วันอังคาร, 26 พฤศจิกายน 2567

พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต อดีตขุนโจรอิสไมล์แอผู้เป็นพระอริยบุคคล

ประวัติและปฏิปทา
พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต

วัดป่าผาลาด
อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต

หลวงพ่อประยุทธ ธมฺมยุตฺโต วัดป่าผาลาด ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี อดีตขุนโจรอีสไมล์แอ โจรสลัดทะเลผู้โหดเหี้ยม เสรีไทย ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้หันเหชีวิตเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และขออุบายธรรมจากหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ และหลวงปู่สาม อกิญฺจโน

◎ ชีวิตก่อนบวช
พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต ท่านมีนามเดิมชื่อ ประยุทธ สุวรรณศรี เกิด ปี พ.ศ.๒๔๗๑ ปีมะโรง เดือน ๕ วันเสาร์ มีพี่น้องรวมกัน ๕ คน ท่านเป็นคนที่ ๓ โดยมีพี่ชาย ๑ พี่‌สาว ๑ และน้องสาว ๒ คน คือ คุณประภา และ คุณพะเยาว์

บ้านเกิด จ.เพชรบุรี แต่ไปเติบโตที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ‌เพราะทั้งครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น ครอบครัวท่านมีฐานะดี‌พอควร ท่านเล่าว่าชะตาของท่านต้องฆ่าคนโดยไม่เจตนาเมื่ออายุ ‌๑๑ ปี คือ ขว้างมีดเล่นๆ ไปถูกชายคนหนึ่งเข้าที่สำคัญทำให้‌ชายผู้นั้นถึงแก่ความตาย แต่เนื่องจากยังเด็กจึงไม่ถูกลงทัณฑ์ ‌เมื่ออายุครบบวชพ่อก็มาเสีย แม่จึงจัดให้บวชตามประเพณีที่วัด‌กลางเมืองหัวหิน สันนิษฐานว่าเป็น วัดอัมพาราม บวชได้ ๑ พรรษาก็สึก นับ‌เป็นการบวชครั้งแรกในคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย

หลังจากสึกท่านก็ไปทำมาหากินทางใต้ เร่ร่อนไปหลายที่ ที่‌ไหนหาเงินได้มากก็อยู่นานหน่อย เคยเป็นกัปตันเรือตังเกหา‌ปลามีเพื่อนฝูงลูกน้องมากมาย และเคยไปลงทุนตั้งไนต์คลับที่‌มาเลเซีย

จุดหักเหในชีวิต เกิดเมื่อพ่อค้าใหญ่ในกรุงเทพฯ จ้างให้ขน‌ฝิ่นไปมาเลเซียในราคาเที่ยวละ ๒,๐๐๐ บาท และให้ไปรับเงินที่‌ปลายทาง พอไปถึงคนที่ซื้อฝิ่นกลับกลายเป็นตำรวจ ๒ คน‌บอกว่า จะจ่ายเงินค่าฝิ่นให้ ท่านไม่รับเพราะถ้าขืนรับ คนที่จ้าง‌ท่านเป็นพวกมีอิทธิพลคงไม่ไว้ใจท่านและท่านอาจโดนฆ่า แต่ที่‌สำคัญเจ้าหน้าที่ ๒ คนนั้นขู่ว่าถ้าไม่ตกลงตามราคาที่เสนอจะ‌แจ้งให้ตำรวจมาเลเซียจับ ทำให้ท่านไม่มีทางเลือก จึงตัดสินใจ‌ฆ่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองคน

ท่านเล่าว่าอุตส่าห์ควักไส้พุงมันออกเวลาไปทิ้งน้ำจะได้ไม่‌ลอยขึ้นมา แต่เจ้ากรรมจริงๆ ศพลอยขึ้นมาข้างๆ เรือ ทำให้มี‌คนเห็นและท่านถูกจับฐานสงสัยว่าเป็นฆาตกรแต่ไม่มีเรื่องค้า‌ฝิ่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

◎ ชีวิตเมื่อต้องโทษทัณฑ์
ท่านถูกขังคุกอยู่หลายเดือนที่มาเลเซียขึ้นศาลอยู่หลายครั้ง‌เพราะหลักฐานไม่พอ แต่ศาลพยายามให้ท่านรับสารภาพให้ได้ การขึ้นศาลครั้งที่ ๖ ในระหว่างที่ท่านรอการพิจารณาคดี มี‌ชายอายุประมาณ ๕๐-๖๐ ปี แต่งตัวดี ผิวพรรณผ่องใสสะอาด ‌เดินมาที่ศาล พยายามขอเข้าเยี่ยมและถามท่านว่าต้องคดีอะไร ‌ท่านไม่ตอบกำลังเครียดเพราะคดีท่านถึงขั้นประหารชีวิต เลย‌ลุกหนีไปนั่งที่อื่น ชายคนนั้นก็ตามไปถามอีก ท่านรำคาญเลย‌บอกว่าคดีฆ่าคนตาย ชายคนนั้นบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ถึงตายหรือ‌ติดคุก ลุงจะช่วย ท่านก็ถามกลับว่าจะช่วยยังไงดูแล้วไม่มีทาง‌รอดเลย ลุงแกก็บอกว่า จำคาถานี้สั้นๆ ไปใช้แล้วให้ว่าคาถานี้‌เวลาขึ้นศาลโดยให้เพ่งมองหน้าผู้พิพากษา แล้วจะพ้นคดี แต่‌ห้ามบอกคาถานี้แก่ใคร

ตอนนั้นท่านพระอาจารย์ประยุทธไม่เชื่อเรื่องคาถาอาคม‌แต่เมื่อจวนตัว ก็เลยลองท่องและจ้องมองไปที่ผู้พิพากษา ศาลตัดสินปล่อยตัว รอดจากการประหารชีวิตอย่าง‌ปาฏิหาริย์ แต่ท่านถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าประเทศมาเลเซียอีก

(ท่านทราบภายหลังเมื่อบวชปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ว่าลุง‌นั้นเป็นเทพ มาช่วยปกปักรักษาท่าน คงเห็นว่าท่านมีบารมีที่จะ‌ได้เข้าถึงธรรมในชาตินี้และชาติต่อไป เลยมาช่วย)

◎ ชีวิตเสรีไทย สงครามโลกครั้งที่ ๒
เมื่อพ้นผิดท่านพระอาจารย์ประยุทธก็กลับมาในประเทศ‌ไทยแถบภาคใต้เหมือนเดิม ขณะนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ‌๒ และรัฐบาลไทยต้องเข้าร่วมกับกองทัพญี่ปุ่นด้วยความจำเป็น‌บังคับ ขณะนั้นม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชซึ่งเป็นเอกอัครราชทูต‌ไทยประจำสหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น และรวบ‌รวมคนไทยในสหรัฐและยุโรปตั้งเป็นคณะเสรีไทยทำงานใต้ดิน‌เพื่อขัดขวางกองทัพญี่ปุ่นทุกวิถีทาง ท่านก็เข้าร่วมกับคณะเสรี‌ไทยอยู่ในกลุ่มที่คอยตัดกำลังญี่ปุ่น เรียกว่า“กลุ่มไทยถีบ”

กลุ่มไทยถีบ คือ เมื่อญี่ปุ่นขนอาวุธยุทโธปกรณ์หรือเสบียง‌อาหารไปให้กองทัพของตอนตามภาคต่างๆ ซึ่งต้องขนโดยใช้‌ทางรถไฟ กลุ่มของท่านก็จะดักซุ่ม เพื่อถีบของเหล่านั้นลงจาก‌รถไฟไม่ให้ไปถึงปลายทางได้

◎ กำเนิด“ขุนโจรอิสไมล์แอ”
สงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดได้ไม่นาน รัฐบาลประสบปัญหา‌ต่างๆ รวมทั้งการลำเลียงเสบียงอาหารเพื่อไปส่งยังเรือนจำที่‌เกาะตะรุเตา จ.สตูล ซึ่งตอนนั้นใช้ขังนักโทษการเมือง เนื่อง‌จากความยากลำบาก และสิ้นเปลืองงบประมาณ บวกกับเรื่อง‌ที่นักโทษหนีกันมาก รัฐบาลจึงสั่งให้ยุบเรือนจำนี้

ท่านเห็นโอกาสดีในการใช้เกาะตะรุเตาเป็นที่ซ่องสุมและ‌พำนัก จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกประมาณ ๒๐๐ คน เนื่อง‌จากที่พำนักดีทำให้การปล้นเรือสินค้าและเสบียงทางเรือของ‌กองทัพญี่ปุ่นทำได้สะดวก

ปล้นมาได้ท่านก็แบ่งแจกจ่ายให้ประชาชนที่กำลังอดอยาก‌ตามชายฝั่ง อีกส่วนหนึ่งกระจายกันอยู่บนฝั่งเป็นหูเป็นตา และ‌ส่งข่าวให้แก่หนังสือพิมพ์ให้นำเสนอข่าวพฤติกรรมของ‌โจรสลัดทะเลหลวง ฉายา“ขุนโจรอิสไมล์แอ”ช่วงนั้นชื่อเสียง‌ของโจรสลัดทะเลหลวงกลุ่มนี้โด่งดังมาก

ต่อมาเมื่อสงครามโลกสงบลง การปล้นของขุนโจรอิสไมล์แอได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเป็นการปล้นเรือขนส่ง‌สินค้าของผู้มีอิทธิผลทางการเมือง และทางราชการที่ขนข้าวไป‌ขายให้มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ เพราะว่าช่วงนั้นประชาชน‌ทางภาคใต้ปกติทำนาก็แทบจะไม่พอกิน ส่วนมากทำกินก็‌เฉพาะในครัวเรือน บางพื้นที่ก็ทำไร่ตามดอนเขาซึ่งกินได้ไม่ถึง‌ครึ่งปีด้วยซ้ำ จึงเห็นว่าการขนข้าวไปขายแทนที่จะช่วยเหลือ‌ประชาชนที่อดอยากเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เมื่อปล้นสินค้ามาได้ก็‌นำมาแจกจ่ายประชาชน ทำให้ผู้ส่งออกข้าวส่งคนมาเจรจาขอ‌ร้องอย่าให้ทำการปล้นอีก คำตอบท่านก็คือ ถ้าจะให้เลิกปล้นก็‌ต้องเลิกส่งข้าวออก ผู้ค้าข้าวก็ไม่ยอม เป็นอันว่าตกลงกันไม่ได้ ‌ทางราชการจะไปปราบโจรก็ไม่ได้เพราะการยกกำลังไปเกาะ‌ตะรุเตาทำได้ยาก เดินทางไม่สะดวก ทะเลกว้างใหญ่กลุ่มโจร‌สามารถไปหลบตามเกาะแก่งที่ไหนก็ได้ ตัวขุนโจรเองก็ไม่เคยมี‌ใครได้พบเห็นท่าน ท่านคุมลูกน้องเป็นโจรสลัดอยู่ ๕ ปี

◎ ได้กรรมฐานแต่ไม่รู้ว่าเป็นกรรมฐาน
หลังจากใช้ชีวิตอย่างโชกโชนในคราบขุนโจร นายประยุทธ ‌สุวรรณศรี ก็กลับมาเยี่ยมบ้านที่หัวหิน โดยไม่มีใครรู้ว่าไปทำมา‌หากินอะไรมา

เมื่อมาถึงบ้านพบว่าแม่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ที่ทำให้ท่าน‌สะเทือนใจและเสียใจมากที่ไม่มีโอกาสได้สนองคุณแม่เลย‌เพราะพี่สาวและน้องสาวบอกว่า ตั้งแต่ท่านหายสาบสูญไม่มี‌ข่าวมาเลย ทำให้แม่เสียใจมาก เฝ้าแต่คร่ำครวญว่า“เล็กของ‌แม่”จนสิ้นใจ ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงภาพถ่ายขนาดใหญ่เพียงภาพ‌เดียว ไม่มีน้ำตาจะหลั่งไหลให้ใครดู มันตกอยู่ข้างใน

ท่านเป็นคนที่แม่รักมาก คำว่า“เล็กของแม่”ท่านได้ยินตั้ง‌แต่เล็กจนโตเป็นที่ซาบซึ้งใจที่สุด ระลึกถึงอ้อมอกอันอบอุ่นของ‌แม่ ระลึกถึงภาพที่แม่เคยปฏิบัติต่อท่าน ภาพต่างๆ ที่ผ่านมาได้‌เข้ามาในความคิดคำนึง ขณะที่นั่งอยู่หน้ารูปของแม่ พลันจิต‌ของท่านก็สงบและวูบลงไป

ขณะที่จิตของท่านกำลังสงบ ปรากฏชายร่างกายกำยำ ๔ ‌คนตรงเข้ามาจับตัวท่าน เข้าเครื่องขื่อคาลงทัณฑ์โดยไม่ฟัง‌อะไรทั้งสิ้น แล้วนำท่านไปสู่ขุมนรกอันมีกระทะทองแดงใบ‌ใหญ่ ร้อนมากไม่เคยเจออะไรร้อนอย่างนี้มาก่อน เป็นสิ่งที่‌สยดสยองเกิดความหวาดกลัวอย่างรุนแรง จนท่านร้องเสียง‌หลงว่า“แม่ช่วยลูกด้วย”พลันก็มีใบบัวอันใหญ่เท่ากระด้งตาก‌ปลา มาช้อนร่างท่านขึ้นไปบนที่สูง นำท่านสู่วิมานลอยฟ้า อัน‌วิจิตรบรรจงที่ไม่มีสถานที่ใดในเมืองมนุษย์จะเปรียบได้

ในวิมานนั้นปรากฏว่า มีนางฟ้าจำนวนเป็นร้อย ร่ายรำอยู่‌เบื้องหน้า แต่ละนางอายุประมาณ ๑๖-๑๗ ปี มีรูปร่างความงาม‌ดูละม้ายคล้ายคลึงกันที่งดงามและแปลกตาก็คือแต่ละนางสูง‌ศอกเท่าเทียมกัน

ทันใดนั้นมีนางฟ้านางหนึ่งดูงดงามเป็นพิเศษ ลอยออกจาก‌วิมารด้วยอาการแย้มสรวลมีเสน่ห์ นางลอยออกมาล่อหลอก ‌โฉบผ่านหน้าท่านไปมา เหมือนจะทักทายให้ไขว่คว้า ความรู้สึก‌ในขณะนั้นท่านได้ตามนางฟ้าเข้าไปในวิมาน แต่เมื่อท่านจะ‌ตามเข้าไปหานางก็ปิดประตูกั้นไว้ พอถอยออกมานางก็โผล่‌พักตร์มาล่อหลอกอีก ทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง จนท่านนึกฉุนว่า‌ไม่ให้เข้า ก็ไม่ง้อและทำท่าถอยออกมา

นางจึงพูดว่า“ไปเสียก่อนเถอะ ไปสร้างบุญบารมีให้พอเสีย‌ก่อน แล้วค่อยมาเจอกันใหม่”

เมื่อท่านถอยวูบออกมาลืมตาขึ้น จึงรู้ว่านั่งอยู่ตรงรูปถ่าย‌ของแม่

นับว่าเป็นการได้กรรมฐานแล้วเป็นครั้งแรก แต่ท่านยังไม่‌ทราบว่าเป็นเพราะอะไรแม้แต่คำว่ากรรมฐานก็ยังไม่รู้จัก

การนิมิตเห็นสวรรค์ นรก ทำให้ได้พบความจริงว่าชีวิต‌มนุษย์นั้นต้องเป็นเช่นเดียวกันทั้งหมดไม่ตายไปลงนรก ก็จะได้‌ขึ้นสวรรค์

ท่านไม่รู้ว่ากรรมฐานได้เกิดแก่ท่านแล้วตอนนั้น มารู้ก็เมื่อ‌ไปอยู่กับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม

แต่ก่อนจะหลับตาลงสู่ความสงบ ก็ได้บอกต่อรูปแม่ว่“แม่ต้องการอะไรขอให้ดลใจบอกให้รู้ ลูกจะทำทุกอย่างที่แมต้องการ แม้แต่เลือดเนื้อก็จะกรีดเพื่อทดแทนพระคุณ”เป็น‌การเสี่ยงตายอุทิศชีวิตให้แก่แม่อย่างเด็ดเดี่ยว เหตุการณ์ทั้ง‌หมดในนิมิต เป็นผลจากการที่แม่ของท่านเป็นคนใจบุญสุนทาน ‌ได้สร้างสมบารมีอันเป็นกุศลไว้มาก ไม่ว่าเป็นทานและศีล‌อาศัยบารมีนี้มาช่วยลูกเอาไว้ได้จากขุมนรก

หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็บอกพี่สาวน้องสาวว่า จะออก‌จากบ้านไปอีก ไม่แน่ใจว่าอีกนานเท่าไหร่จึงจะได้กลับมาพบกัน ‌พี่สาวเป็นห่วงกลัวน้องชายตกระกำลำบาก จะทักท้วงก็ไม่ได้ ‌เพราะรู้ว่าน้องชายเป็นคนเด็ดเดี่ยว ตั้งใจทำอะไรต้องทำให้ได้ ‌จึงเอาเงินวางให้ ๕,๐๐๐ บาท แต่ท่านเอาไปแค่ ๕๐๐ บาท ‌บอกว่าแค่นี้พอแล้ว ที่เหลือขอให้ทำบุญให้แม่ แล้วท่านก็จาก‌ไป ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้ใกล้ชิดท่านเล่าว่า ตอนนั้นท่านมีเงิน‌เป็นจำนวนมาก แต่เป็นเงินสมัยสงครามจะบอกให้ใครรู้ก็ไม่ได้‌จึงรับเงินพี่สาวมาพอเป็นพิธี

◎ มุ่งชีวิตสู่สมณเพศ
จากพี่สาวน้องสาวมา นายประยุทธ สุวรรณศรี ก็มุ่งลงใต้‌เพราะมีเพื่อนพ้องและบริวารมาก ทั้งยังคุ้นเคยกับภูมิภาคแถบ‌นั้นได้ดี จากนั้นได้พบกับหลวงปู่ท่านหนึ่งทำให้เกิดความเลื่อม‌ใสในข้อวัตรปฏิบัติของท่าน จึงสละทรัพย์สินเงินทองและสร้อย‌คอหนัก ๑๐ บาท และพระเครื่องให้เพื่อน เพื่อแจกจ่ายกัน แล้ว‌นายประยุทธก็ขอบวชเป็นพระอย่างเงียบๆ ไม่มีพิธีรีตองยุ่งยาก ‌เรียกว่า “โกนหัวเข้าวัด”

ท่านพระอาจารย์ไม่ได้เปิดเผยชื่อหลวงปู่รูปนี้ แต่ท่านให้‌ความเคารพกราบไหว้หลวงปู่รูปนี้มาก

ท่านได้อยู่ศึกษากับหลวงปู่รูปนี้เป็นเวลา ๑ ปี เรียนรู้พื้นฐาน‌การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน และธุดงควัตรตามแบบพระป่า

วันหนึ่งหลวงปู่ก็บอกท่านว่าหมดความรู้ที่จะสอนแล้ว ให้‌ไปหาอาจารย์อีกรูปหนึ่งตอนนี้ท่านอยู่ทางภาคเหนือ พระ‌อาจารย์รูปนั้นจะเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน

เมื่อถามว่าหลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่า อาจารย์รูปนั้นอยู่ทางภาค‌เหนือ หลวงปู่ได้พบแล้วหรือ

หลวงปู่บอกว่าไม่ได้พบหรอก แต่พูดกันทางจิต และได้ฝาก‌ฝังกับพระอาจารย์รูปนั้นในทางจิตและรู้เรื่องกันหมดแล้ว

หลวงปู่ยังได้บอกท่านว่า

  • พระอาจารย์รูปนั้นท่าทางเป็นนักเลง อธิบายรูปร่างให้ฟัง‌อย่างละเอียด
  • บอกเส้นทางที่จะเดินทางไปพบ แต่ไม่บอกชื่อของพระรูป‌นั้นให้ทราบ

ที่สำคัญที่หลวงปู่สั่งก็คือการไปหาอาจารย์ท่านนั้น ขึ้นรถ‌ลงเรือไปไม่ได้ ต้องเดินธุดงค์ด้วยเท้าจากภาคใต้ไปถึงภาค‌เหนือจะนานเท่าไหร่ก็ตาม

เมื่อกราบลาหลวงปู่แล้ว ท่านก็เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือ…

◎ มุ่งมั่นบุกบั่นไปหา…ว่าที่พระอาจารย์
เมื่อกราบลาหลวงพ่อแล้ว ท่านก็เดินทาง‌มุ่งหน้าขึ้นเหนือ ตอนนั้นสงครามเพิ่งสงบทหารญี่ปุ่นที่ถูกปลดอาวุธและกองทัพของ‌พันธมิตรก็ยังต้องอยู่ในเมืองไทย ต่างก็เจอ‌ปัญหาเหมือนกับคนไทย คือ ไม่ค่อยมีอะไรจะ‌กิน มีการปันส่วนอาหารทั้งในเมืองและชนบท ‌คนที่อยู่ตามชนบท อำเภอ จะลำบากมาก‌หน่อย เดือนหนึ่งจะมีการปันส่วนอาหารและ‌ของใช้ให้สักหนึ่งครั้ง ต้องเดินทางกัน ๑๐-๒๐ ‌กิโล ได้ไม้ขีดมา ๑ กล่อง น้ำมันก๊าด ๑ ขวด ‌สินค้าขาดตลาด พ่อค้ากักตุน ทำให้เกิดเศรษฐี‌สงคราม ทางภาคเหนือเกลือหายากมากและ‌แพงมากกว่าทอง ชาวไร่ชาวนาทุกข์ทรมาน‌อย่างสาหัส การเดินธุดงค์ไปหาว่าที่พระ‌อาจารย์ของท่านเต็มไปด้วยความลำบาก เป็น‌พระที่ไม่มีสมบัติใดๆ ประชาชนก็ยากจนไม่มี‌อะไรจะใส่บาตร ต้องฉันผลไม้ป่าที่ลิงกินได้‌ประทังชีวิต

ความยากลำบากอันสาหัสครั้งนี้ทำให้ท่าน‌มีความเข้มแข็งอดทนและพากเพียร พยาม‌ยามที่จะไปกราบว่าที่พระอาจารย์ที่อยู่ ณ ‌เชียงใหม่ให้ได้ กลางคืนก็หยุดพักทำสมาธิ เช้า‌ก็เดินบิณฑบาตจะได้หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่เป็น‌อุปสรรคต่อความตั้งใจของท่าน

ในตอนกลางวัน ท่านเดินธุดงค์ไม่ยอม‌หยุดยั้ง เดินผ่านลัดป่าดงดิบไม่มีถนนหนทาง‌สะดวกสบายอย่างในปัจจุบัน

ตอนเดินผ่านหัวหินก็ไม่แวะบ้านไปเยี่ยมพี่น้อง เพราะใจจดจ่อต้องมุ่งหน้าไปพบว่าที่‌พระอาจารย์รูปนั้น ตามที่หลวงปู่ของท่านได้‌บอกไว้

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดอรัญวิเวก

◎ ท่านเดินทางจากใต้ขึ้นเหนือ ๓ เดือนเต็ม
คือ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม นั่นเองและแล้วพระบวชใหม่เพียงพรรษาเดียว ที่‌ตั้งใจบุกบั่น มุ่งมั่น ทรหดอดทน ตามหาว่าที่‌พระอาจารย์ ที่ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักหน้าตา มีแค่‌รูปลักษณะ และเส้นทางการเดินทางจากที่‌หลวงปู่พระอาจารย์รูปแรกบอกไว้ ก็ได้มาถึง‌วัดที่มีศาลาเล็กๆ หลังหนึ่ง กุฏิก็ยังไม่แข็งแรง ‌เป็นไม้ไผ่หลังคามุงแฝก พอหลบฝนหลบแดด‌เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น มีพระเณรไม่กี่รูป

ท่านก็เดินตรงไปที่ศาลา หาพระที่มี‌ลักษณะท่าทางอย่างที่หลวงปู่พระอาจารย์รูป‌แรกบอกไว้ เห็นท่านหนึ่งนั่งอยู่ตามลำพังบน‌ศาลาโรงฉัน ลักษณะท่าทางเหมือนแบบไม่ผิด‌เพี้ยนเลย ซึ่งก็คือ “หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม” นั่น‌เอง จึงขึ้นไปกราบนมัสการและเรียนว่า ได้‌เดินทางมาจากทางใต้ ตั้งใจจะมาฝากตัวเป็น‌ศิษย์ขอปฏิบัติธรรม

หลวงปู่ตื้อ ก็ถามทันทีว่า “ก่อนบวชเคยทำ‌อาชีพอะไรมาให้บอกไปตามจริง”

ท่านก็คิดไม่ตกว่าควรตอบแบบไหนดีหลวงปู่ตื้อชี้หน้าบอกว่า “ให้บอกมาไม่‌เช่นนั้นจะไม่รับเป็นศิษย์”

ท่านจึงตอบไปว่า “เป็นโจรครับ”

หลวงปู่ตื้อพูดว่า “การเป็นศิษย์ต้องมีข้อแม้”

ท่านก็ตอบตกลงก่อนโดยไม่รู้ว่าข้อแม้คือ‌อะไร หลวงปู่ตื้อให้ท่านจุดธูปปักบนกระถาง‌หน้าพระประธานบนศาลาโรงฉัน แล้วให้พูด‌ตามว่า “จะบวชตลอดชีวิต ไม่ลาสิกขาบท”

ในขณะนั้น หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระป่า‌ที่โด่งดังในสายพระธรรมยุติกนิกาย เป็นลูก‌ศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้ที่ได้ฉายาว่า‌เป็นแม่ทัพธรรมอันยิ่งใหญ่ กำลังสร้างสำนัก‌สงฆ์ ซึ่งปัจจุบันคือ วัดป่าดาราภิรมย์ ต.ริมใต้ ‌อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ หลวงปู่ตื้อเป็นลูกศิษย์‌ท่านหนึ่งที่หลวงปู่มั่นให้ความไว้วางใจ และให้‌ร่วมติดตามไปธุดงค์อยู่หลายปี หลวงปู่ตื้อเคย‌ปรารภกับสานุศิษย์ว่า

“ใครอย่าไปดูถูกท่าน‌ตื้อนะ ท่านตื้อเป็นพระเถระ” กิตติคุณของ‌หลวงปู่ตื้อนั้นมักกล่าวกันว่า เป็นคนพูดจาโผง‌ผาง ตรงไปตรงมา ไม่ชอบพูดอ้อมค้อม เกรง‌อกเกรงใจใคร เป็นการตัดปัญหาให้สั้นเข้า

ท่านพระอาจารย์ประยุทธได้เป็นศิษย์ตาม‌หลวงปู่ตื้อ ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร‌อยู่เสมอ เว้นแต่เมื่อเวลาพากเพียรปฏิบัติจึง‌จะแยกไปอยู่ห่างๆ แค่พอไปมาหาสู่กันได้ไม่‌ไกลนัก เมื่อมีปัญหาติดขัดในการปฏิบัติ ก็จะ‌มาเรียนถามหลวงปู่ให้ท่านอธิบายอยู่เสมอ

◎ หลวงปู่ตื้อหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
ครั้งหนึ่งพระเณรเข้ากุฏิกันเกือบหมดแล้ว ‌หลวงปู่สั่งให้เณรไปต้มน้ำกาใหญ่ เณรบอกว่า‌ไม่มีใครอยู่ฉันน้ำแล้ว หลวงปู่จะให้ต้มน้ำกา‌ใหญ่ไปทำไม หลวงปู่บอกให้ต้มก็ต้มไปเถอะ ‌ต้มน้ำชงชาแล้ว หลวงปู่ให้เณรเอาถ้วยชามา‌เตรียมไว้ ๕๐ ถ้วย

หลวงปู่บอกท่านพระอาจารย์ประยุทธว่า ‌คืนนี้จะมีญาติโยมมาจากกรุงเทพฯ

สักพักก็มีรถบัสมาจอดในบริเวณวัด ท่าน‌ให้นำน้ำชามาเลี้ยงญาติโยม ปรากฏว่าถ้วยชา‌ที่เตรียมไว้พอดีคนเลย ไม่ทราบท่านรู้ได้‌อย่างไร

อีกครั้งขณะที่ท่านกำลังนั่งคุยกับหลวงปู่‌และเณรท่านอื่นๆ หลวงปู่สั่งว่า “ตุ๊ไทย (หลวง‌ปู่ชอบเรียกท่านอย่างนี้เสมอ) ไปสรงน้ำไวๆ” ‌ซึ่งปกติหลวงปู่ไม่เคยยุ่งกับการสรงน้ำ แต่‌คราวนี้หลวงปู่กลับมาเร่ง

พระอาจารย์ประยุทธ ก็ถามหลวงปู่ว่า ‌“หลวงปู่ให้กระผมไปสรงน้ำทำไม”

หลวงปู่ตอบว่า “ให้ไปสรงก็ไปเถอะ เย็น‌นี้ ๖ โมงเย็นจะมีโยมผู้ชายมานิมนต์ไปปัดรังควานให้ลูกชายที่ตกต้นลำไย แต่เด็กมันต้องตายแน่ไม่รอดดอก อยากจะให้ตุ๊ไทย‌ไปแทน”

พระอาจารย์ประยุทธก็ไปสรงน้ำ ยังไม่ทัน‌ครองผ้า โยมที่ว่าก็ขับรถปิกอัพเข้ามาในวัด รีบ‌มากราบหลวงปู่นิมนต์ให้ไปปัดรังควานให้ลูก‌ชาย ท่านจึงไปแทนตามที่หลวงปู่บอกไว้

ท่านพระอาจารย์ได้รับการศึกษาอุบาย‌ธรรมอันเฉียบคมเป็นเวลา ๓ ปีจากหลวงปู่ตื้อ ‌ท่านมีความเลื่อมใสในหลวงปู่ตื้อมาก

◎ ต้องจากหลวงปู่ตื้อไปแสวงหาโมกขธรรมเอง
๓ ปีที่ติดตามหลวงปู่ตื้อไปปฏิบัติธรรมตาม‌ที่ต่างๆ หลวงปู่ตื้อเห็นว่าท่านพระอาจารย์‌ประยุทธสามารถคุ้มครองเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง‌ได้ จึงให้ท่านออกธุดงค์ไปแสวงหาโมกขธรรม‌ตามใจชอบ

เนื่องจากท่านเป็นพระปฏิบัติที่ไม่ติดที่ มัก‌จะอยู่ที่ไหนได้ไม่นานก็ไปต่อ อันเป็นแบบฉบับ‌ของพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ท่านชอบ‌ธุดงค์อยู่ตามป่า ตามถ้ำไปเรื่อยๆ ไปที่ไหนแล้ว‌ทำให้สมาธิเจริญก็อยู่หลายวันหน่อย ไม่‌เหมาะก็จะย้ายไปที่ใหม่ ปฏิปทาของท่านที่‌สำคัญ คือ การงดอาหารบิณฑบาต โอกาสไหน‌ถ้าท่านเจริญเป็นที่สบายก็อดอาหารถึง ๑๕ วัน ‌หรือ ๑ เดือน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา

ระหว่างที่ท่านธุดงค์ในป่าเขาลำเนาไพรท่านได้นิมิตในสมาธิถึงถ้ำแห่งหนึ่งเพื่อจะไป‌อยู่สร้างบารมี ท่านเที่ยวธุดงค์อยู่อีก ๓ ปีจึงได้มาพบถ้ำในนิมิต ถ้ำแห่งนี้คือ “วัดถ้ำผาพุง” อ.สะพุง จ.เลย ในปัจจุบัน

เมื่อพบถ้ำท่านพระอาจารย์ได้ไปปักกลด‌อยู่ตรงพื้นที่ราบเชิงเขา ไม่มีมุ้งกันแดดกันฝน ‌บริเวณนั้นป่าไม้ยังสมบูรณ์ และมีการลักลอบ‌ตัดไม้ การที่ท่านไปปักกลด ทำให้การลักลอบ‌ตัดไม้ไม่เป็นความลับต่อไป ผู้ลักลอบจึง‌พยายามขับไล่ท่านให้ออกจากสถานที่นั้นตั้ง‌แต่วันแรก ท่านก็เฉยเสียและรู้ว่าเจ้าของโรง‌เลื่อยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่ให้มาไล่ท่าน ท่าน‌ประกาศว่า ถ้าเจ้าของโรงเลื่อยไม่ออกไปจาก‌ป่านี้ ท่านก็ไม่ไปเหมือนกัน เจ้าของโรงเลื่อย‌จึงใช้อิทธิพลไปข่มขู่ไม่ให้ชาวบ้านใส่บาตร‌ท่าน ท่านเคยอดมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

เมื่อมีเด็กมาเลี้ยงวัว ท่านก็บอกใบ้ให้เด็กๆ ‌เก็บใบไม้ที่กินได้มาให้ท่านฉัน เพราะเป็นพระ‌จะพรากต้นไม้ไม่ได้ โดยเฉพาะพระฝ่ายธรรม‌ยุติกนิกายยิ่งต้องเคร่งครัดมากในเรื่องนี้ อยู่มา ‌๖ วันไม่มีใครมาใส่บาตร เช้าวันที่ ๖ ท่านเลย‌ออกไปบิณฑบาต พบเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง‌กำลังผ่าฝืนอยู่หน้าบ้าน

ท่านจึงถามว่า “ชาวบ้านแถวนี้เขาไม่ทำ‌บุญใส่บาตรกันหรือ”

เด็กเรียนท่านว่า “คนรุ่นพ่อแม่ถูกห้ามไม่‌ให้ใส่บาตร” แต่เด็กคนนี้ขอให้ท่านรอ แล้วไป‌เอาข้าวนึ่งในบ้านพร้อมกับปลาเล็กๆ ๑ ตัว มา‌ใส่บาตร เป็นอันว่าท่านได้ฉันในวันที่ ๖

หลังจากนั้นเมื่อเด็กเห็นท่าน ก็ใส่บาตรทุก‌ครั้งและชวนให้เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันมาใส่บาตร‌ด้วย เวลาว่างก็ไปหาท่านที่กลด ท่านก็สอนให้‌เด็กเข้าใจถึงบาปบุญ และเน้นมากในเรื่อง‌ความกตัญญู

ท่านสอนเด็กเหล่านั้นว่า “พ่อแม่ก็เป็น‌พระองค์หนึ่ง ท่านเลี้ยงดูเรามา ต้องกตัญญู‌รู้คุณ อย่าทำให้ไม่สบายใจ เพราะจะเป็นบาป ‌ต้องคอยปรนนิบัติเอาอกเอาใจท่าน ช่วยการ‌งาน อย่าให้ท่านบ่นว่าเอาได้” เด็กๆ เหล่านี้‌ก็ไปเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าพระท่านสอนอย่างไร‌บ้าง พ่อแม่รู้สึกพอใจที่ท่านสอนให้ลูกดี ก็เลย‌มาฟังด้วยตนเอง แล้วเกิดความเลื่อมใส พา‌กันมาใส่บาตร บางทีก็เอาอาหารมาถวายถึงที่‌กลด เป็นอันว่าคำสั่งของเจ้าของโรงเลื่อยไม่‌เป็นผล

◎ อยู่ถ้ำผาพุง จ.เลย ๒ ปี
ท่านถามเด็กๆ ที่มาฟังเทศน์ว่า “อยากให้‌หลวงพ่ออยู่นานๆ ไหม” เด็กๆ ก็บอกว่า “อยากให้อยู่นานๆ” ท่าน‌จึงบอกว่า ถ้าอยากให้อยู่ก็ต้องช่วยปลูกกุฏิให้‌หลวงพ่ออาศัย เพราะใกล้หน้าฝน ลำพังแค่‌กลดคงบังฝนไม่ได้ เด็กๆ เหล่านี้ก็มาช่วยตัดไม้‌เกี่ยวหญ้าคามาปลูกกุฏิเล็กๆ ให้ท่าน

◎ โอ่งขนาดใหญ่
ต่อมาก็มีผู้มีจิตศรัทธาปลูกศาลาโรงฉัน‌เล็กๆ ให้ และสร้างศาลาทรงไทยบนไหล่เขา ‌แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ โอ่งน้ำขนาดใหญ่ไว้เก็บ‌น้ำฝน เวลาญาติโยมมากันมากๆ จะได้มีน้ำดื่ม ‌ท่านอาจารย์เคยเห็นที่ตลาดวังสะพุง มีร้าน‌ขายโอ่งขนาดใหญ่ที่ต้องการ ก็ไปขอซื้อ

เจ้าของร้านถามว่า “จะเอาโอ่งไปตั้งที่ไหน””

ท่านตอบ “เอาไปไว้ในศาลาบนไหล่เขา”

เจ้าของร้านท้วงว่า “จะเอาโอ่งใหญ่ขนาด‌นี้ขึ้นไปได้อย่างไร”

ท่านตอบว่า “ถ้าอาตมาเอาขึ้นไปได้ จะ‌ถวายโอ่งให้หรือไม่ละ”

เจ้าของร้านก็ใจถึง “ถ้าท่านเอาขึ้นไปได้ ‌ไม่ไปตั้งที่พื้นที่ราบข้างล่าง ก็ยินดีถวาย”

เมื่อท่านตกลงกับเจ้าของร้านโอ่งได้ ก็กลับ‌มาหาเชือกและลูกรอกเตรียมเอาไว้ เมื่อร้าน‌ขนโอ่งมาถึงพื้นที่ราบ ท่านก็ใช้รอกขนโอ่งขึ้น‌ไปจนสำเร็จ เจ้าของโอ่งก็ถวายโอ่งให้ท่านฟรี ‌มีผู้พบว่ามีโอ่งใหญ่ขนาดนี้ถึง ๕ ใบ ตั้งเรียง‌รายที่ศาลาบนไหล่เขาวัดถ้ำผาพุง ท่านยังได้‌พบอีกว่า สูงจากไหล่เขาขึ้นไปมีถ้ำใหญ่อัน‌สงบงดงาม ท่านจึงขึ้นไปทำความสะอาดถ้ำ‌และใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม และรับแขกแทน‌ศาลาโรงฉันข้างล่าง

◎ สร้างพระพุทธรูป
ภายในถ้ำที่ท่านค้นพบ ท่านเห็นว่าควร‌สร้างพระพุทธรูปไว้ในถ้ำเพื่อกราบไหว้บูชาเพราะเห็นว่าถ้ำนี้ทั้งกว้างทั้งสูง อากาศถ่ายเท‌สะดวก มีแสงแดดส่องลงมาจากช่องด้านบนไม่อับชื้น เหมาะแก่ผู้แสวงบุญจะมาอาศัยบำเพ็ญเพียร

ท่านพระอาจารย์จึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ‌เยี่ยมเยียนน้องสาวที่มีฐานะดี ได้ปรารภถึง‌การสร้างพระเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณโยม‌มารดาและบิดา น้องสาวของท่านก็ยินดีสร้าง‌ถวาย เป็นพระที่งดงามด้วยพุทธลักษณะ

เจ้าของโรงเลื่อยที่เคยคิดขับไล่ท่าน ต่อมา‌ก็ได้เกิดศรัทธาเลื่อมใสและมาช่วยก่อสร้าง‌สำนักสงฆ์ให้มีลักษณะถาวรขึ้น มีพระและ‌เณรมาอยู่ปฏิบัติธรรมด้วยหลายองค์ ชาวบ้าน‌ที่อยู่ในละแวกก็มีความเลื่อมใสมาทำบุญใส่‌บาตรมิได้ขาด

วัดถ้ำผาพุงเป็นสถานที่ตั้งในภูมิประเทศที่‌มีความเหมาะสม เหมาะอย่างยิ่งที่พระภิกษุ‌และผู้ปฏิบัติธรรมจะมาบำเพ็ญเพียร ถ้าได้รับ‌การทำนุบำรุงรักษาเพียงสร้างกุฏิกรรมฐาน‌เล็กๆ ให้มากขึ้น ก็จะเป็นสถานอันร่มรื่นเย็น‌สงบ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมต่อไป

หลวงปู่มั่นเคยปรารภว่า “ให้เร่งปฏิบัติเพราะต่อไปป่าจะหายากไม่มีที่ให้ปฏิบัติอีก‌แล้ว ฉะนั้นสำนักสงฆ์ที่มีอยู่ในป่า เราชาว‌พุทธจะต้องช่วยกันรักษาไว้ทั้งสำนักสงฆ์และ‌ป่าให้คงอยู่ เพื่อเราจะได้เห็นพระอรหันต์อัน‌เป็นเนื้อนาบุญของเราตลอดกาลนาน”

เนื่องจากท่านพระอาจารย์ประยุทธ เป็น‌พระปฏิบัติที่ไม่ติดที่หรือเสนาสนะ และตั้งใน‌จะเดินธุดงค์เพื่อปฏิบัติธรรม หลังจากที่ท่าน‌พระอาจารย์ประยุทธได้อยู่ที่วัดนี้ได้ ๒ ปี จึง‌คิดมอบหมายให้มีผู้ดูแลวัดแทน

ขณะนั้นมีพระอาจารย์ประเวศน์มาปฏิบัติธรรมสมาธิกับท่าน จึงเป็นผู้ดูแลวัดต่อจากท่าน

◎ ปฏิปทาที่มั่นคง
ท่านพระอาจารย์ไปพักอยู่ที่วัดเกาะกระทิง ‌นั่งกรรมฐานที่เรียกว่า นั่งหนัก คือนั่งติดต่อกัน ‌๑ เดือนเต็ม เนื่องจากท่านเป็นพระที่มีความมุ่ง‌มั่นและตั้งใจปฏิบัติเหมือนกับหลวงปู่ตื้อ พระ‌อาจารย์ของท่าน พอออกจากกรรมฐานท่านก็‌หมดแรง ชาวบ้านหามท่านไปส่งโรงพยาบาล

หลังจากนั้นท่านไปปฏิบัติธรรมที่พระธาตุ‌เขาน้อย ไปฉันเห็ดชนิดหนึ่งดอกสีม่วง ซึ่งมีพิษ ‌เร่าร้อนแทบจะปางตาย ถึงกับฟันหลุดไป ๑๔-‌๑๕ ซีก ในป่าดงไม่มียาอะไร จึงใช้วิธีดูดพิษออก‌โดยให้โยมชาวบ้านช่วยกันขุดหลุมฝังตัวท่านลง‌ไป เอาดินกลบเหลือเพียงช่องหายใจเท่านั้น

วิธีใช้ไอดินดูดพิษนี้ใช้เวลาถูกพิษ เช่น งูกัด ‌เสือกัด เขาเอาแผลที่ถูกกัดฝังให้ไอดินดูดแก้พิษได

ถ้าโดนเสือกัดและรอดตายมาได้ พิษของ‌การถูกเสือกัดนั้นร้ายแรงเหมือนสุนัขบ้าทำให้‌คลั่งลงตะกุยดิน คนที่เข้าป่าจึงควรรู้จักต้นกลอย‌ที่เราเอามารับประทานกับข้าวเหนียว หัวกลอย‌ดิบๆ ให้ผู้ถูกเสือกัดกินดิบๆ จะรู้สึกเหมือนกินมัน‌แกวไม่เฝื่อนขื่นแต่อย่างไร ให้กินจนรู้สึกเฝื่อนขึ้น‌มาจึงเลิกกินพิษเสือจะหายหมด

ถ้าไปถูกงูพิษ เช่น งูเห่ากัด ก็ให้ใช้ต้นอุตพิด‌เอาหัวมาตำให้แหลกเหยาะเหล้าโรงสัก ๓-๔ ‌หยด คั้นเอาน้ำมากิน เอากากปิดปากแผล แก้‌พิษสัตว์กัดต่อยได้ชะงัดนัก

◎ การปลุกเสกพระ
ท่านมาพักกับหลวงตาสินซึ่งเป็นเจ้าอาวาส‌วัดถ้ำหว้า จ.เพชรบุรี และได้ไปมาหาสู่พระ‌อาจารย์มหาปิ่น ชลิโตที่วัดหนองน้ำขาว ‌จ.ราชบุรี อยู่เสมอเพราะถูกอัธยาศัยกันเนื่อง‌จากเป็นพระสายเดียวกัน คือสายหลวงปู่มั่นภูริทัตโต

การไปมาหาสู่กันทำให้ท่านพระอาจารย์‌ประยุทธ ได้มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ชั้นเถระผู้‌ใหญ่ ที่แวะมาเยี่ยมเยียนพระมหาปิ่นอยู่เป็น‌ประจำ เช่นหลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวง‌ปู่เหรียญเป็นต้น การพบพระเถระเจ้าทั้งหลาย‌ทำให้พระอาจารย์ได้อุบายธรรมนำไปเร่งการ‌ปฏิบัติให้ยิ่งขึ้น มีอยู่คราวหนึ่งพระอาจารย์มหา‌ปิ่นท่านคิดทำพระสมเด็จเพื่อไว้แจกญาติโยม ‌จึงได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์มานั่งปรก ๕-๖ รูป ‌รวมทั้งพระอาจารย์ประยุทธด้วย กำหนดให้‌ทำการปลุกเสกครบ ๗ วัน ระหว่างที่ปลุกเสก‌ไม่ทราบพลังจิตของพระรูปไหนทำให้พระ‌เครื่องที่นำมาปลุกเสกใส่ไว้ในบาตรแตกหักไป‌เกือบครึ่งองค์

การนั่งปลุกเสกถึงวันที่ ๓ พระเกจิอาจารย์‌ที่นิมนต์มาก็ค่อยๆ ถอนสมาธิไป จนวันที่ ๔ วันที่ ‌๕ ก็เหลือท่านอาจารย์ประยุทธเพียงท่านเดียว

พอวันที่ ๖ ตอนกลางคืนก็ปรากฏความ‌อัศจรรย์บริเวณที่ท่านพระอาจารย์ประยุทธ‌ปลุกเสกบังเกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นอย่างที่ไม่‌เคยมีมาก่อน

ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นเห็น ดังนั้นจึงรีบ‌ให้สามเณรเข้าไปกระซิบบอกท่านพระอาจารย์‌ประยุทธว่า พลังเข้าไปเต็มที่แล้วให้ถอนสมาธิ‌ได้แล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ครบ ๗ วัน กระซิบอยู่‌เช่นนั้น ๒-๓ ครั้ง ท่านพระอาจารย์จึงถอนสมาธิ‌ออกมา

การปลุกเสกพระครั้งนี้เท่าที่บอกเล่ากันมา ‌ใครได้ไว้ก็เรียกว่าเป็นของดีวิเศษจริงและเป็น‌ครั้งเดียวเท่านั้นที่พระอาจารย์ประยุทธได้ทำ

ท่านพระอาจารย์ประยุทธเป็นคนพูดจาโผง‌ผางท่าทางเป็นนักเลงคล้ายคลึงหลวงปู่ตื้อ แต่‌โดยแท้จริงมีความอ่อนโยนนุ่มนวลประกอบ‌ด้วยเมตตาสูงชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในความ‌ลำบาก ท่านผู้รู้หลายท่านว่าอุปนิสัยใจคอของ‌คนเราเป็นสิ่งที่ติดตามเนื่องกันมาแต่อดีตชาติ‌ลบล้างเปลี่ยนแปลงไม่ได้

แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังมีข้อให้ติได้ อย่าง‌พระสารีบุตรมหาเถระอัครสาวกเบื้องขวาของ‌พระพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้ทรงปัญญาล้ำเลิศและได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็น‌เอตทัคคะทางปัญญา เวลาเดินทางข้ามร่องน้ำ‌ท่านก็ทำท่าทางอย่างลิงกระโดดข้ามไปไม่เป็น‌สมณสารูป พระพุทธเจ้าท่านก็ว่าอย่าติเลยของ‌ติดมาแต่อดีตชาติเพราะเมื่ออดีตชาติท่านเกิด‌เป็นลิง

ดังนั้น การมองคนต้องมองให้ลึกซึ้งถึงจิตใจ‌ของท่าน อย่างมองแค่ท่าทางกิริยาภายนอก จิต‌ของท่านพระสารีบุตรก็ดี ของท่านพระอาจารย์‌ประยุทธก็ดี ย่อมเป็นจิตใจที่งดงาม สะอาด ‌สว่าง สงบ บริสุทธิ์ ยากที่คนธรรมดาอย่างเรา‌จะเข้าใจได้

◎ อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง
มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งที่มีโอกาสรู้จักพระ‌อาจารย์ประยุทธเป็นครั้งแรก ได้เล่าว่าตอนนั้น‌อยู่ที่บ้านเก่าหลังหนึ่ง มีเนื้อที่ ๒ ไร่ รอบบ้านที่‌ปลูกก็ตกราคา ๓ ล้านในขณะนั้น แต่เป็นย่าน‌ที่มีขโมยชุกชุมเดือดร้อนเรื่องของหาย จึงได้‌กราบให้ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นทราบ เพราะ‌เคารพนับถือกันมานาน ท่านพระอาจารย์มหา‌ปิ่นก็บอกว่า

“ต้องพึ่งพระอาจารย์ประยุทธท่าน ‌เพราะท่านมีฤทธิ์ขลังอาจป้องกันได้”

ขณะนั้นท่านพระอาจารย์ประยุทธก็อยู่ใน‌วัดด้วย ท่านนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ เธอก็ได้เข้าไป‌กราบท่าน บอกท่านว่า “อยากจะขอนิมนต์ท่าน‌ไปที่บ้าน ขโมยมันชุมนักจะทำอย่างไรดี”

พระอาจารย์ประยุทธนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้ว‌พูดว่า “อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง”

สุภาพสตรีท่านนี้ก็งง ทำไมท่านพระ‌อาจารย์พูดอย่างนั้นเมื่อท่านไม่ยอมไป เธอก็‌กราบลาท่าน

อีก ๓ เดือนต่อมา มีงานที่วัดหนองน้ำขาว ‌สตรีท่านนี้ได้ไปร่วมงานด้วยและได้มีโอกาสถาม‌ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นว่า “ไหนท่านว่าพระ‌อาจารย์จะนิมนต์ท่านอาจารย์ประยุทธให้ดิฉัน”

ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นหัวเราะและ‌บอกว่า “เดี๋ยวคงมา” แต่เมื่อพระอาจารย์‌ประยุทธมาถึงก็ไม่ได้ขึ้นมาบนศาลา ท่านเลยไป‌นั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ห่างออกไป

สุภาพสตรีท่านนี้จึงได้ลองนิมนต์ท่านอีกที ‌จึงกราบท่านและนิมนต์ท่านไปที่บ้าน คำตอบก็‌เหมือนเดิมคือ “อาตมาไม่ใช่พระรับจ้าง” ทำให้‌เธอหมดศรัทธาที่จะนิมนต์เสียแล้ว

สักพักใหญ่ๆ ประมาณบ่าย ๔ โมงเย็น ก็‌เห็นพระอาจารย์ประยุทธให้เด็กถือบริขารมี‌บาตรและกลดเดินเข้ามาหาบอกว่า “จะนิมนต์‌ไปบ้าน ก็ไปเสียแต่ต้องกลับมาให้ทันสวดมนต์‌เย็นเวลา ๖ โมงนะ” เธอก็นิมนต์ท่านขึ้นรถและ‌มีคนมาเป็นเพื่อนด้วย ขับรถมาถึงเขต‌นครชัยศรี ยางหน้าก็แบนลงจำเป็นต้องเปลี่ยน‌ยาง แต่ยางอะไหล่ก็ไม่มีไม่รู้จะทำอะไร ท่าน‌พระอาจารย์ประยุทธนั่งหลับตาอยู่ข้างหลัง ‌ท่านก็บอกว่าขับต่อไปเดี๋ยวก็ถึงแล้ว เธอก็ขับต่อ‌ไป น่าอัศจรรย์ ยางที่แบนกลับพองขึ้นและวิ่ง‌ได้สบายจนถึงบ้านได้

◎ รู้ล่วงหน้า
ท่านพระอาจารย์ประยุทธทำน้ำมนต์กัน‌ขโมยให้แล้ว ท่านเจ้าของบ้านจะพาท่านกลับ‌ไปวัดหนองน้ำขาวตามที่ได้ให้สัญญาไว้ แต่ยาง‌ก็แบนอย่างเดิมหาคนมาช่วยเปลี่ยนไม่ได้ จึง‌เรียนท่านไปว่า “เห็นจะต้องกลับรถแท็กซี่เสีย‌แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันสวดมนต์”

ท่านพระอาจารย์บอกว่า “ท่านเป็นพระ‌บ้านนอกขี้เห่อ นั่งรถป้ายเหลืองไม่ได้หรอกต้อง‌นั่งรถป้ายดำ”

ท่านเจ้าของบ้านตอบว่า “ดิฉันไม่รู้จะไปเอา‌รถที่ไหนตอนนี้”

ท่านพระอาจารย์ว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มีรถ‌ป้ายดำมารับเอง”

ท่านพูดไม่กี่นาทีก็มีรถเลี้ยวเข้ามาในบ้านอย่างไม่คาดฝัน เป็นรถน้องชายเจ้าของบ้าน ‌เขาก็อาสาไปส่งท่านพระอาจารย์

อีก ๓-๔ เดือนต่อมา สุภาพสตรีท่านนี้ได้‌นิมนต์พระอาจารย์ประยุทธ และ อาจารย์เรือง ‌ขณะได้นั่งสนทนากันจึงได้เล่าเรื่องให้ท่านพระ‌อาจารย์ฟังว่า มีคนมาขอยืมเงินหายไปเป็นปีไม่‌ได้ข่าวเลย สักพักท่านพระอาจารย์ก็ได้ให้หาดอก‌ไม้ ๗ สีมาให้ ขณะนั้นใกล้ ๔ ทุ่มแล้วไม่รู้จะไป‌หาซื้อดอกไม้ที่ไหน จึงหาดอกไม้ในบริเวณบ้าน‌แต่คิดว่ามีไม่ครบ ๗ สี ท่านพระอาจารย์ก็บอกว่า‌มีครบ ให้พาเด็กๆ ไปช่วยกันหามาก็ได้ครบ ๗ สี ‌เอาขันน้ำมนต์ใส่น้ำมาตั้งที่หน้าท่าน จุดธูปเทียน‌แล้ว ท่านอาจารย์ก็หยิบดอกไม้มากรีดและเด็ดที‌ละกลีบใส่ลงในขันน้ำมนต์ ท่าทางการเด็ดกลีบ‌ดอกไม้นั้นประณีตนุ่มนวลมาก ท่านเด็ดจนหมด‌ดอกแล้วท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไรเขาจะเอาเงิน ๔ ‌หมื่นมาคืนเอง สุภาพสตรีท่านนั้นก็ได้พบกับ‌ความประหลาดในเมื่อลูกหนี้ที่หายไปเป็นปี อีก ‌๒ วันต่อมา ก็ได้ยินเสียงคนมาเรียกอยู่หน้าบ้าน‌แต่เช้า ลูกหนี้คนนั้นนั่นเอง เขาขอโทษขอโพย‌แล้วเอาเงินมาคืนให้อย่างครบถ้วน

◎ อิทธิฤทธิ์ของท่านพระอาจารย์ประยุทธ
คุณสุภาพสตรีท่านนี้ ท่านได้สร้างเรือนร้าง‌ไว้ริมรั้วในเนื้อที่ ๒ ไร่ในบริเวณบ้านเก่าของ‌ท่าน เพื่อให้พระปฏิบัติที่เคารพนับถือที่ได้เดิน‌ทางมาเยี่ยมหรือเดินทางมาจากต่างจังหวัด‌และไม่สามารถกลับวัดได้ทันหรือมีกิจที่ต้องค้าง ‌ก็จะนิมนต์ให้ท่านค้างที่เรือนว่างแห่งนั้น ‌บังเอิญตอนนั้นท่านพระอาจารย์ประยุทธท่าน‌มาค้าง ลูกๆ หลานๆ ของเจ้าของบ้านขอจัด‌เลี้ยงรุ่นพอดี คุณสุภาพสตรีท่านนั้นก็กำชับว่า‌อย่าส่งเสียงดังมากไปจนรบกวนหลวงพ่อท่าน ‌และได้เรียนพระอาจารย์ให้ทราบ ท่านอาจารย์‌ก็บอกว่า “เด็กเขาจะสนุกกันก็ช่างเขาเถอะ ไม่‌รบกวนอะไรหรอก”

การเลี้ยงรุ่นของเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ เสียง‌เพลง เสียงดนตรี การยั่วเย้าเฮฮากันตามวิสัย‌ของเขา ขณะที่มองไปริมรั้วท่านอาจารย์‌ประยุทธก็นั่งสมาธิแน่วนิ่งอยู่ในเรือนว่าง มอง‌เห็นได้จากหน้าต่างที่เปิดไว้เห็นแสงเทียนที่จุดไว้‌เพียงเล่มเดียว กระจายแสงฉาบไล้อยู่ที่ใบหน้า‌และกายของท่านเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว

เมื่อใกล้จะถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. เพลงได้หยุด‌ลงแล้วและมีเด็กคนหนึ่งได้มองไปที่เรือนร้าง‌ผ่านหน้าต่างเรือนว่างนั้น เห็นดวงไฟใหญ่เท่า‌บาตรเกือบเป็นวงกลมลอยขึ้นจากเทียนที่ท่าน‌จุดไว้ แสงสุกปลั่งเจิดจ้าลอยขึ้นสู่เพดานลูก‌แล้วลูกเล่า เมื่อต่างสะกิดกันให้ดูก็พากันตะลึง‌ไปตามๆ กัน และคิดกันว่าลูกไฟเกิดจากอะไร‌และเกิดขึ้นได้อย่างไร หลายคนสงสัยพากัน‌ย่องไปใกล้ๆ ก็เห็นแต่เทียนที่ท่านจุดไว้เพียง‌เล่มเดียว ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เกิดลูกไฟเช่นนี้ได้

ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เด็กๆ เกือบ ๒๐ ‌คน ได้พากันนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าต่างแล้วนมัสการกราบลงขอความเป็นสิริมงคล เมื่อมีผู้ถามท่านพระอาจารย์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ท่าน‌อธิบายว่าท่านไม่ได้ทำอะไร มันเกิดขึ้นเองอาจ‌จะเป็นพลังอำนาจของจิตก็ได้

◎ รู้วันและสถานที่มรณภาพของท่านเอง
ญาติโยมที่ได้มีโอกาสกราบคารวะหรือ‌ปฏิบัติธรรมหลายท่านยืนยันตรงกันว่า“เมื่อปี ‌พ.ศ.๒๕๑๙ ท่านบอกให้รู้ว่า วัดป่าผาลาดจะ‌เป็นสถานที่มรณะของท่าน และท่านจะ‌มรณภาพในปี พ.ศ. ๒๕๒๒”แสดงว่าท่านรู้วัน‌ตายล่วงหน้าถึง ๓ ปี เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จริงๆ

ก่อนที่ท่านจะมรณภาพท่านก็ปฏิบัติเหมือน‌เดิม คือเมื่อเข้าทำกรรมฐานก็จะสั่งญาติโยมที่‌เคยใส่บาตรว่า ไม่ต้องเตรียมอาหารบิณฑบาต‌สำหรับท่าน เพราะจะเข้ากรรมฐาน ออกจาก‌กรรมฐานเมื่อไหร่จะบอก ซึ่งชาวบ้านถือเป็น‌เรื่องปกติธรรมดาที่ท่านปฏิบัติเช่นนี้ประจำ

ช่วงแรกท่านเข้ากรรมฐานอยู่ ๗ วัน จึงถอน‌ออกจากสมาธิ เมื่อฉันอาหารบิณฑบาตอยู่ ๒-๓ ‌วัน แล้วท่านก็เข้าทำกรรมฐานอีก จนเวลาผ่าน‌ไป ๗ วัน ลูกชายของโยมอุปัฏฐากที่คอยดูแล‌ท่านมาที่กุฏิ ปรากฏว่าที่พื้นซีเมนต์ใต้ถุนกุฏิมีน้ำไหลนองมีกลิ่นเหม็น ดูแล้วว่าเป็นน้ำเหลือง‌ที่ไหลออกมาตรงกับที่ท่านนั่งกรรมฐานพอดี จึง‌ขึ้นไปเปิดประตูกุฏิดูให้แน่ใจ ก็พบว่าท่านนั่ง‌สมาธิอยู่ แต่สบงจีวรเปียกชุ่ม ร่างกายขึ้นอืด‌บวม จึงรู้ว่าท่านมรณภาพในสมาธิเสียแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าภายใน ๗ วัน ที่ท่านนั่งกรรม‌ฐาน ท่านได้หมดลมปราณวันไหน เวลาเท่าไหร่

ชาวบ้านจึงได้มาช่วยกันจัดการซากอสุภะ‌ของท่าน และได้โทรเลขไปแจ้งน้องสาวของ‌ท่าน ญาติพี่น้องเห็นว่าการฌาปนกิจท่านที่วัด‌ป่าผาลาดลำบากยุ่งยาก เพราะอยู่บนภูเขาขึ้น‌ลงไม่สะดวก จึงรับศพท่านเข้ากรุงเทพฯ ไว้ที่วัด‌มะกอก ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลพระมงกุฎ บำ‌เพ็ญกุศลอยู่ ๓ วัน จึงได้ประชุมเพลิง

◎ อัฐิเป็นพระธาตุ
เมื่อเก็บอัฐิท่าน ญาติพี่น้องก็สะดุดใจว่า อัฐิ‌ของท่านช่างขาวสะอาดเหมือนดอกมะลิ แต่ไม่‌มีใครคิดอะไรมากกว่านั้น เพียงเอาอัฐิห่อผ้า‌ขาวใส่พาน นำมาเก็บไว้ที่กุฏิที่ท่านมรณภาพที่‌วัดป่าผาลาด

เวลาผ่านไป ๒ ปีเศษ โยมญาติพี่น้องได้จัด‌หาโกศมาบรรจุอัฐิธาตุของท่าน เมื่อแก้ห่อผ้าอัฐิ‌ออก อัฐิที่เคยเห็นเป็นสีขาวเหมือนดอกมะลิ ‌กลายเป็นอัฐิธาตุก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ เป็นแก้วใส‌บริสุทธิ์บ้าง มีสีขาว สีเขียว สีแดง สีเหลือง เป็น‌ที่แปลกใจไปตามๆ กัน แต่ก็แสดงว่ากระดูกของ‌ท่านได้กลายเป็นพระธาตุอย่างแน่นอน

ตามความเชื่อของชาวพุทธ หมายความว่า ‌ท่านผู้ใดกระดูกกลายเป็นพระธาตุ ท่านผู้นั้นได้‌มีจิตวิญญาณบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์‌แล้ว คือไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

พระธาตุอรหันต์ในยุคปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่เกิด‌ได้โดยง่าย ผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในโลกมนุษย์ ‌หรือพรหมโลกชั้นสุทธาวาส จะต้องบากบั่น‌พากเพียรพยายามปฏิบัติธรรมอย่างเสี่ยงตาย‌ถวายชีวิตต่อพระพุทธเจ้ากันทีเดียว พระพุทธ‌เจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ต้องสร้างบารมี‌ไม่น้อยกว่า ๔ แสนกัป ส่วนอรหันต์สาวก ต้อง‌สร้างบารมีอย่างน้อย ๑ แสนกัป การได้กราบ‌ไหว้บูชาด้วยจิตศรัทธาเลื่อมใสต่อพระบรม‌สารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์‌สาวกก็ดี ย่อมเป็นวาสนาบารมีอันใหญ่หลวง‌ของผู้บูชา ดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึง‌สถูปบรรจุอัฐิธาตุของบุคคล ๔ ประการเอาไว้

๑. สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของตถาคตอรหันต์‌สัมมาสัมพุทธเจ้า

๒. สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของพระปัจเจก‌พุทธเจ้า

๓. สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของพระอรหันต์

๔. สถูปบรรจุพระอัฐิธาตุของพระเจ้า‌มหาจักรพรรดิ

บุคคลพิเศษนี้เป็นที่ไหว้สักการบูชา ใครกราบสักการบูชาด้วยจิตใจที่เลื่อมใส ย่อมเป็นปัจจัยให้สัตว์เกิดในสุคติโลกสวรรค์ ตามกำลัง‌เลื่อมใสในจิตของตน

อัฐิธาตุ ของท่าน พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต วัดป่าผาลาด จ.กาญจนบุรี
พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต

ที่มา : ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ http://www.posttoday.com