ประวัติและปฏิปทา
หลวงพ่อกัสสปมุนี
วัดปิปผลิวนาราม
ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
หลวงพ่อกัสสปมุนี ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีพื้นฐานในการศึกษาสูงองค์หนึ่ง คือ สมัยที่ท่านเป็นฆราวาส ท่านเป็นศิษย์เก่า ร.ร.อัสสัมชัญ ซึ่งอยู่ในรุ่นเดียวกันกับท่านศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ (นายกรัฐมนตรีสมัยหนึ่ง) ภูมิรู้ทางโลกนั้น ท่านมีความคล่องตัวมากทางด้านภาษาต่างประเทศยกไว้เป็นข้อพิเศษ
ท่านเคยทํางานเข้ารับราชการในกระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรม ท่านทํางานอยู่ฝ่ายสรรพสามิต ใกล้ชิดกับสุรายาเมาแล้วดื่มเหล้าเก่ง
ต่อมาท่านมองเห็นโทษของการดื่มเหล้า เบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส ท่านจึงได้ลาออกจากราชการ เข้ามารักษาศีลอุโบสถ โดยการนุ่งขาวห่มขาว แล้วเข้าฝากตัวอยู่กับสมเด็จพระวันรัต (ต่อมาทรงได้สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช) วัดโพธิ์ท่าเตียน
ขณะเป็นตาผ้าขาวอยู่นั้น ท่านมีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย จิตใจแน่วแน่ที่จะอุปสมบท เป็นพระภิกษุสงฆ์
หลวงพ่อกัสสปมุนี ท่านมาบวชเมื่ออายุมากแล้ว คือ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ท่านอยู่จําพรรษาได้เพียง ๑ พรรษา แล้วท่านก็ได้เข้ากราบลาสมเด็จป๋า ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ออกเดินธุดงค์เข้าป่าหาความวิเวกทางใจ
ท่านหลวงพ่อกัสสปมุนี มีความตั้งใจว่า “จะเอามรรคผลนิพพานในชาตินี้ให้จงได้”
หลวงพ่อกัสสปมุนี ท่านเริ่มออกธุดงค์ครั้งแรกมุ่งไป จ.สระบุรี แล้วเดินทางไปอยู่บําเพ็ญธรรม ที่ถ้ำซับมืด หลังจากอยู่บําเพ็ญธรรม ที่ถ้้ำซับมืดแล้ว หลวงพ่อกัสสปมุนี ได้เดินทางไปบําเพ็ญภาวนาที่ “ภูกระดึง” ณ สถานที่แห่งนี้ หลวงพ่อกัสสปมุนี้ได้บําเพ็ญธรรมอย่างยิ่งยวด ความก้าวหน้าทางธรรม เกิดขึ้นกับจิตใจมากมายนัก และ เป็นบุญวาสนาที่ท่านมาอยู่ที่นี่ถึง ๖ เดือน
สมัยที่หลวงพ่อไปอยู่บนภูกระดึงนั้น สภาพป่าโดยทั่วไปในพื้นที่ดังกล่าว ยังอยู่ในลักษณะ ป่าดงที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ยังไม่มีการปรุงแต่ง จึงถือได้ว่า เป็น สถานที่อันเป็นสัปปายะ สงบวิเวก เหมาะแก่การบําเพ็ญภาวนาธรรม สัตว์ป่าทั้งที่มีพิษและไม่มีพิษมากมาย หลวงพ่อเองสายตาก็สั้น เกือบตกเหว-หน้าผาเสียชีวิต ก็หลายหน
ในระยะ ๖ เดือน หลวงพ่อกัสสปมุนี ไม่ยอมปล่อยเวลาว่าง จากการปฏิบัติธรรม ท่านเร่งเพียร ภาวนา นั่งสมาธิ เดินจงกรม พิจารณาสภาวธรรม ที่มีอยู่เป็นอยู่
ด้วยสติปัญญา บนภูกระดึงนี้อากาศหนาวจัด หลวงพ่อกัสสปมุนี้ต้องอาศัย นั่งสมาธิตลอดวันตลอดคืนจึงจะอยู่ได้
ความลี้ลับบนภูกระดึง หลวงพ่อกัสสปมุนี ได้ไปพบเห็นมาหมดสิ้น อาจเป็นด้วยบุญและวาสนาของท่านจึงได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม และได้เห็นธรรมะคําสั่งสอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า “ศักดิ์สิทธิ์จริง”
หลวงพ่อกัสสปมุนี ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ท่านเคยสอนญาติโยมอยู่เสมอว่า หาก “การที่เราทําความดีใส่จิตใจแล้ว ขอให้เชื่อเถิดว่า ความดีนั้น ต้องสนองเราเสมอและจงเชื่อใจตนเอง ผู้ปฏิบัติไม่เชื่อตนเองว่าปฏิบัติอยู่ มันจะได้ความอะไร เรารู้ตัวเราอยู่นี่ว่าเราทําดีอะไรไว้ หรือเราทําความชั่วอย่างไม่น่าให้อภัยนะ อันนี้เข้าใจตนเองดีอยู่แล้วนี่
อาตมาออกเดินธุดงค์ในครั้งโน้น อาตมาก็เชื่อความดีที่มีศีล มีธรรม แม้จะบวชเข้ามาในสมัยชราแล้วก็ตาม อาตมาก็เชื่อว่าเราต้องทําได้ ปฏิบัติได้แน่นอน อะไรจะมาขวางทางแห่งความดีงามเราไม่ได้
อาตมาเคยไปผจญอยู่ในป่า ในถ้ำมาหลายๆ แห่ง พวกสัตว์ป่า เช่น เสือ งูพิษ ที่พูดนี้หลวงพ่อขอพูดเพื่อให้มีกําลังใจในการปฏิบัติธรรมนะ… สัตว์พวกนี้มาอยู่กับอาตมาได้อย่างสบาย…. นั่งภาวนาอย่างปกติไม่มีความระแวงต่อกัน
เขาอยู่ของเขา เราก็อยู่ภาวนาของเราไป ทําอยู่อย่างนี้ทุกวัน ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น นอกจากอาตมาเกิดสงสาร แผ่เมตตาให้เขา ได้พ้นชาติกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทําคุณงามความดีต่อไป
ทีนี้เรื่องวิญญาณ เรื่องนี้อาตมาได้รับรู้บ่อยครั้งเลยทีเดียว เราก็สอนเขาบ้าง ให้ธรรมะ(เทศนา) แก่เขาบ้าง แผ่เมตตาให้เขาได้พ้นทุกข์ กระแสธรรมเป็นสิ่งที่อ่อนละไม ใครบ้างไม่อยากรับ ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ เป็นคุณค่ามหาศาล ไม่มีสิ่งใดจะ เลิศล้ำกว่านี้คือธรรมะ นี่
วิญญาณทั้งหลายเขาได้ยิน ได้ฟังเราก็ได้บุญได้กุศลอีกด้วย เมื่อมีโอกาสอันนี้แล้ว เรารีบเร่งปฏิบัติกันเสีย อย่าทิ้งเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะการเกิดมาในชาติหนึ่งนี้แสนยากเย็นเข็ญใจ ถ้าแม้ไม่มีบารมีธรรมจริงๆ จะไม่ได้เกิดมาแน่
ญาติโยมต้องเข้าใจในหลักความจริงว่าเกิดมาแล้ว ความตายก็ใกล้เข้ามา มันพยายามรุกไล่มาอยู่ทุกขณะจิต มันตายอยู่ตลอดเวลา ขอให้เป็นเครื่องกําหนดรู้ จะได้ไม่เสียกาลนะ
ปฏิบัติเป็นบูชาอย่างยิ่งที่ ขึ้นตรงต่อหลักธรรมและพระพุทธเจ้า เรามีสิ่งประเสริฐแล้วในขณะนั้น เรามีพระพุทธเจ้าอยู่กับใจ นี่จึงเมตตาสอนให้ และจงจําไว้ว่า นี่เป็นหัวใจของเราจริง ๆ”
หลวงพ่อกัสสปมุนี ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ทางด้านการสร้าง หลวงพ่อกัสสปมุนี ท่านได้ทําให้ถิ่นฐาน ใน จ.ระยองเป็นที่รู้จักของบรรดาพุทธบริษัทมากขึ้น ครั้งแรกหลวงพ่อมีความประสงค์ที่จะตั้งเป็นเพียงสํานักสงฆ์เท่านั้น ครั้นมีคณะศรัทธาไปบริจาคมากขึ้น ท่านจึงนําปัจจัย ที่ได้รับจากญาติโยม มาปลูกสิ่งที่เห็นว่าจําเป็น ประกอบด้วยคณะศรัทธา ชาวกรุงเทพฯ ได้นําวัสดุก่อสร้างไปถวายมากมาย ท่านจึงต้อง ดําเนินการสร้างเสนาสนะที่ถาวร ขึ้นอีกหลายหลัง ทําให้บริเวณภูเขาลูกย่อม ๆ นี้ กลายเป็น วัดปิปผลิวนาราม ต.หนองบัว อ.บ้าน ค่าย จ.ระยอง เจริญรุ่งเรืองขึ้น โดยลําดับ
หลวงพ่อกัสสปมุนี ท่านเป็น พระเถราจารย์ฝ่ายวิปัสสนาที่ ทรงเกียรติคุณ เป็นที่เคารพเลื่อมใส ของสาธุชนองค์หนึ่งในจังหวัดระยองที่ชาวระยองให้ความเคารพและศรัทธาตลอดมากระทั่งปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้ หลวงพ่อกัสสปมุนี มรณภาพลง เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๑ อายุ ๗๙ ปี จากวันนั้นจนถึงวันนี้หากหลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะต้องมีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี
ซึ่งทางวัดยังคงเก็บสรีระของหลวงพ่อเอาไว้ เพราะหลวงพ่อได้เคยกล่าววาจาเอาไว้ว่า “หลวงพ่อจะอยู่จนอายุ ๑๓๐ ปี แต่ต้องเปลี่ยนธาตุขันธ์”