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา
ในบั้นปลายชีวิตหลวงปู่แก้ว บำเพ็ญสมณะธรรมอยู่ที่วัดหนองพะวานั้น ท่านได้อธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลไว้หลายอย่าง เช่น พระกริ่งเก้าแก้ว รูปหล่อขนาดห้อยคอ และเหรียญรูปเหมือน เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันโด่งดัง แม้จะมีเงินก็ยังหาของแท้ๆ มาบูชาได้ยาก นอกจากนี้ท่านยังทำผงวิเศษไว้หลายอย่าง อาทิ “ผงจินดามณี” อันเป็นวิชาเอกของท่าน ที่เป็นยอดแห่งเมตตามหานิยม “ผงเม็ดแร่เสก” ซึ่งท่านประจุพลังแห่งธาตุสี่ ที่ท่านสำเร็จและเชี่ยวชาญมากที่สุด น้ำมันสัก น้ำมันงา น้ำมันจันทน์ น้ำมันเสือ และน้ำมันช้าง ยอดแห่งน้ำมันที่มีคุณในตัวเอง ซึ่งหลวงปู่แก้วปลุกเสกมอบให้วัดหนองพะวา ท่านบอกศิษย์ใกล้ชิดว่า ในอนาคตวัดหนองพะวาจะมีการสร้างวัตถุมงคลในภายภาคหน้า ท่านจึงสร้างและเสกผงและมวลสารเหล่านี้ไว้ให้ แทนความเข้มขลัง แทนความศักดิ์สิทธิ์จากตัวท่าน
และก่อนที่หลวงปู่ทิมจะมรณภาพ ท่านสั่งให้ หลวงปู่แก้ว เจริญธาตุทั้ง ๔ คือ “นะ มะ พะ ทะ” ตัวเดิมที่เคยทำให้เกิดฤทธิ์เกิดเดชอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ให้พิจารณาจนถึงแก่นแท้ คือ แม้แต่ธาตุทั้ง ๔ อันเป็นแม่ธาตุใหญ่ของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลก็ยังเป็นเพียงสมมุติต้องแตกดับเช่นกัน ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเที่ยงแท้แน่นอน ให้พิจารณาจนถึงขั้นธาตุทั้งหลายทั้งปวงที่ประกอบเป็นตัวเราตัวเขาแตกดับเป็นจุล แล้วก็จะหมดสุขหมดทุกข์ได้เช่นกัน เรียกว่า เจริญพระกรรมฐานธาตุ
◉ ด้านวัตถุมงคล
สำหรับ วัตถุมงคลต่างๆที่ หลวงปู่แก้ว ปลุกเสกมีประสบการณ์มากมาย ไม่เป็นรองพระเกจิท่านใด ในขณะที่พระเครื่องของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ราคาไปไกลมาก แถมของเก๊มีเพียบ ดังนั้นลูกศิษย์สาย หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จึงหันมาเก็บพระของ หลวงปู่แก้ว เพราะรู้ดีว่าพุทธคุณไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แถมราคาก็สมเหตุผล ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ หลวงปู่แก้ว มีอายุได้ ๙๕ ปี ได้มีการสร้างเหรียญปิดตา ถวายหลวงปู่แก้ว ปลุกเสก ซึ่งเหรียญรุ่นนี้หลวงปู่แก้ว ได้นำแช่ในน้ำมันงาที่ปลุกเสกทุกองค์ ซึ่งช่วยเพิ่มพูนอานุภาพด้านคงกระพัน หนังเหนียว นอกจากหลวงปู่แก้ว ปลุกเสกแล้ว ยังมีพระเกจิอีกหลายรูปมาร่วมปลุกเสกด้วยเช่น หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพีล หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส เป็นต้น ในพิธีปลุกเสกได้เกิดเหตุอัศจรรย์มีลมพยุหมุนพัดเข้ามาในบริเวณพิธี จนหลวงปู่โต๊ะ ได้กล่าวกับลูกศิษย์ว่าพิธีนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก เหรียญปิดตา หลวงปู่แก้ว ทุกองค์จะมีการตอกโค้ด ถ้าเป็นเนื้อนวโลหะ จะมีโค้ดอยู่ด้านขวามือเรา บริเวณฐานพระ ส่วนด้านหลังจะมีตอกหมายเลขทุกเหรียญ จำนวนสร้างไม่เกิน ๑,๐๐๐ เหรียญ ส่วนเนื้อทองแดง มีตอกโค้ดอย่างเดียวด้านซ้ายมือครับ เนื้อเงินและทองคำก็มีสร้างเช่นกันครับ นอกจากนี้ก็มีเหรียญแบบแจกกรรมการตอกหมายเลข ๙๕ และมี ๒ โค้ด หายากมาก
เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๗ เวลา ๑๒.๑๙ น. ได้เกิดพระกริ่งขึ้นชนิดหนึ่งถอดแบบจากพระกริ่งจีนเล็กรุ่นหนึ่งของ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เมื่อหล่อหลอมเนื้อผสมด้วยดีบุก ตามเคล็ดที่หลวงปู่แก้ว บอกว่า ดีแล้วจึงบุก ก็ต้องเอาดีบุกผสม นำไปถวายหลวงปู่แก้วเพื่อปลุกเสกบรรจุพุทธานุภาพ โดยทำพิธีบวงสรวงประกอบด้วยหัวหมู บายศรี ราชวัตร ฉัตรธง ภายในกุฏิของ หลวงปู่แก้ว ในการประกอบพิธีกรรมครั้งนี้ได้มีการบันทึกภาพเหตุการณ์ทั้งหมดได้ด้วย มีการถ่ายภาพด้วยกล้องถ่ายภาพชนิดดียี่ห้อนิคคอน เอฟเอ็ม๒ ภาพที่ถ่ายทุกภาพใช้แฟลทไลท์ช่วยเพราะในห้องหลวงปู่แก้วค่อนข้างมืด และก็เป็นการมหัศจรรย์ มีภาพๆหนึ่งที่ถ่ายในพิธีการครั้งนี้ เกิดความแปลกประหลาด จนยากจะหาเหตุผลธรรมดามาพิสูจน์ได้ คือ มีภาพหลวงปู่แก้วอยู่ภาพหนึ่ง ปรากฏมีแสงไฟพุ่งออกจากจมูกของหลวงปู่แก้วเป็นช่อดวงไฟ ช่อมีความสว่างกว่าแสงเปลวเทียนที่จุดประกอบพิธีหลายเท่า
เมื่อปรากฏภาพนี้เกิดขึ้น พิจารณาจากฟิล์มต้นฉบับพร้อมทบทวนเหตุการณ์ปรากฏว่า แม้แต่ในฟิล์มเองก็มีลำแสงไฟนี้ด้วย และพยายามพิสูจน์กันหลายๆสิบตาจนในที่สุดต่างก็ยอมรับว่าภาพนี้ไม่มีการตบแต่งเพิ่มเติมแต่อย่างใด เกิดเองตามธรรมชาติ ชนิดนอกเหตุเหนือผล เพราะแสดงไฟที่ปรากฏขึ้นทุกคนไม่มีใครเห็นด้วยตาเปล่าหรือตาเนื้อเลยในขณะประกอบพิธีและถ่ายภาพ เมื่อปรากฏภาพนี้ขึ้นได้แล้ว
เมื่อวันไปรับพระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโรชุดนี้กลับเมื่อ พฤหัสบดีที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๗ รวมเวลาที่หลวงปู่แก้วปลุกเสกพระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโรทุกคืนแล้ว เป็นเวลานานถึง ๕๖ คืน เท่ากับกำลัง ๕๖ ของพระพุทธคุณ
การสร้างพระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโร เป็นพระกริ่งกฤตยาคมแฝด เมื่อหลวงปู่แก้วปลุกเสกเสร็จแล้วก็จะนำไปให้หลวงพ่อเริ่ม ปรโม ปรมาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอีกองค์หนึ่งในภาคตะวันออกปลุกเสกอีกองค์หนึ่ง แต่เมื่อนำหีบใส่พระกริ่งทั้งหมดไปให้หลวงพ่อเริ่มๆ ท่านเห็นแล้วบอกว่าไม่ต้องปลุกเสกอีกแล้ว หลวงปู่แก้วท่านทำไว้ดีแล้ว สุดยอดแล้ว แต่เพื่อให้สมกับชื่อที่ตั้งไว้ว่าเป็นพระกริ่งกฤตยาคมแฝด ระหว่างหลวงเก่งแต่ไม่ดัง(คือหลวงปู่แก้ว) และหลวงพ่อทั้งดังทั้งเก่ง(คือหลวงพ่อเริ่ม) หลวงพ่อเริ่มท่านจึงอัญเชิญครูบาอาจารย์ สวดสรรเสริญพุทธคุณให้ดังๆ จบหนึ่ง
ท่านบอกว่าหลวงปู่แก้วทำไว้ดีสุดยอดแล้ว เมื่อวันไปรับพระกริ่งชุดนี้จาก หลวงปู่แก้ว ก็ได้นำภาพ ๔ สีซึ่งเป็นภาพที่ปรากฏไฟออกทางจมูกให้ท่านดูด้วย ปกติหลวงปู่แก้วท่านตามืดสนิทมองภาพอะไรต่อมิอะไรด้วยตาเนื้อไม่เห็นแล้ว แต่ผมก็ยกภาพวางไว้ต่อหน้าท่าน ท่านมีอาการสงบนิ่งเงียบมาก สักครู่ก็พูดออกมาว่า แปลกดีเป็นเรื่องที่เกิดเหนือเหตุเหนือผลเวลาที่นี่ (นี่คือสรรพนามที่ท่านเรียกตัวท่านเอง)
ปลุกเสกก็เริ่มจากธาตุทั้ง ๔ เต็มที่แล้วก็เรียกอาการ ๓๒ ให้บังเกิดเป็นภาพนิมิตเป็นกายสิทธิ์ เพื่อประกอบเป็นองค์พระขึ้นมา เพื่อให้มีชีวิตจิตใจจะเรียกว่าเป็นการปลุกให้บังเกิดเทพขึ้นมารักษาหรือประจำพระกริ่งชุดนี้ก็ได้ หลวงปู่แก้วท่านกล่าวให้ฟังอย่างนี้ เมื่อถามท่านอีกว่า แล้วภาพไฟที่พุ่งออกจากจมูกท่านเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านบอกว่าเวลา เจริญธาตุทั้ง ๔ นะ มะ พะ ทะ หรือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เต็มที่นั้น ถ้าใครได้ตาใน(คงจะหมายถึงตาทิพย์) ก็จะเห็นแสงไฟคลุมพระเครื่องนั้นทั้งหมด กล้องถ่ายรูปมันก็เป็นตาวิเศษเลยจับภาพนั้นได้ นับเป็นการประหลาดที่ยากจะอธิบายด้วยเหตุผลธรรมดาๆ ได้
นอกจากนั้นยังได้เรียนถามหลวงปู่แก้วถึงการปลุกเสกพระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโร นี้ต่อไปอีกว่า นอกจากเจริญธาตุ เรียกอาการ๓๒ แล้ว หลวงปู่ปลุกเสกอย่างไรอีก ท่านบอกว่า ใช้วิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาทั้งหมดบรรจุเข้าไปด้วย แล้วสวดบรรจุด้วยอำนาจพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ทุกบทที่ใช้อยู่สวดอยู่ รวมทั้งชินบัญชรคาถาที่กล่าวอัญเชิญอานุภาพของพระอรหันต์มาบรรจุลงด้วย เสร็จแล้วก็สวดบรรจุด้วยยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฏกทุกคืน ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฏกนี้สำคัญมากกล่าวถึงพุทธานุภาพทุกอย่างตั้งแต่ โสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล ไปจนถึง อรหันต์มรรค อรหันต์ผล
สุดท้ายหลวงปู่แก้วท่านบอกว่า ท่านเข้าสทาคามีผลเสก ซึ่งทำให้คิดได้ว่า หลวงปู่แก้วอย่างน้อยท่านคงบรรลุคุณธรรมขั้นสทาคามีผลแน่ ท่านจึงเอาคุณธรรมที่ท่านบรรลุบรรจุเข้าไว้ในพระกริ่งชุดนี้ด้วย เพราะท่านเคยบอกว่า ท่านพิจารณาธาตุทั้ง ๔ ตามที่คุณพ่อสอน (หมายถึงหลวงปู่ทิม หลวงปู่แก้วแม้จะอายุอ่อนกว่าหลวงปู่ทิมเพียง๒ ปีและเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่ท่านเรียกหลวงปู่ทิม ว่าท่านพ่อหรือคุณพ่อ ด้วยความเคารพทุกคำ) จนดับสุขดับทุกข์หมดแล้วจิตมันเฉยๆ
แม้ตาท่านจะมองไม่เห็น ก็ไม่เป็นทุกข์เวลาจะเบา(ปัสสาวะ) แม้จะเจ็บปวดทรมานมาหลายปีก็ไม่เป็นทุกข์ จิตมันเฉยๆ ท่านบอกว่าท่านนึกถึงทางนิพพานทุกลมหายใจเข้าออกไม่เคยลืม!
ก่อนที่จะรับพระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโร กลับได้เรียนถามหลวงปู่แก้วว่า พระกริ่งนี้ดีทางไหน ท่านบอกว่าดีทุกทางแล้วแต่จะนึกเอา (อธิษฐานเวลาใช้) นับเป็นพระเครื่องชั้นสุดยอดของท่านและท่านบอกว่า ต่อจากนี้ไปท่านจะไม่ปลุกเสกพระเครื่องอะไรอีกแล้ว เพราะสังขารมันแก่เต็มที จนจะไม่ไหวแล้ว
พระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโรจึงเป็นพระกริ่งรุ่นแรกและรุ่นสุดท้ายหรือรุ่นเดียวของท่าน คุณชินพร สุขสถิตย์ เองแม้จะเป็นผู้สร้างเหรียญรุ่นแรกตอนหลวงปู่แก้วอายุ ๙๔ ปีเมื่อปี ๒๕๑๘ มาครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม ก็ยังไม่กล้าจะสร้างอะไรต่อมิอะไรของหลวงปู่แก้วออกมาอีกเพราะกลัวญาติโยมจะไม่ศรัทธา จวบจนเมื่ออีก ๑๐ปี ให้หลังท่านบอกให้สร้างรูปเหมือนรุ่นแรก ซึ่งออกจำหน่ายเมื่อปลายเดือนกรกฏาคม ๒๕๒๗ นี้
เพื่อจะได้หาเงินไว้ทำศพท่านเพราะหลวงปู่แก้วท่านเป็นพระจนๆ ลูกหลานก็ล้วนแต่ยากจน เมื่อท่านมรณภาพแล้วท่านคงเกรงว่าจะทำความเดือดร้อนให้ลูกหลาน จึงให้สร้างรูปหล่อรุ่นแรกของท่านขึ้นเพื่อเตรียม หาปัจจัยไว้ทำศพท่าน
เมื่อสร้างรูปเหมือนรุ่นแรกนี้แล้วก็มีเหตุแปลกๆที่ให้เชื่อว่า หลวงปู่แก้วท่านไม่ใช่พระแก่ๆ ธรรมดาๆ เป็นแน่เพราะมีข้อสังเกตุที่จดจำได้ดังนี้
๑.เมื่อท่านขอให้สร้างรูปเหมือนรุ่นแรก ขณะนั้นท่านมีอายุ ๑๐๓ ปีเต็มแล้ว แต่ท่านเจาะจงหาจารึกไว้ที่หลังรูปเหมือนว่า อายุ ๑๐๑ปี โดยท่านบอกว่าท่านเกิดที่จังหวัดร้อยเอ็ด ให้ใส่เลข ๑๐๑ เพื่อเป็นการระลึกถึงบ้านเกิดท่าน และท่านเน้นว่าเลข ๑๐๑ เป็นเลขดี เสร็จแล้วนำรูปหล่อของท่านให้บูชา เมื่อ ๑๓ กรกฏาคม ๒๕๒๗ ผู้ที่เช่าไประหว่างนั้น ถ้าชอบเล่นหวยทั้งใต้ดินบนดินมักจะถูกหวยทุกราย เพราะหวยรัฐบาลเลขท้าย ๒ ตัวงวดวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๗ ออก ๐๑
๒.รูปหล่อหลวงปู่แก้วออกจำหน่ายหมดในเวลาไม่นานนักนำรายอื่นๆ ไปชนิดกินขาด ทั้งๆ ที่เรื่องราวของหลวงปู่แก้วเงียบหายไปจากความทรงจำของนักนิยมพระเครื่องมากว่า ๑๐ ปีแล้ว
๓.มีผู้ใช้หลายรายประสบเหตุการณ์หลายอย่างเล่าให้ฟังว่า เรารูปหล่อหลวงปู่แก้วแช่น้ำพรมของๆขายดี ของขายหมดทุกวัน
๔.มีนักลองพระเอาไปทดลองยิงอย่างชนิดเผาขน ปรากฏว่านัดแรกยิงออกแต่ไม่ถูก นัดที่สองจ่อเข้าไปใกล้ๆเกิดยิงไม่ออก
๕.หลายรายปรากฏว่ามีโชคลาภติดๆกัน มีอยู่รายหนึ่งเกิดจำเป็นต้องใช้เงิน และหาไม่ได้ ตกกลางคืนนำรูปหล่อมาจุดอธิษฐานขอโชคลาภ จดหมายมาเล่าให้ฟังว่า ธูปงอเป็นเลข ๑ กับเลข ๓ จึงแทง ๑๓ หวยรัฐบาลก็ออกตามนั้น
๖.เมื่อหล่อรูปเหมือนชุดนันเสร็จ นำไปให้หลวงปู่แก้วดู ตาท่านมองไม่เห็นแต่ท่านหยิบมาคลำๆ ตรงหน้า ท่านบอกว่า เหมือนแต่หนุ่มไปหน่อย ปากทำได้คล้ายมาก ก็เมื่อตาท่านบอดสนิทมองไม่เห็นแล้ว แต่ท่านบอกได้อย่างไรว่าช่างแกะปากท่านเหมือนแต่หนุ่มไปหน่อย เพราะนำภาพเก่าถ่ายเมื่อตอนอายุท่าน ๙๓ ไปเป็นแบบให้ช่างแกะพิมพ์ พระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโร นับเป็นพระเครื่องชุดสุดท้ายที่หลวงปู่แก้วปลุกเสกให้อย่างเต็มใจ เป็นพิเศษนานถึง ๕๖ วันอันเท่ากับกำลังพระพุทธคุณ
ลูกชายคนสุดท้องของหลวงปู่แก้วซึ่งมีนิวาสถานอยู่ติดกับวัดหนองพวา เป็นผู้ดูแลรับใช้หลวงปู่แก้วอย่างใกล้ชิดเล่าให้ฟังว่า
ตั้งแต่คืนวันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๗ จนถึงคืน วันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๗ รวมเวลา ๕๖ คืนเต็ม ตั้งแต่เวลาสองนาฬิกา หลวงปู่แก้วจะลุกขึ้นนั่งทำสมาธิแล้วปลุกเสกพระกริ่งซึ่งบรรจุไว้ในหีบเหล็กทุกคืนมิได้ขาด เช้าบางวันหลวงปู่แก้วจะเอาศีรษะของท่านซบอยู่บนหีบเหล็กในลักษณะใช้มือทั้งสองข้างแตะหีบเหล็กแล้วปลุกเสกจนหลับไป
แต่เข้าใจว่าท่านคงเข้าสมาธิถึงขั้นสุดยอดโดยเอาหน้าของท่านพาดไว้กับหีบเหล็กมากกว่า เพราะปกติเวลาหลวงปู่แก้วนั่งท่านจะก้มหน้าลงมามาก
เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๗ เป็นวันที่ไปรับพระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโร เมื่อไปถึงคณะต่างแปลกใจเพราะหลวงปู่แก้ว ท่านนั่งครองจีวรอย่างเรียบร้อยซ้ำกำลังสูบบุหรี่ ซึ่งม้วนจากใบจากอย่างอารมณ์ดี ท่าทีคล้ายนั่งคอยอยู่ รู้สึกว่าท่านแข็งแรงมาก เสร็จแล้วก็มอบหีบเหล็กใส่พระกริ่ง แก่คณะคุณชินพร สุขสถิตย์
พระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโร ถอดพิมพ์จากพระกริ่งจีนเล็กอันเป็นแบบเดียวกันเจ้าคุณศรี (สนธ์) สร้างเป็นพระกริ่งแล้วประทานชื่อ พระกริ่งจาตุรงคมุนี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๐ อันจัดเป็นพระกริ่งมีชื่อองค์หนึ่งของสำนักวัดสุทัศน์
พระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโร เป็นพระกริ่งขนาดกระทัดรัดที่ใช้ห้อยคอได้ทั้งหญิงและชาย เพราะขนาดไม่เล็กจนเกินไป และไม่ใหญ่นัก ฐานกว้างสุดที่บัว ๑.๙ ซ.ม. สูงจากฐานล่างถึงพระเกศ ๓.๓ ซ.ม.
มูลเหตูที่ตั้งชื่อว่า พระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโร เพราะพระกริ่งชุดนี้ได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในวันคล้ายวันมรณภาพครบ ๙ ปี ของ หลวงปู่ทิม อิสริโก เป็นประการแรก ประการที่สองได้นำวัตถุมงคล ๙ ชนิด ที่มีชื่อว่าแก้ว ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับหลวงปู่แก้ว มาผสมรวมเป็นองค์พระกริ่งชุดนี้ขึ้น
แก้ว เป็นนามอันนับเป็นมงคล เพราะเป็นธาตุที่แข็งและแสดงถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องพ้นจากกิเลสตัณหาและมลทินทั้งสิ้นทั้งปวงชของพระอริยสงฆ์ ซึ่งเรียกว่า ใสประดุจแก้ว จึงเห็นควรที่จะนำเอาวัตถุมงคลที่มีชื่อว่า แก้วมาหลอมร่วมเป็นพระกริ่งชุดนี้ คือ
๑.เศษโลหะจากองค์พระแก้วมรกต ซึ่งกำลังซ่อมบุษบกอยู่โดยนายช่างจากกรมศิลปากรมอบให้
๒.โลหะจากยอดปราสาทวัดพระแก้ว (ได้จากบุคคลเดียวกับข้อ ๑)
๓.ตะกรุดวัดพระแก้ว จากหอศาตราคม เป็นตะกรุดโบราณที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่แม่ทัพนายกองเวลา ออกศึก
๔.เมื่ออธิษฐานแล้วหลอมเหรียญพระแก้วมรกตรุ่นฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี พ.ศ ๒๔๗๕ ลงไป ๙ เหรียญ และรุ่น ฉลอง ๒๐๐ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ อีก ๙ เหรียญ
๕.แผ่นยันต์ผ้า และเหรียญหลวงปู่แก้ว (พระเทพสาครมุนี) วัดช่องลม สมุทรสาคร
๖.เหรียญอาจารย์แก้ว คำวิทูร ฆราวาสผู้เรืองนาม
๗.พระปิดตาเนื้อตะกั่วค่อนข้างชำรุด ของหลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์ ชลบุรี
๘.น้ำในสระแก้ว จังหวัดนครราชสีมา ใช้สำหรับแช่พระกริ่งในระหว่างหล่อเป็นองค์พระ
๙.วัตถุมงคลของหลวงปู่แก้ว เกสาโร ซึ่งได้สร้างไว้ในรุ่นก่อนๆ พร้อมทั้งแผ่นยันต์และนะซึ่งท่านปลุกเสกให้
นอกจากวัตถุมงคลอันมีนามว่า แก้วทั้ง ๙ สิ่ง แล้วยังได้รวมกับชนวนพระกริ่งชินบัญชร พระชัยฟ้าลั่น พระกริ่งปรโม ของหลวงปู่เริ่ม ตลอดจนเนื้อพระกริ่งปรโม ในส่วนที่เหลือจากหล่อพระกริ่งปรโมและพระชัยบูชาประจำตระกูล พระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโร เป็นพระกริ่งกฤตยาคมแฝด คือ หลวงปู่แก้ว เกสาโร และ หลวงพ่อเริ่ม ปรโม วัดจุกกะเฌอ ท่านรู้จัก หลวงปู่แก้ว มานานแล้ว เพราะหลวงพ่อเริ่มบวชใหม่ๆ หลวงปู่แก้วท่านยังไม่ได้บวชและเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทางนักเลงจนเรียกว่า เสือ หลวงพ่อเริ่มท่านเล่าว่า เสือแก้ว เสือที เสือคง เสือฉิ่ง เป็นเสือที่ดังมากในย่าน พนัสนิคม สัตหีบ ศรีราชา ระยอง แกลง ผลที่สุดก็ถูกยิงตายหมด เหลือรอดอยู่แต่ เสือแก้ว คนเดียว ภายหลังได้หันเข้าหาผ้าเหลือง อุทิศตัวรับใช้พระศาสนาและหาทางหลุดพ้น
หลวงพ่อเริ่มท่านเล่าว่า เมื่อครั้งหลวงปู่แก้วบวชหามีดโกนกันหลายเล่มเพราะ แม้แต่ผมยังโกนไม่เข้า ต้อนทำพิธีถอนกันอยู่นานจึงโกนหัวได้ ท่านบอกว่า ไม่เคยเห็นคนอะไรเหนียวเป็นบ้าเป็นหลัง พระกริ่ง ๙ แก้ว เกสาโรจึงเป็นพระกริ่งกฤตยาคมแฝด ซึ่งยังไม่มีใครเคยสร้างมาก่อนในยุคพระกริ่งเฟื่องฟู สร้างทั้งหมด ๓ เนื้อ คือ
๑.เนื้อสัมฤทธิเดช สร้างจำนวน ๑,๙๗๘ องค์ เป็นเนื้อผสมของทองเหลืองและดีบุก ขันสัมฤทธิ์เก่าๆ หลวงปู่แก้วท่านเน้นให้เอาดีบุกมาผสมด้วยเพื่อเป็นเคล็ดว่า ดีแล้วจึงบุก ให้เรียกชื่อตามโบราณาจารย์ว่า สัมฤทธิ์เดช เนื้อออกคราบเก่าแบบพระสมัยโบราณ
๒.เนื้อนวโลหะ เป็นเนื้อตามสมัยนิยมในปัจจุบัน เป็นเนื้อที่เหลือจากพระกริ่งปรโม มีจำนวนเพียง ๔๙๙ องค์
๓.เนื้อเงินสัมฤทธิผล เป็นเนื้อของโลหะสัมฤทธิเดช ร้อยละ ๑๕ ผสมกับเนื้อนวโลหะอีกร้อยละ ๗๐ เป็นเนื้อเงินเก่า มีเงินพดด้วง เหรียญเงินรัชกาลที่ ๕ – ๖ -๗ และผสมด้วยเงินกลมตรายันต์ สร้างน้อยมาเพียง ๓๐ องค์
และในการสร้างพระกริ่งแต่ละครั้งจำนวนมากถึง ๒,๐๐๐ กว่าองค์ก็จะมีพระที่เผื่อชำรุดไว้จำนวนหนึ่ง จึงได้เอาพระกริ่งที่เหลือประมาณ ๒๐๐ กว่าองค์มาอุดด้วยผงจินดามณีของหลวงปู่แก้วและผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม อิสริโก ที่เก็บรักษาไว้ แล้วได้นำเข้าพิธีปลุกเสกในพิธีสำคัญๆ อีกหลายครั้งทั้งของวัดสุทัศน์ วัดบวร พิธีหล่อพระกริ่งมหาโสฬสของหลวงปู่ทิมเมื่อ ๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และได้เข้าพิธีของ หลวงพ่อเกษม เขมโก อีกถึง ๓ ครั้ง
และสุดท้ายได้นำไปให้หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร หรือสำเร็จแก้วปลุกเสกพร้อมด้วยล๊อกเก็ตรุ่นแรก (ฝังเหรียญ ร.๙) ในกล่องเดียวกับพระเศรษฐีนวโกฏิ เมื่อ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๖ และในครั้งที่เข้าร่วมในพิธีเททองหล่อพระกริ่งชินบัญชรมหาโสฬส นั้น ได้นำพระกริ่งเก้าแก้วที่อุดผงนี้แช่ไว้ในตุ่มน้ำมนต์ที่ใช้ปักเทียนชัย และได้แช่ทั้งไว้ปีเศษ เมื่อนำพระเหล่านี้ขึ้นมาจากตุ่มน้ำมนต์ ก็ปรากฏว่าผิวพระเหล่านี้มีสนิมสีแดงจับหนาสวยงามมาก จึงเรียกชื่อว่า กริ่งกวนอู ได้ออกให้บูชาในเวลาต่อมา