ประวัติและปฏิปทา
หลวงตาเลิศ ชินวังโส
วัดอรัญญานี
อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ
◎ ชาติภูมิ
พระครูบวรธรรมรักขิต (หลวงตาเลิศ ชินวํโส) นามเดิมชื่อ เลิศ ฤทธิ์ภู เกิดเมื่อวันอังคารที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ปีวอก บิดาชื่อ พ่อมี ฤทธิ์ภู และมารดาชื่อ แม่เขียว ฤทธิ์ภู เดิมคุณพ่อมีท่านอยู่บ้านแคดงน้อย ตําบลสามผง อําเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม มีครอบครัวอยู่ที่บ้านหนองบัว อําเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร (ปัจจุบันบ้านโนนสะอาด) มีพี่น้อง ๕ คน คือ
๑. นายบุญตา ฤทธิภู
๒. นายเคน ฤทธิ์ภู
๓. หลวงตาเลิศ ชินวังโส (คําพา ฤทธิ์ภู)
๔. นางดําดี พลพันธ์ (ฤทธิ์ภู)
๕. ไม่ทราบชื่อ (ถึงแก่กรรมตั้ง แต่ยังเด็ก)
◎ ปฐมวัย
พออยู่มานานปีคุณพ่อก็เลยออกความเห็นว่าอยากจะไปหาที่ปลูกบ้านหลังใหม่ เพื่อจะขยายที่อยู่กินให้สะดวกมากขึ้น และได้ ย้ายมาอยู่บ้านคํายาง ภรรยาเกิดตั้งครรภ์ครบกําหนดที่จะคลอด พอคลอดปรากฏว่ารกไม่ออกมา ท่านก็เลยสิ้นใจลงพร้อมลูก พอ เสร็จงานศพคุณแม่ คุณพ่อก็ เลยพามาอยู่ที่บ้านหนองบัว นานปีคุณพ่อก็ได้แต่งงานกับ คุณแม่เป โพธิสว่าง แล้วพาลูกๆ มาอยู่ที่ บ้านดอนหญ้านางและหลวงตาเลิศ ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านดอนหญ้านาง พอได้เรียนจบชั้น ป.๔ ก็ออกจากโรงเรียนไปเลี้ยงควายอยู่ตามทุ่งนา คุณพ่อกับคุณแม่จึงได้ให้ไปบวชเรียนเป็นสามเณร
◎ อุปสมบท
หลวงตาเลิศ ชินวังโส ได้บรรพชาเป็นภิกษุ ในวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๐ ที่ วัดภูมิบาลวัฒนา อําเภอบึงกาฬ (ปัจจุบันคือ อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ) จังหวัดหนองคาย โดยมี พระครูพุทธวรประสาท เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทเสร็จแล้วได้ฉายาว่า “ชินวํโส” แปลว่า “วงศ์ของผู้ชนะ”
จากนั้นได้ไปเรียนนักธรรมชั้นเอกที่ วัดศรีโสภณธรรมทาน และสอบนักธรรมชั้นเอก ได้ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ต่อมาได้ ไปอยู่ที่หนองคายและทุกที่ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก หลวงตาเลิศ ท่านได้ไปมาแล้วทั้งนั้น มีครั้งหนึ่งไปอยู่กับ หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ที่สวนโมกขพลาราม อําเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลวงตาเลิศ ได้เข้าใจในธรรมอย่างลึกซึ้งมากแล้ว ก็ชอบการออกวิเวกตามป่าเขามาก ในตอนที่เป็นเณรหลวงตาเลิศก็ได้ออกธุดงค์ไปในที่ต่างๆ และขณะที่เป็นพระก็ออกธุดงค์ไปกับ พระครูภาวนาภิสณฑ์ (หลวงปู่สุด ชุตินฺธโร) วัดโชติรสธรรมากร (วัดป่าบึงกาฬ) อ.เมือง จ.บึงกาฬ หลวงตารักท่านมาก และได้ถือหลวงตาสุดว่าเป็นพระบุญธรรม สหธรรมมิกที่มีความสนิทกันมากและได้ออกธุดงค์ด้วยกัน
◎ ออกธุดงค์ (กระโดดยอดเขา)
หลวงตาเลิศ ธุดงค์ไปตามป่าและสถานที่ต่างๆ เช่น ภูเขาควาย เขมร พม่า ขึ้นเหนือ ล่องใต้ได้สบายและปฏิบัติธรรมเคร่งในศีลธรรม มีอิสระธรรม มีเมตตา จิตเป็นเครื่องป้องกันตัว มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงตาเลิศไปที่ วัดธารน้ำไหล และได้ขึ้นไปบนยอดเขานางเอ่ ตอนนั้นมีเพื่อนไปด้วยคือ หลวงตาบัญญัติ อนุตฺตโร ได้ขึ้นไปด้วยกัน ยอดเขานั้นสูงประมาณ ๒๐๐ เมตร แล้วตอนนั้นหลวงตาก็ได้ ชวนหลวงตาบัญญัติว่า พวกเรามากระโดดยอดเขาด้วยกัน ถ้าตายก็บูชาหลวงปู่อาจารย์ ถ้าไม่ตายก็แล้วไป พอหลวงตาเลิศพูดจบหลวงตาบัญญัติก็ไม่พูดอะไร แล้วหลวงตาเลิศก็จับแขนหลวงตาบัญญัติกระโดดยอดเขาพร้อมกัน พอถึงพื้นดิน ก็ลุกขึ้นเดินไปคนละทาง ไม่พูดอะไร ไม่รู้สึกเจ็บ แล้วพอมาถึงวัดเห็นหน้ากันก็พูดว่า อือไม่ตายนะ
◎ โปรดฝูงซะนีด้วยเมตตาจิต
พอหลวงตาเลิศธุดงค์เสร็จ ก็มาอยู่ที่วัดธัญญาราษฎร์บํารุง บ้านดอนหญ้านาง อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ อยู่นานปีหลวงตาเลิศก็ออกธุดงค์ไปนครสวรรค์ ไปอยู่ที่บ้านทุ่งหล่ม ชาวบ้านสร้างกุฏิให้อยู่ในป่าและมีพวกสัตว์ป่าจํานวนมากมาหา เวลาหลวงตาเลิศออกบิณฑบาตสัตว์ป่าพวกนั้นมันก็จะดูแลกุฏิ เวลากลับจากบิณฑบาต หลวงตาเลิศก็ฉันข้าว พอฉันเสร็จ ก็นําเอาข้าวเอาผลไม้ไปไว้ตามโคนต้นไม้ ก็มีฝูงชะนีพากันมากินข้าวกินผลไม้ พวกฝูงชะนีนี้มีหัวหน้าฝูงที่ตัวใหญ่มาก มีวันหนึ่ง หัวหน้าฝูงชะนีนี้มันถูกยิง มันบาดเจ็บมาก มันจึงไม่มากินข้าว หลวงตาเลิศ ไม่เห็นมันมากินข้าวก็สงสัย หลวงตาต้องการที่จะพบมัน จึงใช้พลังเมตตาจิตแผ่ส่วนกุศลไปให้มัน ในวันต่อมาก็ได้ยินเสียงลมพัดยอดไม้อย่างรุนแรงแล้วหลวงตาเลิศก็เห็นหัวหน้า ฝูงชะนีตัวนั้นมันมาล้มลงตรงหน้า พร้อมด้วยบาดแผลที่แดงฉกรรจ์ พอเห็นดังนั้นก็เกิดความสงสารมัน หลวงตาเลิศท่านก็อุ้มมันขึ้นมา แล้วเป่าให้มันด้วยพระปริตรแล้วก็แผ่เมตตาจิตให้มันแล้วมันก็ขาดใจ
◎ สร้างวัดวาอาราม ตามบุญบารมี
จากนั้นหลวงตาเลิศก็กลับมารออยู่ที่บ้านดอนหญ้านาง โดยมาอยู่ที่สํานักภาวนาสถานโคกดินแดง ได้พักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ คืนนั้นฝนตกหนักมากทําให้ผ้าเปียกฝน ก็อยากจะได้กุฏิสักหลังหนึ่งพอได้หลบฝน ลูกชายพ่ออุไรจึงไปบอกพ่ออุไรว่าหลวงตาอยากจะได้กุฏิ พ่ออุไรจึงได้ไปถามหลวงตาเลิศ แล้วหลวงตาก็ได้เขียนโครงสร้างให้ แล้วพ่ออุไรไปจ้างช่างทํากุฏิ รวมค่าสร้างทั้งหมดเป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท พอกุฏิเสร็จก็ต้องทําถนนรอบวัดอีก ก็เลยบอกพ่ออุไรว่าจะสึกเป็นชีปะขาวมาถางทําถนน พ่ออุไรเลยบอกกับหลวงตาว่าไม่ต้องสึกจะทําให้ แล้วพ่ออุไรก็ไปจ้างช่างให้มาถางป่าเพื่อจะทําถนนรอบวัด พอถนนรอบวัดเสร็จ หลวงตาท่านก็ให้ทําถนนจาก หน้าประตูไปจนถึงถนนทางแยกหน้าโบสถ์ และหน้าเมรุ (ปัจจุบัน) แล้วหลวงตาเลิศ ท่านก็ได้ซื้อที่ดินจากพ่อเรียน ถูระวรณ์ ๖ ไร่ เป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท แล้วก็สร้างศาลาสมาธิ ศาลาการเปรียญแล้วก็ขอน้ำประปากับทางกิ่งอําเภอพรเจริญ แล้วก็ขอตั้งสํานักภาวนาสถานโคกดินแดง เป็นวัดจากทางกรมศาสนาโดยชื่อว่า วัดอรัญญานี และแต่งตั้งให้ พ่ออุไร เจริญศิลป์ เป็นไวยาวัจกรและให้ทําสวน โดยแบ่งที่ดิน ๖ ไร่ ที่ซื้อนั้นให้ทําสวน แล้วต่อมาสวนนั้นก็เป็นสวนสาธิตของอําเภอพรเจริญ แล้วกรมศาสนาก็อนุมัติให้เป็นสวนของวัดอรัญญานี
ต่อมาหลวงตาก็ได้สร้างเสนาสนะสงฆ์เป็นจํานวนมาก ส่วนศาลาสมาธิที่หลวงตาสร้างนั้นมีแต่ไม้แคนทั้งนั้น นั่นคือที่มาของ หลวงตาเกี่ยวกับการออกธุดงค์ การก่อสร้างวัดวาอาราม
◎ ปฏิบัติรับใช้หลวงปู่วัง ฐิติสาโร
ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับ หลวงปู่วัง ฐิติสาโร ที่ใครๆ ก็ขนานนามท่านว่า เทพเจ้าแห่งภูลังกา นั้น เริ่มแรกที่หลวงตาเลิศได้เจอหลวงปู่วัง ตอนนั้นหลวงปู่วัง ท่านมาจากบ้านศรีเวินชัย ต.สามหงส์ อ.นาทม จ.นครพนม แล้วก็เข้ามาเผยแพร่พระศาสนาที่ตรงนี้ มาอยู่ที่บ้านดอนน้อย ต.ดอนหญ้านาง อ.พรเจริญ (เมื่อก่อน เป็นอ.บึงกาฬ จ.หนองคาย) มาอยู่ตรงนี้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เมื่อเข้ามาแล้วท่านก็ให้โยมขุดเรือให้ แล้วก็เอาเรือลงแม่น้ำสงครามเรื่อยไปจนถึงนครพนม แล้วก็เอาเรือนั้นไว้ที่นครพนม วัดสารพันนิมิต (วัดศรีเทพประดิษฐาราม) เพราะขุดเรือหลายลํา ไปๆ มาๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ – ๒๔๙๔ แล้วก็ไปอยู่ภูลังกา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ – ๒๔๘๕ สมัยนั้นหลวงตาเลิศ ท่านมีอายุ ๑๐ ปี ก็ปฏิบัติรับใช้ท่านอยู่ที่นี่ เพราะท่านมาปักกลดอยู่ที่นี่ ตรงโคกดินแดง บ้านดอนหญ้านาง ต.ดอนหญ้านาง (ปัจจุบัน อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ) สมัยนั้นสงครามอินโดจีน เครื่องบินมาบ่อยๆ ผ่านตรงนี้ หลวงปู่วังท่านก็เลยย้ายกลดปักที่ ตรงนี้บ้าง ตรงโน้นบ้าง และมาปักที่ วัดอรัญญานี โคกดินแดง ซึ่งตอนนั้นหลวงตาเลิศเป็นเด็ก ก็มาถวายภัตตาหารเช้าท่านทุกวัน
◎ เด็กน้อยเลิศ บังอาจโกหกหลวงปู่วัง
หลวงตาเลิศท่านได้เล่าว่า..ท่านหลวงปู่วังเองก็เคยเห็นอยู่ตรงนี้ ตรงที่วัดอรัญญานี วันนั้นฟ้าฝ่าตรงนี้ตรงที่ท่านอยู่ ท่านปักกลดอยู่ตรงที่เรานั่งนี่ละ เมื่อก่อนนี้มันมีต้นไม้ชนิดหนึ่งอยู่ตรงนี้ ภาษาบ้านเราเขาเรียกไม้ปะดง (ไม้ชิงชัน) พอฟ้าผ่าท่านก็ถามว่า มันผ่าตรงไหนล่ะ ความจริงผ่าลงตรงท่านอยู่นั่นแหละ ตอนนั้นหลวงตาเลิศเองยังเป็นเด็ก แล้วนาของหลวงตา ก็อยู่ตรงนั้น อยู่ฝั่งวัดนั่นละ ก็เข้ามาหาหลวงปู่วังหลังจากที่เลี้ยงวัว เลี้ยงควายเสร็จแล้ว ท่านหลวงปู่วังบอกกับหลวงตาเลิศว่า อย่าเอาควายเข้ามาตรงนี้ หลวงตาก็ไม่เอามา แต่มีวันหนึ่งหลวงตาก็เอาควายมา โดยที่ไม่ให้ท่านรู้ แต่ท่านก็รู้ แสดงว่าหลวงปู่วังท่านมีอภินิหารบ้างทั้งๆ ที่เราเป็นเด็กดื้อๆ ปุถุชนเต็มตัว ไอ้เลิศเต็มตัว โมโหก็ไอ้เลิศเต็มตัว โทโสก็ไอ้เลิศเต็มตัว โลโภก็ไอ้เลิศเต็มตัว แต่ก็โกหกหลวงปู่วังได้สบาย ท่านก็ยิ้มท่านไม่ได้ว่าอะไร เพราะฉะนั้นหลวงปู่วังนี้จึงเป็นผู้มีกสิณพิเศษ มีญาณพิเศษ แต่ไอ้เลิศตัวเบี้ยกๆ อายุยังน้อย ๗-๘ ปีก็ไม่กลัว คุยได้ โกหกได้ ที่นี้มีครั้งหนึ่ง พระอาจารย์วัน อุตฺตโม ตอนที่ท่านยังเป็นสามเณร ท่านก็มาตรงนี้ แล้วก็มีหลวงปู่พระมหาเส็ง ปุสฺโส ก็มาตรงนี้ มาพักนมัสการหลวงปู่วังอยู่ตรงนี้ แล้วก็เลยไปพักที่บ้านหนองลาด เพราะบ้านหนองลาดหลวงปู่วังไปสร้างวัดไว้ที่นั่น
◎ เจ้าแม่ตะเคียน ช่วยให้พันข้อกล่าวหา
สําหรับเรื่องไม้ตะเคียนต้นนี้มันเป็นไม้ประจําหมู่บ้านดอนหญ้านาง คือเขามาตั้งหมู่บ้านเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๐ พอเขามาตั้งหมู่บ้าน แล้วไม้ตะเคียนนี้ก็อยู่เหมือนเดิม ไม่ใหญ่ไม่โต อยู่อย่างนี้ตลอด เป็นไม้ประจําหมู่บ้านมาตลอด แล้วก็เป็นไม้ที่กําราบหลวงตาเลิศ มาตลอด คือมันมีบ่อน้ำอยู่ใต้ร่มไม้ตะเคียน ตอนเช้ากับตอนเย็นหลวงตาเลิศจะไปตักน้ำ พอปี พ.ศ. ๒๔๘๒ กํานันเขามาขุดสระ ก็เอาคนไปขุดสระให้มันก็อยู่ข้างๆ บ่อต้นตะเคียน พอเย็นวันนั้นหลวงตาเลิศก็ไปตักน้ำมืดๆ คนเดียว กํานันก็ให้สารวัตรมาดักหลวงตา ที่ถนน หาว่าหลวงตาไปขโมยอาบน้ำสระของแก
หลวงตาก็บอกว่าไม่ได้ขโมย คนอย่างนี้เหรอจะขโมยอาบน้ำใคร หลวงตาบอกอย่างนี้ก็แล้วกันไป สารวัตรก็ไม่ว่าอะไร หลาย วันต่อมากํานันไปเอง ใส่หมวกกํานันไปเลยไปอยู่ข้างบ่อน้ำนั่นแหละ แล้วก็ว่าหลวงตาว่า… ไอ้ตัวการขโมยอาบน้ำข้ามาแล้ว ยังจะมา ว่าไม่ได้ขโมยอีก หลวงตาก็บอก…กูไม่ได้ขโมย แล้วก็สาดน้ำใส่กํานันเปียกหมด พอหลวงตาเอาน้ำสาดกํานันแล้ว
ก็คิดในใจว่าเจ้าแม่เอ้ย…ช่วยข้าด้วยนะ
จากนั้นกํานันเขาก็กลับไปเอาโซ่พร้อมจะไปจับตัวหลวงตาที่บ้าน พอหลวงตาหาบน้ำไปถึงบ้านก็เห็นแม่ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ถามว่า ไปขโมยน้ำสระของกํานันเหรอ คนอย่างผมไม่เคยไปขโมยของใคร แล้วจากนั้นกํานันก็ไม่ว่าอะไร แล้วก็กลับไปเฉยๆ ก็ไม่มีอะไร น่าแปลกนะโมโหเราจะตาย แต่จู่ๆ ก็กลับไปเฉยๆ
◎ ต้นตะเคียนล้ม พร้อมกับพระธาตุพนม
หลายครั้งที่เป็นมาแบบนี้กับเจ้าแม่ ครั้งหนึ่งตอนเช้ามีงูใหญ่จะมากัด หลวงตาก็บอกว่า จะมากัดข้าทําไมแล้วก็เอาไม้คานตีหัว งูหลายครั้งหลายคราวที่อยู่ต้นตะเคียนนี้ ก็เจอเหตุการณ์ต่างๆ แล้วพอมาวันที่พระธาตุพนมล้ม เจ้าแม่ตะเคียนก็ล้มในคืนนั้น ธาตุพนมล้มไปทางทิศตะวันออก ไม้ตะเคียนก็ล้มมาทางทิศตะวันออก จึงไม่โดนอะไร แต่ถ้าล้มไปทางทิศใต้ก็โดนบ้านเขา ล้มในคืนเดียวกันเลย จากนั้นหลวงตา ก็เลยเอามาสร้างศาลา ขอกับชาวบ้านเขาไปตัดเป็น ๓ ท่อน ท่อนละ ๖ เมตร เดี๋ยวนี้เขาเรียก เจ้าปู่ต้นตะเคียน ต้นนั้น พอมาอยู่วัดเรียก เจ้าแม่ มันมีอภินิหาร ให้หลวงตาเลิศอย่างนี้ๆ ทั้งๆ ที่ หลวงตาเลิศไม่ได้คิดอย่างนั้น ไม่มีเหมือนกับหลวงปู่วัง หลวงตาเลิศไม่ได้คิดอะไร บําเพ็ญเพียรอะไรมาก็ไม่ได้บรรลุอะไร อยู่เฉยๆ นั่งสมาธิก็สมาธิเปล่าๆ ภาวนาก็ภาวนาเปล่าๆ จงกรมก็จงกรมเรื่อยๆ ไม่ได้นึกว่าจะเป็นอะไร ก็แค่นั้น… ก็เป็นหลวงตาเลิศอยู่อย่างนี้หมด เลิก พอละ..
◎ หลวงปู่วังผู้อยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าสามเณรน้อยเลิศ
ความซาบซึ้งที่หลวงตาเลิศซาบซึ้ง ในปฏิปทาของหลวงปู่วังอันนี้เหนือที่สุด ไม่เหมือนใคร เพราะแกไม่เคยว่าอะไรให้เลย ไม่เคยดูถูก ไม่เคยทิ้ง หลวงปู่วังท่านไม่เคยทําอะไรให้เณรเลิศน้อยๆ เลย มี ๒ คน คนหนึ่งชื่อ อาจารย์กี โพธิ์สว่าง ที่มาหาหลวงปู่วังบ่อยๆ เขา เรียนหนังสือจนได้มหาเปรียญธรรมห้าประโยค แล้วก็สึกออกไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ จนเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเทคนิคหนองคาย จนเกษียณ ที่นี้ไปถามเขาเขาก็บอกเฉยๆ ทั้งที่บวชด้วยกันนั่นแหละ อาจารย์กีกับหลวงตาเลิศนี้บวชด้วยกัน อาจารย์กีสึก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ส่วนหลวงตาเลิศ ก็อยู่มาๆ ตลอด จนปัจจุบัน
◎ คำหลวงปู่วัง “จะนิกายหรือธรรมยุต ก็บรรลุได้เหมือนกัน”
หลวงตาเลิศรู้สึกว่าหลวงปู่วัง ท่านมีปฏิปทาพิเศษ ไม่สะทกสะท้าน ท่านอยู่ของท่านอย่างนั้น แต่สูบบุหรี่จัดมวนแทบไม่ทัน สมัยนั้นถ้าพระองค์ใดกินหมากเก่งๆ พระองค์ใดสูบบุหรีเก่ง บุหรี่ไหนฉุนถ้าอาจารย์ไม่เก่ง ก็สูบบุหรี่ฉุนไม่ได้
ฉะนั้นจะมีบุหรี่ฉุนที่บึงกาฬที่หลวงปู่วังท่านชอบ เมื่อก่อนไม่มีการณรงค์การห้าม ถือ เป็นความขลัง ไม่รู้ว่ามีอันตราย เพิ่งจะมารณรงค์ไม่ให้สูบบุหรี่กัน ปีนี้หลวงตาอายุ ๘๙ ปี พรรษาที่ ๖๙ (พ.ศ. ๒๕๖๔) เป็นมหานิกาย บอกอาจารย์ วังแล้วว่า…ผมอยู่บ้านมหานิกาย ผมไม่ได้อยู่บ้านธรรมยุติ ผมก็บวชเป็นมหานิกายท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ท่านบอกว่า…
“จะอะไรก็บรรลุได้เหมือนกัน”
ปัจจุบัน พระเดชพระคุณพระครูบวรธรรมรักขิต (หลวงตาเลิศ ชินวํโส) เจ้าอาวาสวัดอรัญญานี ตำบลดอนหญ้านาง อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ และที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอพรเจริญ ท่านมีอายุ ๘๙ ปี พรรษาที่ ๖๙ (พ.ศ. ๒๕๖๔)
ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ของทุกปี คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงตาเลิศ ชินวังโส จะมาร่วมกันจัดงานวันเกิดให้กับท่านเสมอ มีการบายศรีสู่ขวัญ การคารวะ จากพระสงฆ์ แขกผู้ใหญ่ ชาวบ้านจากทั่วุกสารทิศ การทำโรงทาน การแสดงธรรม และมหรสพด้วยงานนี้ได้บุญโดยทั่วกัน
◎ ด้านวัตถุมงคล