ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่สมบูรณ์ กันตสีโล
วัดป่าสมบูรณ์ธรรม
อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก
หลวงปู่สมบูรณ์ ท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยชอบความสงบ เรียบง่าย ท่านมักเที่ยวออกไปตามป่าเขาลำเนาไพร สถานที่ลำบาก และสถานที่น่ากลัว เต็มไปด้วยอันตราย ท่านบอกว่า เห็นป่าเห็นเขาแล้ว “มันรู้สึกว่าเห็นมรรคผลนิพพานอยู่ไม่ไกล” เมื่อหลวงปู่สมบูรณ์ ออกเที่ยวธุดงค์มาถึงบ้านห้วยเหิน ต.ป่าแดง อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ท่านพิจารณาเห็นว่า สถานที่แห่งนี้สมควรตั้งวัดขึ้น ท่านจึงรวบรวมคณะศิษยานุศิษย์ สร้างเป็นวัดขึ้น ชื่อเป็นวัดป่าสมบูรณ์ธรรม เพื่อเป็นที่ประพฤติปฏิบัติ และอบรมพระภิกษุสามเณร ตลอดจนอุบาสกอุบาสิกา ที่มีจิตสนใจในธรรม มาจนถึงปัจจุบัน การบำเพ็ญเพียรของหลวงปู่นั้น ไม่ใช่ประเภทกินสนุก นอนสบายท่านตั้งอกตั้งใจถวายชีวิตบูชาธรรมโดยแท้นิสัยอันตั้งตรงต่อธรรมนี้ยังคงติดตัวติดใจท่านมาจนถึงปัจจุบันทุกวันนี้ท่านก็ใช้ผ้า ๓ ผืน, บิณฑบาตเป็นวัตร, ห่มสังฆาฏิซ้อนเวลาบิณฑบาต,ฉันมื้อเดียว, ตัด เย็บ ย้อม ผ้าไตรเอง ,กวาดลานวัด ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความมั่นคงในธรรมของท่านแม้วันนี้ท่านจะเป็นพระเถระที่มีอายุมากแล้ว ท่านก็ยังทำทุกอย่างเอง ไม่อยู่สบาย นอนสบาย เพราะถือตนว่าเป็นครูบาอาจารย์แต่อย่างใด
หลวงปู่สมบูรณ์ กันตสีโล เกิดเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๓ ที่จังหวัดขอนแก่น ในระหว่างใช้ชีวิตฆราวาส ท่านพิจารณาถึงการใช้ชีวิตทางโลก โดยพิจารณาจากชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนบ้านและเพื่อนฝูง ทำให้ในใจท่านมีแต่ความอยากออกบวชหาความพ้นทุกข์ จนกระทั่งท่านอายุ ๓๒ ปี จึงได้ขออนุญาตมารดาเพื่อออกบวช และเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ถามท่านว่า “ทำไมถึงอยากมาบวช” หลวงพ่อสมบูรณ์ได้ตอบหลวงปู่ฝั้นกลับไปว่า “ขอโอกาสหลวงปู่ กระผมเห็นทุกข์ทางโลก” เพียงเท่านี้ หลวงปู่ฝั้น ก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีกเลย
หลวงปู่สมบูรณ์ กันตสีโล ได้ออกบวชเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๑๕ จากนั้นท่านได้อยู่อบรม ทำข้อวัตรปฏิบัติ ศึกษาธรรมกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร สลับกับออกเที่ยววิเวกกรรมฐาน ธุดงค์ไปในเขตพื้นที่ภาคอีสาน จนกระทั่งหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ถึงแก่กาลมรณภาพ
เรื่องราวของอาตมาที่เกี่ยวกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร นั้นก็ไม่ถึงกับว่าได้เป็นลูกศิษย์ท่านหรอกแต่อาตมาเคยอยู่ฟังเทศน์ฟังธรรมของท่าน ไม่ถือว่าเป็นศิษย์หรอกเพราะอาตมายังไม่เก่งเพียงแต่เคยอยู่กับท่าน ๓ ปี พอท่านมรณภาพ ลูกศิษย์ลูกค้าก็ต่างแยกย้ายกันไป ใครมีหลักใจก็อยู่ได้
ส่วนเรื่องการบวชนั้นอาตมาได้บวชที่ขอนแก่นเพราะเป็นคนขอนแก่น แต่ก่อนที่จะบวชก็ได้บวชเป็นผ้าขาวอยู่ ๑ เดือน โดยถือผ้าขาวอยู่ที่วัดป่าอุดมสมพร ตอนไปเป็นผ้าขาวอยู่นั้น ก็มีโยมแม่ไปส่งกลับอาจารย์ดาวที่เป็นญาติกันอยู่ที่นั่น ก็เช่ารถไปจากขอนแก่นไปมอบตัวเป็นลูกศิษย์ลูกค้ากับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร พอท่องขานนาคได้ก็เลยขอลาท่านมาบวชที่ขอนแก่น ท่านก็อนุญาต อาตมาบอกกับหลวงปู่ว่า ถ้าบวชแล้วผมก็จะกลับมาจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่เหมือนเดิม จากวัดป่าอุดมสมพรมาอาตมาก็นุ่งผ้าขาวนั่นแหละมาขอนแก่น มีบาตรอยู่ลูกหนึ่ง บวชอยู่ได้ไม่นานก็ได้เก็บบริขารขึ้นรถไปลงที่วัดป่าอุดมสมพรที่เดิม ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ฝั้นได้ ๓ พรรษา ตั่งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๕-๒๕๑๗ พอปี พ.ศ.๒๕๑๘ ก็กลับมาขอนแก่น พอปี พ.ศ.๒๕๑๙ ก็ไปจำพรรษาอยู่ที่จังหวัดหนองคาย อำเภอโพนพิสัย เป็นวัดตั้งใหม่ มีคนเขาถวายที่ให้ ๑๒ ไร่
◎ ธุดงค์ไปแต่ในที่วิเวก
ย้ายออกมาแล้วอาตมาก็กลับไปอีกทีเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๔ ก็ไปถามข่าว เขารื้อแล้ว เพราะเจ้าของเขาเอาที่ดินคืน เขาก็เลยมาสร้างที่ป่าช้า อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปอีก ๒ กิโลเมตร ปลูกกระต๊อบอยู่ ไม่ได้เป็นวัด ชนะก็ยกเป็นหลัง หลังละ ๒ ห้อง หลังหนึ่งมุงสังกะสี อีกหลังมุงหญ้าแฝก ใช่ไหมอัดแผ่นหนึ่งเป็นหลังคา พอดีจะทำห้องน้ำ ห้องน้ำก็ไม่มีฝา ก็เลยแกะเอาไม้อัดมาทำเป็นฝาห้องน้ำ กุฏิที่อยู่ก็เลยต้องใช้เสื่อ ที่เราปูนั่งนี่แหละเป็นหลังคา อยู่มาตลอดพรรษา พระออกพรรษาประมาณเดือน ๑๒ ก็หนีเที่ยวมาเลยจนมาถึงจังหวัดเลย อยู่จังหวัดเลย ๑๐ ปี อยู่ที่อำเภอภูเรือ อำเภอท่าลี่ อำเภอวังสะพุง เที่ยวอยู่แต่ในที่วิเวก บ้านป่าบ้านดง สถานที่เก่าของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม แถวนั้นเขารู้จักกะมาหมดแหละ นอนตามป่าช้า นอนตามไร่ข้าวโพดเขา พอตื่นเช้าก็ออกบิณฑบาต พอเป็นที่สัปปายะ ภาวนาแล้วจิตใจสงบก็อยู่ไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องความสุขทางกาย ไปอยู่สองคอนเดือนมีนาคมต่อเดือนเมษายนนี่ฝนตกตลอด มันหนาวยังกับเดือน ๑๒ เลยนะ พ่อกลางคืนฝนตกเพิงที่พักอยู่เปียกหมด ต้องเอากลดเอามุ้งออก เสือก็เอามานั่งทับไว้ สบงจีวรยัดใส่ในบาตรเอาฝาปิดไว้ นั่งสมาธิแล้วก้มหัวลงกับบาตร เรียกว่านอนลิง พอฝนหยุดตกแห้งแล้วก็เอาเสื่อมาปูแล้วก็กลางกลด แทบจะไม่ได้นอนเลย หลายวันเข้าก็คิดว่า เรามาอยู่นี่ก็ลำบากพอสมควร คิดว่าพรุ่งนี้จะลองถามเขาดู ถ้าเขาทำที่พักให้ก็จะอยู่จำพรรษาด้วย คิดในใจอย่างนี้
แต่ก่อนถนนหนทางก็เป็นทางดินลูกรังธรรมดา ไม่มีรถผ่าน พอเป็นทางลาดยางแล้วรถก็วิ่งเกือบทั้งคืนเลย เดี๋ยวนี้หาความสงบไม่มี พ่อคุยกับเขาแล้วเขาก็ทำที่พักให้เป็นกระต๊อบ ก็อยู่ไปพอใกล้เข้าพรรษา เขาก็เลยไปนิมนต์ ท่านพระอาจารย์สมศรี อัตตสิริ นิมนต์มาจากวัดป่าสวนกล้วย ที่ท่านเคยอยู่กับท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร ที่วัดถ้ำสหายธรรม (ปัจจุบันหลวงพ่อสมศรี ท่านอยู่วัดป่าเวฬุวนาราม ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย) ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียนก็บอกว่าก็ดีทั้งศรี จะได้เอายาหัวมาต้มด้วย อาจารย์สมศรีท่านก็เลยมาจำพรรษาอยู่ด้วยกันกับอาตมาเป็น ๒ องค์ เวลาทำกิจเดี๋ยวจะไปสรงน้ำก็ไปด้วยกัน ๒ องค์ เดินไปด้วยกันไม่ได้มีก๊อกน้ำให้เปิดสะดวกอย่างปัจจุบันนี้หรอก เดินไปเกือบครึ่งกิโล ตอนเย็นก็เดินไปกัน ๒ องค์ตามหลังครูบาอาจารย์ ก็คุยกันไป เพราะกลับมาก็อยู่ใครอยู่มันต่างคนต่างอยู่ ออกพรรษาก็เดินลัดมาบ้านบง เดินลัดเขามาเพราะไม่มีรถนั่งมาน่ะ รถเขาจากสองคอนมาบ้านบง จากบ้านบงขึ้นห้วยลาด ทางเดินทั้งนั้น แต่ก่อนกันดารมาก อาหารการกินเขาให้อะไรก็ฉันอย่างนั้นแหละ เพราะเราก็ไปหาไม่ได้ ยิ่งครูบาอาจารย์ของเราสมัยก่อนยิ่งหนักกว่านี้ สมัยนี้พระธุดงค์สบายที่ไหนเขาก็รู้จักหมด
ตอนอยู่ที่บ้านสองคอนนี้นะ อาตมามานอนอยู่ที่ป่าช้า นี่บางคนยังนึกว่าอาตมาเป็นผี เป็นพระที่กินคน บางคนเขาก็กลัวนะ เห็นอาตมาออกบิณฑบาตอยู่นี่เขาก็วิ่งหนีเลยนะ คือเมื่อก่อนมันมีข่าวว่า พระกินคน ฆ่ากันกิน ฆ่าคนตาย ชาวบ้านมาเก็บเห็ดเก็บอะไรตามป่า เห็นอาตมานี่วิ่งหนีเลย ถึงขนาดนั้นเลยนะสมัยก่อนคนบ้านป่าบ้านดง
ส่วนมากอาตมาก็ไปองค์เดียวเพราะอยู่ยังไงเราก็อยู่ได้ อยู่ตรงไหนก็ได้ ถ้าไปด้วยกันหลายองค์ องค์นั้นอยากอยู่องค์นี้อยากไปมันก็ต้องตามกัน มันก็เลยอยู่ไม่ได้ บางทีเราภาวนาได้ดีเพื่อนเขาภาวนาไม่ดีที่ไปด้วยกันก็อยากไป มันก็เลยต้องตามกัน เราก็เลยเสีย สู้ไปองค์เดียวของเราไม่ได้ ไปองค์เดียวเนี่ยแหละง่ายดีไม่ต้องไปตามใจใคร ตัวเราอยากอยู่ก็อยู่ อยากไปก็ไป มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทำใจมันก็ยากในการบวช มันฝืนธรรมชาติ ฝืนโลก
◎ การเกิดเป็นความทุกข์
อาตมาเคยพูดอยู่กับพวกญาติโยม ภาระของกายที่ให้บำรุงมันนี่ไม่ใช่ง่ายๆ คนเราทุกคนไม่ว่าพระว่าโยมภาระของกายให้เขาทุกวันทุกวันๆ นี่นะ อาหารการฉันเป็นภาระขนาดไหน หนักขนาดไหน โทษของมันขนาดนี้คนยังไม่เห็นโทษของมันนะ โทษของกาย โทษของการเกิด ความเกิดที่เกิดขึ้นมามันทุกข์ยากลำบาก ไม่ให้เขาก็ไม่ได้ มันเป็นทุกข์ ให้แล้วก็บำบัดให้หายทุกข์ไปชั่วคราว ถ้ามันเกิดขึ้นอีกก็ต้องให้มาอีกอยู่อย่างนี้ ทีนี้อย่างญาติโยมเรามันหลายคนอย่างนี้ เดี๋ยวก็ลูก เดี๋ยวก็หลาน เดี๋ยวก็ตัวเองบ้าง สามีบ้าง ลูกบ้าง มันก็ไม่พอซิ กินเท่าไหร่มันก็ไม่พอ นี่แหละเรื่องของมัน เรื่องของความทุกข์ ถ้าเราไม่เห็นความทุกข์ในสิ่งนี้ โอ้โห…ไม่ได้ จัดว่าเป็นของยากนะ ถึงจะเป็นของที่อยู่กับตัวเองมันก็มองไม่เห็น แม้ว่าความทุกข์นั้นเกิดกับตัว เราก็มองไม่เห็น ก็ปล่อยให้มันผ่านไป นี่แหละความทุกข์ของมันที่เกิดมา ถ้าใครเห็นความทุกข์ในสิ่งนั้นแล้ว ก็อยู่เป็นสุข อันไหนมันก็เหมือนกันหมด ยังครูบาอาจารย์หรือหลวงปู่ที่ท่านเทศน์ว่า ธาตุอันเดียวกัน ขันธ์อันเดียวกัน มันก็จริงอย่างท่านว่า ธาตุสี่ ขันธ์ห้า อันเดียวกันไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย แต่มันก็เหมือนกับที่อาตมาว่ามานั่นแหละ ถ้าผ่านไปแล้วมองไม่เห็นมันก็ยาก ที่มันมีอยู่ เป็นอยู่ เราไม่เห็น เราไม่รู้ จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ตัวเอง
◎ ธรรมะอยู่ที่การปฏิบัติ
ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้ภาวนาน้อมเข้ามาหาตัวเองความสกปรกโสโครกความอะไรต่างๆ อยู่ที่เราหมด นึกว่ากรรมฐาน ๕ กรรมฐานนี้มีทุกคน แต่ว่าเราจะเอามาพิจารณาไหม กรรมที่ทำ ฐานที่ตั้ง ที่ตั้งแห่งกรรม กรรมดีกรรมชั่ว ฐานะเป็นฐานที่ตั้งแห่งกรรม รวมเข้ามาแล้วก็อยู่ที่กายกับใจ ๒ อย่าง รวมเข้ามาแล้วเหมือนกับหนทางมีสองทาง บุญกับบาป สองอย่างใครจะเลือกก็เลือกเอา ถ้ามีคนไม่รู้จักบุญก็ทำบุญไม่ได้ แต่ทำบาปไม่มาก ถ้าคนรู้จักคุณทำบุญได้มาก ทำบาปได้น้อย อาจจะไม่ทำเลยก็ได้ แค่คนรู้จัก นี่แหละที่ว่าคนไม่รู้จัก พูดมันพูดได้นะ เรื่องศีลธรรมใครๆ ก็พูดได้ ศีลห้าใครก็พูดได้ ท่องได้ แต่ว่ามันไม่เป็นศีลเป็นธรรม ไม่เป็นศีลเพราะอะไร เพราะมันรักษาไม่ได้ มันทำไม่ได้ มันก็เลยไม่เป็นศีล ทำเหมือนกัน รู้จักทำ แต่ประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ได้ นี่มันเป็นอย่างนี้ พวกเราก็เหมือนกัน ให้พากันน้อมนำธรรมะ ให้ใจเป็นธรรมะ ให้ศีลเป็นธรรม ถ้าใจเป็นศีลเป็นธรรมแล้วไม่มีปัญหาอะไร โลกก็เหมือนกันทุกวันนี้เราขาดศีลธรรมนะ ขาดมากเลย มีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลงทั้งนั้น เต็มไปด้วยสมมติต่างๆ ก็ลงสมมุติต่างๆ เที่ยวสมมติให้เป็นโน่นเป็นนี่เป็นนั่น
พระพุทธเจ้าท่านประเสริฐขนาดคนรวยในเมืองของเรายังไม่เท่าเลย ท่านไปทำไม ก็เพราะมองเห็นความทุกข์นี่แหละ เห็นความเกิดเป็นทุกข์ แต่พวกเรามันมองไม่เห็น แค่คล้ายกับว่ายังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว กงจักรปั่นเลือดไหลแดงร่ายังว่ามันสวยงามอยู่ เรามันเป็นอย่างนี้ เหมือนกันถ้าคนมืดคนบอด อยากเห็นโลกนี้ว่าเป็นของสวยของงาม เป็นของตัวเองทุกอย่าง นี่ทุกวันนี้คิดอย่างนี้ มันก็เลยไม่รู้จักว่าของดีที่มีอยู่ ไม่อยากประพฤติปฏิบัติ และไม่อยากทำเอาสร้างเอา ลืมบุญเก่าที่ตัวเองได้สร้างมาเกิดมา แล้วบางคนได้ยศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตมโหฬารก็ลืมเลย มันเป็นอย่างนี้ ที่นี้จะทำอย่างไรเอามาลืมแล้ว ของโลกก็ทิ้งไว้โลก ทุกอย่างทิ้งไว้ในโลกหมดนะ นี่กายก็เป็นของโลก ไม่ได้เอาไปด้วย แต่ว่าเหมือนกับคนเราจะข้ามฝั่งโน้นไป จะข้ามไปก็ต้องอาศัยเรือหรือว่ายข้ามไปจึงจะข้ามได้ ที่นี้คนที่จะข้ามฝั่งหรือพ้นฝั่งแห่งความทุกข์ มีชาติความเกิด มีชราความแก่ พยาธิความเจ็บไข้ มรณะความตายต้องอาศัยการประพฤติปฏิบัติ ต้องอาศัยศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่จะอาศัยเงินอาศัยทองนะ ต้องอาศัยศีล สมาธิ ปัญญาเป็นหลัก ถ้าออกจากเส้นทางนี้ไปแล้วไม่มีทาง คือปัจจัย ๔ วสุเงินทองเป็นของโลก กายของเราทุกคนเป็นของโลกทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นของใคร เมื่อเป็นของโลกเราจะไปก็ต้องทิ้งไว้โลกอันนี้ มีใครเอาไปไม่ได้หรอก วัตถุเงินทองของโลกทั้งหมดที่เราใช้ แต่ว่าเมื่อมันเป็นอย่างนั้นเราจะทำอย่างไรจึงจะได้ความสุข ด้วยความสบายหรือยกฐานะของตัวเองที่เกิดมาแต่ละชาติๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ นี่จะทำยังไง ก็มีแต่คุณงามความดี ทาน ศีล ภาวนา นอกเหนือจากนี้ไม่มีอะไรเลย
พูดตามหลักตามที่อาตมาเป็นผู้ปฏิบัติ พูดตามสติปัญญาของตัวเอง และได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์มาด้วยเป็นหลัก อยู่ในพระพุทธศาสนาทุกวันนี้ได้ก็อาศัยหลักของครูบาอาจารย์ทั้งนั้น อยู่ด้วยความสุขสบาย จิตใจไม่เดือดร้อน ไม่วุ่นวาย ก็เพราะหลักธรรมคำสอนของครูบาอาจารย์ เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักคำสอนของครูบาอาจารย์ ทุกอย่างไม่ว่าจะทางโลกทางธรรมก็ตามถ้าไม่มี ขันติความอดทน ไม่มีความพากเพียร ไม่มีทางหรอก ทางโลกก็เหมือนกัน จะหาเงินหาทอง สร้างเนื้อสร้างตัว สร้างบ้านสร้างช่องอะไรต่างๆ ถ้าไม่มีความพากเพียร ไม่มีความอดทน ไม่มีทางได้ทุกอย่างหรอก ท่านจึงบอกว่า จะพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร
◎ เป็นพระทิ้งการปฏิบัติไม่ได้
ทุกอย่างต้องมีครูบาอาจารย์คอยแนะนำ มีคนกล่าวตักเตือนคอยบอกสอน เรามีพ่อมีแม่สอนมาก่อน เป็นครูมาก่อน ครูบาอาจารย์เป็นผู้สั่งสอนแนะนำ เราทำเหมือนท่านไม่ได้ เราบวชไม่ได้ก็เพียงแต่รักษาศีล เจริญเมตตา ภาวนาตามคำสั่งสอน ทำได้เป็นเพียงบางครั้งบางคราว แต่ครูบาอาจารย์ท่านทำทุกวันไม่เคยขาดในเรื่องการภาวนา มันผิดกัน พละกำลังก็ผิดกัน ในเรื่องพระปฏิบัติพระทิ้งการปฏิบัติไม่ได้หรอก ทิ้งเมื่อไหร่พังทั้งนั้น ตายทั้งนั้นแหละต้องสึก จะบวชได้กี่พรรษาก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีหลักมันคล้ายว่าเอาหินทับหญ้าไว้เฉยๆ พอดึงหินขึ้นมาหญ้ามันก็เกิดขึ้น คล้ายๆ ว่าเอาสมาธิข่มไว้เฉยๆ พอจิตถอนจิตเสื่อมทำยังไงล่ะทีนี้ เพราะสมาธิยังไม่แน่นอนนะ เพียงแต่สงบ คนน่ะมันไม่สงบทางนั้น เป็นไปไม่ได้ รักษาไม่ได้ ถ้าพูดไม่เป็นธรรมทำใจไม่เป็นจริงๆ มียาก นอกจากจะมีปัญญาจริงๆ จะเข้าจะออกจะภาวนาให้จิตสงบมันก็ยาก ไม่ใช่ธรรมดา นั่งนี่บางทีจิตมันไปโน่น ไปรอบขอบจักรวาลโน่น นั่งอยู่นี่จิตมันไปกรุงเทพฯ ไปบ้านโน้น นี่มันไม่ใช่รักษาง่ายๆ เลย แต่เมื่อพอหน้าเป็นก็จะมีความสุขความสบายนี่คืออานิสงส์แห่งการปฏิบัติ
◎ ปลูกป่าสร้างวัด
ที่อาตมามาอยู่นี่มันก็แปลกเหมือนกันนะ มาอยู่ได้ยังไง ไม่อยู่ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๓๖ ป่าที่เห็นอยู่นี้อาตมาปลูกใหม่นะ แต่ก่อนลบหมดเลย ไม่มีอะไรเลย เนื้อที่ทั้งหมด ๑๕๐ ไร่ แต่ก่อนเขามาเอาดินไปขาย ตอนที่อาตมาปลูกต้นไม้นี่ทีแรกเลย ก่อนที่จะมีก๊อกน้ำว่าเป็นจุดๆ ตอนเช้ามืดกว่าจะสว่างเอาสายยางเสียบหัวก๊อกแล้วก็ดึงลากมารดน้ำต้นไม้ เอาผ้ากรองแขวนไว้ตรงเอวหรือสะพายไว้ ใกล้สว่างก็วางสายยางแล้วก็ไปลงศาลา จัดศาลา บางทีก็จัดศาลาก่อน บางทีตี ๓ ตี ๔ ไปจากศาลาเสร็จแล้วก็มารดน้ำต้นไม้ ว่าจะสว่างก็เข้ากุฏิวางผ้าครอง ออกไปศาลาคลองผ้าแล้วก็ออกไปบิณฑบาต ไปๆ มาๆ โยมจากกรุงเทพฯ ก็ไม่เห็นอาตมาทำอย่างนี้เขาก็เลยซื้อสายยางมาให้ ก็เลยได้ระบบน้ำหยด ไปหาซื้อที่จังหวัดเลย ปุ๋ยเขาก็ให้งานเกษตรอำเภอขายไม่หมดมันค้างสต๊อก เขาก็เลยเอามาถวายพระ พอทำน้ำหยดก็สบายหน่อย ที่เป็นปูนขอบๆ นี่ประตูน้ำทางนั้นนะ วาล์วน้ำทั้งนั้น
แต่ก่อนยังไม่มีน้ำหยดนี่ ดึงสายยางเอามาลากรดน้ำต้นไม้ นี่ก็เป็นความพยายาม ความเพียรที่ท่านว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ถ้าต้นไหนตายก็ปลูกใหม่ มันเป็นของธรรมดาแล้ว แต่มันนี่แหละ ที่อาตมารักษามาก็อาศัยความพยายาม ตรงที่เป็นป่าเก่าอยู่แล้วก็มีอยู่ ตรงที่ไม่มีก็ปลูกใหม่ ลุงพี่ปูก็พวกญาติโยมเขามาขุดให้ ทีละ ๒-๓ หลุม ก็มีผู้ช่วยหมวดกรมทางฯที่ มาบวชอยู่ด้วยช่วยขุดไว้ให้ ขุดไว้ทุกวัน อาตมาได้ต้นอะไรมาก็ปลูกตาม
◎ เหตุที่มาของชื่อวัดป่าสมบูรณ์ธรรม
ชื่อวัดนี้อาตมาก็ตั้งตามพระที่ท่านนิมิตเห็น คือท่านชวนกันมาสร้างวัด พอตกลงกันแล้วก็จะไปหาที่สร้างวัด ก็มันคิดว่าถ้าสร้างแล้วจะตั้งชื่อว่าอะไรดี เขาก็เลยบอกมา ๒ ชื่อ ในฝันนะ แต่อาตมาก็มาตัดออก วัดป่าสมบูรณ์วิเวกธรรม ที่เขาบอกมานะ แล้วก็อีกชื่อหนึ่งให้เลือกเอาชื่อมันเป็นมงคลแล้ว อาตมาก็มาเขียนใส่กระดาษไว้ ๓ ชื่อ สองชื่อก็ลืม ก็เลยได้ชื่อว่า วัดป่าสมบูรณ์ธรรม แล้วมันก็กลมกลืนกับตัวผู้มาสร้าง อาตมาก็ชื่อหลวงพ่อสมบูรณ์ มันก็เลยได้ ๒ อย่างไปในตัวเลย นี่ก็เป็นเรื่องราวที่ได้ประสบมา
◎ โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่สมบูรณ์ กันตสีโล
“..เราท่องเที่ยวในวัฎสงสาร เกิด ตาย ก็เพราะสมบัติที่เราสร้างนี่แหละคือ ทาน ศีล ภาวนา เมื่อมาเกิดอีก
จะได้ไปอยู่ที่สุขสบาย อย่าละความดี ให้ละความชั่ว อะกะตัง ทุกกะฏัง เสยโย ปัจฉาตัปปะติ ทุกกะฏัง ความชั่วอย่าทำเสียเลยดีกว่าเพราะความชั่วจะทำให้เดือดร้อนภายหลัง..”
“..ถ้าศีลไม่มีแล้ว ภาวนาก็ไม่เกิด ไม่มีความสงบ ใจไม่สงบ ตนขัดข้อง ท่านจึงว่า ศีล อบรมสมาธิ อะไรก็แล้วแต่ สู้ใจดีไม่ได้ เมื่อทำดี ใจก็ดีจึงว่า ..สีเลนะ สุคะติง
ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา ผู้มีศีลเป็นผู้มีความสุข ผู้มีศีลเป็นเป็นผู้มีโภคทรัพย์ สิเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา
สีลัง วิโสทะเย นี่สุดเท่านี้..”
“..โลภ โกรธ หลง เป็นไฟท่านให้ละ มันลุกขึ้นเอาขี้ฝอยเชื้อไฟไปใส่ก็ไม่ลุก ใครอยากว่าอะไรก็ช่างเขา
สมมติเขาว่าเราไอ้หมา ไอ้สุนัข ลองจับดูหางเราไม่มี
ก็จะไปโกรธเขาทำไม เขาทำไม่ดีกรรมก็ย้อนหาเขาเองแหละ การยึดมั่นถือมั่นมันหนักเหมือนเรายกก้อนหิน ถ้ามันหนักเราไม่วางมันก็หนักตลอด..”
“..ใจเรานี่แหละมีทุกอย่าง เป็นเปรต เป็นผี เป็นยักษ์ เป็นมารก็ได้ มีหมดอยู่ที่เรา ไม่ใช่ใจจะเป็นพระอย่างเดียว ทางไหนไม่ดีก็แก้ไขเอา ละของไม่ดีสกปรกออกจากใจ ล้างออก เอาศีล สมาธิ ปัญญา ล้างออกให้เหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์..”
“..โลกมนุษย์เป็นโลกสร้างบุญและสร้างบาป ถ้าสร้างบุญ เราก็ไปสู่สุคติ คือ มีความสุข ถ้าเราสร้างไม่ดี ทำไม่ดี ก็เป็นทุคติ คือความทุกข์ ดูปัจจุบันเป็นอย่างไร อนาคตก็เป็นอย่างนั้น..”
“..สุดท้ายก็ไปทุกคน ทำดีไว้อย่างเดียวเท่านั้นพอ ปฏิบัติให้ถึงพร้อมจึงจะไม่ได้ไปเกิด ผู้ปฏิบัติย่อมรู้เอง เห็นเอง ชาตินี้ไม่ได้ก็ชาติหน้า เดี๋ยวก็ถึงเอง ถ้าไม่เดินทางก็ไม่ถึงที่บรมสุข ต้องเดินทางไปหาจุดนั้นตามคำสอนของพระพุทธเจ้า..”
ปัจจุบัน หลวงปู่สมบูรณ์ กันตสีโล เจริญอายุวัฒนมงคล ครบ ๘๐ ปี พรรษา ๔๙ (พ.ศ.๒๕๖๓)
ที่มา :ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจ ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน