ประวัติและปฏิปทา
หลวงพ่อแสวง จันทสโร
วัดป่าคำมะฮี (สาขาที่ ๓๖ วัดหนองป่าพง)
อ.ไทยเจริญ จ.ยโสธร
หลวงพ่อแสวง จันทสโร ท่านเป็นพระสหธรรมมิกของ ท่านพระอาจารย์คูณ ติกขวีโร แห่งวัดอุดมวารีบรรพต อ.พาน จ.เชียงราย และเป็นพระศิษยานุศิษย์สายท่าน พระอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
หลวงพ่อแสวง พระสุปฏิปันโน พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีความเคร่งครัด ในพระธรรมวินัยมาก ท่านเป็นพระพูดน้อย รักความสงบเพ่งเพียรภาวนาอยู่เป็นนิจ
อุปนิสัยของท่านเป็นพระสมถะ รักความสันโดษ มักน้อย ไม่ค่อยจะคลุกคลีกับหมู่คณะ ท่านชอบเที่ยววิเวกไปอยู่ป่าเขาลําเนาไพร ท่านอาศัยป่าเขาดินแดนด้วย การเจริญสมณธรรม
ธรรมชาติในธรรมชาตินี้ เมื่อได้พิจารณาอย่างละเอียดอ่อนจากสติปัญญาแล้ว จะมองเห็นความเป็น “อนิจจัง” อันเป็น สิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ย่อมมี ความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ๆ ความเปลี่ยนแปลงนี้ ท่านหลวงพ่อแสวงได้กล่าวไว้ดังนี้
“เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นตัวเรา พระท่านว่าสังขาร มีแก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น ย่อมเป็น “ทุกข์” ทุกข์เกิดขึ้นมา ก็ด้วยเหตุ ที่เราไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัว เป็นตน บุคคลเราเขา..
แท้จริงแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ธาตุแท้คือ… “อนัตตา” คือ …ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาทั้งสิ้น มันเป็นเพียงสักแต่ว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม มันเป็นของสักแต่ว่า พระพุทธเจ้าทรงไม่ให้เข้าไปยึดถือกับสิ่งเหล่านี้
ฉะนั้นการอยู่ป่าดงพงไพร เป็นของดีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะป่าช้า ที่เขานําคนตายมาเผามาฝัง นั่นแหละเราจะได้เห็นของจริง ของที่ไม่เที่ยง มันจึงต้องตายอย่าง
การที่ผู้เขียนได้มีโอกาสนมัสการ หลวงพ่อแสวงหลายครั้งหลายคราว และเคยเรียนถามประวัติของท่าน โดยส่วนมากจะพบกับความว่างเปล่าเสมอๆ ท่านเพียงแต่บอกว่า…
ท่านเป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี เกิด ณ บ้านห้วยยาง อ.เลิงนกทา (ปัจจุบันขึ้นอยู่กับ จังหวัดยโสธร) ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๘๘ ปีระกา เมื่อท่านเกิดมาได้ไม่กี่ปี มารดาของท่านได้เสียชีวิตลง ด้วยโรคาพยาธิ ท่านจึงได้อยู่กับบิดาและบรรดาพี่ ๆ ทั้งหลายตลอดมา
กาลต่อมา อายุของท่านพอที่จะเข้าบวชเณรได้ ท่านก็ขออนุญาตบิดาเพื่อจะบวช แต่บิดาไม่ยอม ดังนั้น ท่านจึงต้องอยู่ทํางาน ให้บิดาอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทนสู้ตากแดด ตากลม ฝนฟ้า สู้ทนทุ่มเทลงไปจนกว่าจะสิ้นเวรกรรม
ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เมื่อมันจะทุกข์สักปานใดก็ตาม สักวันหนึ่งก็ต้องได้พบกับความสุขได้บ้างสักครั้งหนึ่งดอก เมื่อพ้นทุกข์ ความสุขก็เข้ามาแทนที่อย่างแน่แท้
ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เมื่อท่านอายุครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ บิดาของท่านได้ระลึกถึงสัญญาที่จะให้บุตรชายของท่านได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ท่านจึงจัดการนํา ไปขอบรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบ้านห้วยยาง อันเป็นวัดใกล้บ้านเกิดนั่นเอง ได้รับฉายาว่า “จันทสโรภิกขุ”
หลวงพ่อแสวง จันทสโร ได้อยู่จําพรรษาที่วัดบ้านห้วยยาง เพียง ๑ พรรษาเท่านั้น ขณะอยู่จําพรรษา ณ วัดเดิม ท่านได้ยินกิตติศัพท์การประพฤติปฏิบัติ พระกรรมฐานของ พระโพธิญาณเถร (พระอาจารย์ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อยู่เนืองๆ จึงคิดอยากปฏิบัติธรรมบ้าง
ในพรรษาที่สอง ท่านจึงขอร้องบิดาของท่านให้นําไปฝากฝังกับพระอาจารย์ชา ด้วยเห็นว่าบิดามีความเคารพสนิทคุ้นเคยและไปมาหาสู่พระอาจารย์ชาที่ วัดหนองป่าพงเสมอๆ
ดังนั้นหลวงพ่อแสวง จันทสโร ได้มาพบแนวทางอันเป็นอุดมมงคลในชีวิตและถือได้ว่า ท่านเป็นพระศิษย์ในสายพระอาจารย์ชา สุภัทโท ตั้งแต่พรรษาที่สอง ตรงกับปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นต้นมา จนกระทั่งท่านละสังขาร
หลวงพ่อแสวง ท่านเรียนนักธรรมโทไม่จบ เพราะจิตใจของท่านรักการประพฤติปฏิบัติมากกว่า จนถึงกับขออนุญาตพระอาจารย์ชา ดังนี้ว่า..
“หลวงพ่อครับ กระผมไม่ขอเรียนนักธรรมอีกต่อไปแล้ว กระผมจะปฏิบัติพระกรรมฐานอย่างเดียวครับผม”
พระอาจารย์ชา สุภัทโท จึงอนุญาตและได้อบรมสั่งสอน อุบายธรรมปฏิบัติให้อย่างเต็มจิตใจ แนวทางสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ต้องอาศัยจิต ใจของผู้ปฏิบัติ ต้องทําจริงปฏิบัติจริง จึงจะเกิดผลในทางธรรม ปัญญาจะเกิดได้ก็ต้องอาศัยจิตเป็นสมาธิ ถ้าสมาธิไม่เกิด ความสงบไม่มี ปัญญาก็ไม่มี ความรู้แจ้งเห็นจริงจะมีขึ้นไม่ได้อย่างแน่นอน….
หลวงพ่อแสวง จันทสโร ท่านเป็นพระป่าที่มีธรรมะที่สุขุมล้ำลึก เป็นธรรมะที่ละเอียดอ่อน นําความเข้าใจของผู้รับสดับฟัง อย่างง่ายดาย ดังที่ท่านกล่าวไว้ ในธรรมะบทหนึ่งว่า..
“การปฏิบัติธรรม พวกเราทุกคนอย่าไปหวังบุญบารมีเก่าเลย เพราะมันไกลเกินไป ทุกคนมีวาสนาบารมี และ บารมีจะเข้ามาส่งเสริมเราได้ ก็ เพราะว่า…ผู้ปฏิบัติต้องลงมือทําเดี๋ยวนี้ บารมีจะเกิดขึ้นขณะเราลงมือกระทําให้มีขึ้น ทําเมื่อไรก็จะมีบารมีเมื่อนั้นทันตาเห็น
คนทําความดี บารมีส่งเสริมให้เกิดความสุขขณะที่ทํานั้น ตรงกับคําสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ทําดีได้ดี” นี่แหละของแท้ บารมีจะเกิดก็เพราะทําความดีอย่างนี้จําไว้”
ท่านหลวงพ่อแสวง จันทสโร ท่านเป็นพระนักเดินธุดงคกรรมฐาน ท่านเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือ เพื่อแสวงหาสถานที่อันสงบวิเวก เจริญสมณธรรม จนได้มาพบกับป่าช้าบ้านสบบง ท่านจึงเข้าไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่นี่ และมองเห็นความเหมาะสมหลายประการ โดยเฉพาะเป็นสถานที่วิเวก สงบจากผู้คนสัญจรไปมา
ไม่มีใครพลุกพล่านมาทําลายความสงบ
ดังนั้น หลวงพ่อแสวง จึงถือเอาป่าช้าสบบงแห่งนี้เป็นที่บําเพ็ญเพียรตลอดมาถึง ๗ ปี เต็ม จนกระทั่งป่าช้าสบบง กลายเป็นสํานักปฏิบัติธรรมอย่างถาวร โดยมีศาลาหลังใหญ่ เพื่อเป็นที่ทําวัตรสวดมนต์ มีกุฏิอยู่อาศัยอัน สมควรแก่อัตภาพ นอกจากนี้แล้ว ท่านปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ ป่าไม้ร่มรื่น
ในเนื้อที่ ๑๐ ไร่ โดยประมาณ แรกหลวงพ่อแสวง จันทสโร องค์นี้ สมควรที่ท่านผู้อ่านและผู้ปฏิบัติเดินทางไปนมัสการเป็น อย่างยิ่งนอกจากจะได้รับอุบาย ธรรมแล้ว ยังจะเป็นเนื้อนาบุญ ของท่านอีกด้วย
ในบั้นปลายชีวิต หลวงพ่อแสวง จนฺทสโร ท่านได้ย้ายมาจำพรรษา ณ วัดป่าคำมะฮี (สาขาที่ ๓๖ วัดหนองป่าพง) อ.ไทยเจริญ จ.ยโสธร จนกระทั่งมรณภาพ
หลวงพ่อแสวง จนฺทสโร ได้มรณะภาพลง เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑ เวลา ๐๐.๒๐ น. ด้วยโรคมะเร็งตับเกิดจากถุงน้ำดี
สิริอายุ ๗๓ ปี ๔ เดือน พรรษา ๕๓