ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่สุภัทธ์ ปุญฺญาคโม
วัดสุขโขวนาราม
อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
หลวงปู่สุภัทธ์ ปุญฺญาคโม ท่านมีนามเดิมว่า “สุภัทธ” นามสกุล “มารุวรรณ์” ท่านเกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๑ ที่บ้านเลขที่ ๑๘ หมู่ที่ ๓ บ้านกุดน้ำใส ต.กุดน้ำใส อ.จตุรภักษ์พิมาน จ.ร้อยเอ็ด โยมบิดาชื่อว่านายมา มารุวรรณ์ โยมมารดาชื่อว่านางลุน มารุวรรณ์ โยมบิดาโยมมารดาของหลวงปู่ มีอาชีพทำนาและปลูกพืชไร่ หลวงปู่สุภัทธ ท่านเป็นบุตรคนที่ ๓ ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๘ คน เป็นชาย ๓ คน และหญิง ๕ คน
หลวงปู่สุภัทธ์ ท่านได้ให้ความเมตตาเล่าให้ฟังว่าในวัยเด็กนั้นหลวงปู่มักจะติดตามโยมมารดาไปยังที่ต่างๆ เสมอ จากการที่ติดตามโยมมารดานี้เอง ทำให้หลวงปู่ได้นิสัยใฝ่ธรรมมาตั้งแต่เด็กๆ กล่าวคือโยมมารดาของท่านชอบทำบุญ และไปวัดอยู่จำศีลภาวนาเสมอๆ โดยเฉพาะวันโกนวันพระ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เด็กชายสุภัทธ มารุวรรณ์ จึงมีโอกาสไปวัดและคุ้นเคยกับวัดคุ้นเคยกับพระสงฆ์องค์เจ้ามาตั้งแต่เยาว์วัย
หลวงปู่สุภัทธ์ ปุญฺญาคโม ท่านมีความศรัทธาต่อการบวชได้รับการโน้มน้าวจิตใจ คิดอยากจะบวชเรียนอย่างพระเณรในวัดตามที่ท่านได้พบเห็นมา โดยปกติในชีวิตชาวชนบททั่วไป ประชาชนจะมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ในเรื่องวัดวาเรื่องพระศาสนาเป็นอย่างยิ่งในวันพระชาวบ้านจะช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดบริเวณวัด ศาลาการเปรียญ หอฉันตลอดจนห้องพระและพระอุโบสถร่วมกัน นับเป็นความร่วมมือร่วมใจที่ดีงามอย่างยิ่ง
เมื่อถึงวันพระชาวบ้านจะนำอาหารคาวหวานใส่เป็นสำรับ หรือปิ่นโต นำมาทำบุญที่วัดกัน ส่วนวันธรรมดาก็จะพากันตักบาตรพระเป็นประจำทุกเช้า ซึ่งพระสงฆ์จะเดินเรียงแถวมารับบิณฑบาตในหมู่บ้านและชาวบ้านจะพร้อมเพรียงกันออกมาตักบาตรเป็นภาพที่ประทับใจอย่างยิ่ง ในวันพระหลังจากพระฉันเสร็จแล้ว ญาติโยมรับอนุโมทนาแล้วถือศีลอุโบสถตามความสมัครใจแล้ว ก็อยู่ปฏิบัติภาวนาไปตลอดคืน จนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่
ส่วนชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้รับศีลอุโบสถก็จะร่วมใจกันถากถางหญ้าป่าพงบริเวณวัด ปัดกวาดบริเวณวัดจนสะอาดบางคนก็เข้าไปขัดทำความสะอาดห้องน้ำ มองดูเจริญตาเจริญใจเสร็จแล้วก็พากันกลับบ้านเพื่อประกอบภาระกิจของตนต่อไป
หลวงปู่สุภัทธ์ ปุญฺญาคโม ท่านคุ้นภาพที่ดีงามเหล่านี้ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กชายสุภัทธ มารุวรรณ์ ตัวเล็ก ๆ ภาพแห่งการเป็นพระที่ดี ฝังจิตใจของท่านมาตั้งแต่สมัยนั้นในช่วงเยาว์วัย ที่หลวงปู่ใช้ชีวิตอยู่กับบิดามารดาท่านก็ได้ช่วยเหลือกิจการต่าง ๆ ภายในบ้าน เช่น ทำนา ทำสวนและช่วยงานในบ้านเยี่ยงเด็กผู้ชายในชนบททั่วไป
ภายในจิตใจของหลวงปู่ท่านใฝ่ฝันที่จะบวชเป็นเณรเป็นพระอยู่ตลอดเวลา ด้วยเพราะถูกอัธยาศัยและเห็นการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของพระสงฆ์ในวัดที่หมู่บ้าน ท่านจึงขออนุญาตบิดามารดาไปบวช หลังจากหลวงปู่ได้เรียนจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ซึ่งเป็นการเรียนที่สูงสุดแล้วในสมัยนั้น
หลังจากหลวงปู่ได้บวชเณรที่วัดในหมู่บ้านแล้วนั้น
หลวงปู่ท่านก็ได้ศึกษาธรรมและแล้ววันหนึ่งหลวงปู่ท่านก็ได้พบและได้เห็นการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระกรรมฐานสายพระป่า ที่มีหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์ใหญ่แห่งสายพระป่าที่ท่านได้พาพระเณรธุดงค์ผ่านมา และเณรน้อยสุภัทธได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อท่านหลวงปู่เสาร์ จึงขออนุญาตบิดามารดา ขอติดตามหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เพื่อไปศึกษาธรรมกับพระอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ก็ได้พาเณรน้อยสุภัทธ เดินฝ่าป่าฝ่าดงไปถึงเมืองอุบลฯ เณรน้อยสุภัทธก็ได้อยู่ปฏิบัติธรรมและคอยอุปัฏฐากพระอาจารย์เป็นเวลา ๓ เดือน
แต่ด้วยอายุยังน้อยและความห่วงหาอาทรของแม่ที่ลูกชายต้องจากอกแม่ไปไกล ๆ และเมื่อสมัยก่อนนั้น แม่ได้ข่าวว่ามีพระเณรที่ไปธุดงค์นั้นเสียชีวิตก็นึกว่าลูกชายและด้วยความเป็นห่วงลูกชายจึงได้ติดตามไปหาที่เมืองอุบลและไปขอร้องให้เณรน้อยสุภัทธกลับบ้านเกิดเมืองนอน เณรน้อยสุภัทธก็ได้บอกกับโยมแม่ว่า จะขอปฏิบัติกับพระอาจารย์อยู่ที่นี้ แต่แม่ก็ได้อ้อนวอนขอร้องให้เณรน้อยกลับไปปฏิบัติใกล้บ้าน เณรน้อยสุภัทธก็เลยจำใจ จึงได้ไปกราบลาพระอาจารย์เสาร์ กลับมาปฏิบัติธรรมอยู่ใกล้บ้านและได้ไปไปศึกษาธรรมกับหลวงลุง หลวงลุงของท่านก็คือหลวงปู่มหาทองมา แห่งเมืองร้อยเอ็ด และได้ติดตามหลวงลุงไปในสถานที่ต่าง ๆ หลวงลุงของท่านก็จะคอยสอนการปฏิบัติธรรมให้เณรน้อยสุภัทธอยู่เสมอ ในการปฏิบัติธรรมและสอนมูลกัจจารย์ให้ท่านซึ่งสมัยก่อนนั้นพระเณรจะนิยมเรียนกันมากเพราะถือว่าของสำคัญเรียกว่าธรรมะชั้นสูง ถ้าใครเรียนสำเร็จจะมีความรู้แตกฉานมากเพราะเป็นการเรียนภาษาบาลีล้วน ๆ
หลังจากนั้นเณรน้อยสุภัทธก็ได้เข้ามาศึกษาเรียนปริยัติธรรมที่เมืองบางกอกมาพำนักอยู่ที่วัดจักรวรรดิ์และได้ไปเรียนนักธรรมโทนักธรรมเอกจนจบ ที่วัดระฆังโฆษิตตารามและเรียนด้านวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ราชวรมหาวิหารกับสมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสโภ) เป็นเวลา ๑ ปี ๖ เดือน
หลังจากนั้นหลวงปู่สุภัทธ ปุญญาคโม ก็มุ่งแสวงหาความสงบโดยการออกเดินธุดงค์จากเมืองบางกอกผ่านป่าเขาลำเนาไพรเพียงองค์เดียว และแวะกราบไหว้นมัสการพระพุทธบาทที่สระบุรี แล้วไปปฏิบัติธรรมตามถ้ำตามเขาในพื้นที่ทั้งจังหวัดสระบุรี จังหวัดลพบุรีและจังหวัดเพชรบูรณ์แล้วเดินธุดงค์ต่อไปผ่านเทือกเขาเมืองเพชรบูรณ์ หล่มสัก เข้าเขตจังหวัดเลย สถานที่นี้แหละที่ท่านได้พบกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโมและได้เข้าไปกราบขอเป็นศิษย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโมและติดตามหลวงปู่ชอบไปปฏิบัติตามสถานที่ต่าง ๆ
ในขณะนั้นหลวงปู่สุภัทธ์ ท่านเป็นพระหนุ่มกว่าเพื่อนที่ออกเดินธุดงค์ติดตามหลวงปู่ชอบ เพราะมีพรรษาน้อยกว่าเพื่อนมีพรรษาเพียง ๖ พรรษา ๗ พรรษา ส่วนพระรูปอื่นมีพรรษาที่เยอะกว่าคือ ๑๐ กว่าพรรษา
ส่วนหลวงปู่ชอบ พระอาจารย์ของท่านแล้ว ๒๐ กว่าพรรษา พระที่ติดตามที่ธุดงค์ไปด้วยกันก็มีหลวงปู่รอด หลวงปู่สรรค์ หลวงปู่บุญตัน ที่ไหนป่าช้าผีดุหรือมีสัตว์ป่าเช่น เสือ ช้างป่า หลวงปู่ชอบจะพาไปปฏิบัติธรรมกรรมฐาน
หลวงปู่สุภัทธ์ ปุญฺญาคโม ท่านเล่าว่า หลวงปู่ชอบไม่ให้กลัวเพราะสัตว์ที่เจอนั้นเทวดาท่านมาลองจิตมาทดสอบจิตใจว่าจะมาปฏิบัติจริงหรือไม่และมากำชับให้ปฏิบัติเจริญภาวนาไม่ให้จิตออกนอกหลู่นอกทาง หลวงปู่สุภัทธ ปุญญาคโม ท่านได้อยู่ปฏิบัติธรรมและติดตามหลวงปู่ชอบอยู่ถึง ๓ ปี หลังจากนั้นท่านก็ได้ไปอยู่ปฏิบัติธรรมและจำพรรษากับหลวงปู่รอด ณ วัดป่าภูหินกอง อ.วังสะพุง จ.เลย และท่านได้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์หลายรูปไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่น (บ้านแดง) อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี , หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต, หลวงปู่มหาทองมา ร้อยเอ็ด, หลวงปู่ซุ่น ติกขปญโญ วัดบ้านเสือโก้ก ต.เสือโก้ก อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม, หลวงพ่อโต ยโสธโร วัดบ้านกล้วย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา, หลวงพ่อฟุ้ง วัดป่าภูแฝด จ.ชัยภูมิ
ไปธุดงค์สถานปฏิบัติธรรมอยู่วัดถ้ำวัวแดง จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านไปปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐาน ไปธุดงค์ปฏิบัติธรรมจำพรรษาที่เมืองลาวกับหลวงลุงถึง ๓ พรรษา ไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานตามป่าตามเทือกเขาตามถ้ำแทบภูเขาควาย ประเทศลาว ไปศึกษากับคณาจารย์ที่เมืองพม่า ได้ตำราวิชาความรู้ต่างๆ ของหลวงปู่คำคะนิง แห่งวัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.อุบลราชธานี และอีกหลายรูป ที่หลวงปู่ท่านได้ไปปฏิบัติธรรมจำพรรษาอยู่ด้วย
หลวงปู่สุภัทธ ปุญญาคโม ท่านผ่านการธุดงค์มาอย่างโชกโชนไม่ว่าจะเป็นแถบลุ่มแม่น้ำโขง ไทย ลาว พม่า เขมร ท่านได้ผ่านอุปสรรคนานานับประการโดยที่ท่านมีเพียง “ธรรมมาวุธ” เพียงอย่างเดียว ทุกแห่งทุกหนที่ท่านธุดงค์ผ่านท่านจะอบรมสั่งสอนชาวบ้านให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
หลวงปู่ท่านจะเคร่งครัดมากในการปฏิบัติธรรม ท่านจะคอยสอนให้พระเณรคอยมั่นฝึกฝนการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ และคอยสอนชาวบ้านให้รู้จักการรักษาศีล ๕ ว่าถ้าใครรักษาหรือปฏิบัติไม่ได้ท่านก็เปรียบให้ดูว่า อย่างนิ้วมือของคนเราแต่ละข้างมี ๕ นิ้ว ถ้าขาดหายไปนิ้วใดนิ้วหนึ่งก็ไม่ปกติจะทำอะไรก็ไม่เป็นสุข ผู้รักษาศีลให้สะอาดหมดจดดีต้องปฏิบัติธรรม ๒ ข้อเสียก่อนคือหิริและโอตตัปปะ คือเมื่อศีลเกิดขึ้นกับตัวเรา เราก็เกิดความอิ่มใจ ใจก็สงบ เมื่อใจสงบความสบายก็เกิดขึ้นที่ใจ และหลวงปู่ท่านจะคอยบอกคอยสอนอยู่เสมออย่าให้มีความโลภเกิดขึ้นในสันดานของตน เพราะความโลภที่คิดอยากได้ของผู้อื่นนั้นเป็นความคิดที่ผิดจะไม่มีมิตรคบค้าสมาคมด้วย และความโลภนี้จะนำไปสู่ความหายนะ นอกจากนี้แล้วหลวงปู่จะคอยสอนเรื่องพระคุณพ่อพระคุณแม่อยู่เสมอก็เหมือนกับหลวงปู่ได้กล่าวไว้ว่า
..อย่าตระหนี่กับคุณพ่อคุณแม่ ผู้บังเกิดเกล้าของตนเอง พ่อแม่เป็นเนื้อนาบุญของลูก ๆ ที่ลูกสามารถปลูกต้นบุญให้งอกงามได้ …พ่อแม่เป็นอรหันต์ในบ้าน
ขอให้รู้ไว้ว่าถ้าพ่อแม่ของคุณยังมีชีวิตอยู่แล้ว คุณมีโอกาสได้เลี้ยงดูปูเสื่อท่านนั้น นับว่าคุณเป็นคนโชคดีมาก ๆ เพราะนั้นเป็นโอกาสที่คุณจะได้ปลูกต้นบุญเต็มที่..
…ลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยหัวใจไม่ทอดทิ้ง
ลูกคนนั้นจะไม่มีวันตกต่ำ
ชีวิตจะงอกงามรุ่งเรือง ครอบครัวเป็นสุข
การงานเจริญก้าวหน้า ไม่มีปัญหาอุปสรรคให้หนักใจ..”
ศัตรูที่แท้จริงของคนเรา คือ โลภ โกรธ หลง
ต้องแก้ด้วยการมี ศีล สมาธิ ปัญญา
อยากรวย ให้พากันทำทาน
อยากสวย ให้พากันรักษาศีล
อยากมีปัญญาดี ให้พากันเจริญภาวนา
ฟังไว้เด้อ…
ฝึกทำใจให้เป็นบุญ….จะเช้า สาย บ่าย เย็น
ให้ภาวนาพุทโธ…สิ่งไหนบ่ดี…บ่ต้องไปใส่ใจ
ทำใจใส ๆ สบาย ๆ
บาปกรรมใหม่…ในปัจจุบัน…ก็อย่าทำให้เกิด
ชีวิตจะมีแต่ความสุข…บ่ฟุ้งซ่านขุ่นมัว
จำไว้เด้อ…
คำนินทาให้ร้าย…จะมากหรือน้อย…ขึ้นอยู่กับ…
ความอิจฉาริษยา…ในใจของคนคนนั้น…
เราอย่าเก็บมาคิดมาก…จนทำให้พลังในการทำ…
ความดีของเราลดน้อยลงไป…
ใครจะนินทา…ใครจะอิจฉาริษยา…ก็ช่างเขาปะไร
เดี๋ยวสิ่งที่เขาให้ร้าย…เราไว้….จะย้อนกลับไป…
หาเขาสักวัน…
ทั้งยามหลับและยามตื่น…
ชีวิตของคนเรานั้น…มันไม่มี…อะไรที่แน่นอน…
ตราบใด…ที่ยังมีลมหายใจ…ก็จงทำวันนี้ให้ดี…
และใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกทุกวัน…
ปู่ก็ขอให้ทุกคนพ้นภัย…ปลอดภัยจากโรคร้าย…
บ่เจ็บ…บ่จน…ร่ำรวยร่ำรวยเด้อ
อย่าอาย….
อย่าอาย…ที่เราใส่เสื้อผ้าบ่สวยเหมือนคนอื่นเขา…
อย่าอาย…ที่เรานั่งกินข้าวข้างทาง ราคาถูกๆ…
อย่าอาย…ที่เรายังขับรถคันเก่าๆที่ยังใช้ได้ดีอยู่…
แต่จงอายที่มีงานทำ มีรายได้ แต่บ่มีเงินเก็บ…
จงอาย…ที่เวลาไปกู้ยืมเงินคนอื่น…
แล้วไปซื้ออะไรก็บ่รู้ ที่บ่เกิดประโยชน์…
และจะอายมากที่สุด…เมื่อไปยืมเงิน…แล้วถูกเขาปฏิเสธกลับมา…
หลวงปู่สุภัทธ์ ปุญฺญาคโม วัดสุขโขวนาราม อ.ชนบท จ.ขอนแก่น ละสังขารแล้ววันนี้ด้วยอาการสงบ
ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๕ ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สิริอายุ ๙๔ ปี ๓ วัน