วันอังคาร, 26 พฤศจิกายน 2567

หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม วัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม) ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

ประวัติและปฏิปทา พระครูฐิติธรรมญาณ (หลวงปู่ลี ฐิตธัมโม)

วัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม)
ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม
วัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม)
ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

๏ อัตโนประวัติ
พระครูฐิติธรรมญาณ หรือ “หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม” อดีตเจ้าอาวาสวัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม) และอดีตเจ้าอาวาสวัดศรีชมพู ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร มีชื่อเลื่องลือยิ่งในฐานะศูนย์รวมใจธรรม ใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตใต้ร่มกาสาวพัสตร์ แนะนำพร่ำสอนคณะศรัทธาญาติโยมผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ให้รู้จักบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา และตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์

หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม ท่านมีนามเดิมว่า ลี แสนเลิศ เกิดเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๖๓ ตรงกับวันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก ณ บ้านบึงโนนอก ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร

โยมบิดาชื่อ พ่อใหญ่เคน แสนเลิศ โยมมารดาชื่อ แม่ใหญ่ปึ้ง แสนเลิศ หลวงปู่มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๓ คน เป็นชาย ๒ คน หญิง ๑ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ โดยมีชื่อตามลำดับดังนี้

๑. โยมพี่ชาย (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)

๒. หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม (มรณภาพแล้ว)

๓. โยมน้องสาว นางบุญ แสนเลิศ (เสียชีวิตแล้ว)

๏ ภูมิลำเนาเดิม
ภูมิลำเนาเดิมของโยมบิดาอยู่ที่บ้านแดง ตำบลหนองดินดำ อำเภอท่าวัดบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ส่วนโยมมารดานั้นเป็นคนบ้านดอนแคนน้ำ ตำบลหนองดินดำ อำเภอท่าวัดบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด อาชีพหลักของท่านทั้งสองคือการทำนา สำหรับโยมบิดาของหลวงปู่นั้น ยังมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านพืชสมุนไพรต่างๆ ด้วย ท่านจึงทำหน้าที่เป็นหมอยารักษาชีวิตคนด้วยความเมตตาอีกทางหนึ่ง

พ่อใหญ่เคน แสนเลิศ โยมบิดาของหลวงปู่ เดิมมีภรรยาคนแรกและมีบุตรด้วยกัน ๔ คน (ปัจจุบันเสียชีวิตหมดแล้ว) หลังจากที่ภรรยาคนแรกเสียชีวิตลง โยมบิดาได้แต่งงานใหม่กับแม่ใหญ่ปึ้ง แสนเลิศ โยมมารดาของหลวงปู่ โดยท่านทั้งสองได้ใช้ชีวิตร่วมกันที่บ้านดอนแคนน้ำ จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ แม่น้ำชีหนุนขึ้นสูงจนเกิดน้ำท่วมใหญ่และโรคระบาดอย่างรุนแรง ทำให้ผู้คนล้มตายกันมากมาย

โยมบิดาและโยมมารดาของหลวงปู่ จึงตัดสินใจอพยพย้ายถิ่นฐานที่อยู่มายังบ้านบึงโนนอก ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ร่วมกับชาวบ้านอีกประมาณ ๖๐ ครัวเรือน ด้วยได้ยินกิติศัพท์ว่า บ้านบึงโนนอกเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์มาก ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันว่า ในสมัยนั้นบ้านบึงโนนอกจะมีต้นโสน และต้นแซง ขึ้นเต็มบึง แต่ละต้นมีลำต้นโตเท่าแขน หลวงปู่เล่าว่า “ต้นใหญ่ขนาดคนตัวโตนั่งเล่นได้ ไม่ตก”

บ้านบึงโนนอกในครั้งนั้นยังเป็นป่าดิบ เรื่อยมาตั้งแต่ดงผาลาด ดงบัง ต่อเนื่องจนถึงดงหม้อทอง เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด ทั้งช้างป่า เสือ เก้ง กวาง ละมั่ง หมูป่า ไก่ป่า หลวงปู่เล่าว่า “สมบูรณ์ขนาดปลาในบึง จับวันเดียวกินได้ทั้งอาทิตย์”

ในช่วงอพยพย้ายถิ่นฐานที่อยู่จากบ้านดอนแคนน้ำ จังหวัดร้อยเอ็ด มาที่บ้านบึงโนนอก จังหวัดสกลนครนั้น โยมมารดาของหลวงปู่กำลังตั้งครรภ์ท่านอยู่ ด้วยเหตุนี้หลวงปู่จึงมักปรารภว่า “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด” ด้วยถือว่าท่านถือกำเนิดนับแต่โยมมารดาตั้งครรภ์

๏ ชีวิตปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น
แม่ใหญ่ปึ้ง แสนเลิศ โยมมารดาของหลวงปู่นั้นเสียชีวิตในขณะที่หลวงปู่ยังเล็กอยู่มาก คือหลังจากคลอดน้องสาว (นางบุญ แสนเลิศ) ได้ไม่นาน ส่วนโยมพี่ชายของหลวงปู่ก็เช่นกัน เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก โดยในตอนนั้นบ้านบึงโนยังไม่มีป่าช้า ท่านเคยเล่าขำๆ ว่า พี่ชายของท่านตายจองป่าช้า โยมบิดาของหลวงปู่ได้แต่งงานใหม่อีกครั้งหนึ่งกับแม่หม้ายลูกติด ๑ คน ชื่อแม่หมุน มีลูกสาวด้วยกัน ๑ คน ชื่อ บัว

ดังได้กล่าวในตอนต้นแล้วว่า พ่อใหญ่เคน แสนเลิศ โยมบิดาเป็นหมอยาสมุนไพรช่วยรักษาชีวิตคน จึงเป็นเหตุให้บางครั้งต้องจากบ้านไปเพื่อรักษาชีวิตคน นานอาทิตย์หนึ่งบ้าง ครึ่งเดือนบ้าง หนึ่งเดือนบ้าง หลวงปู่กับน้องสาว (นางบุญ แสนเลิศ) จึงถูกทอดทิ้งให้อยู่กับแม่เลี้ยง ท่านว่า “ครั้งหนึ่งเคยเกือบเป็นฆาตกร ฆ่าแม่เลี้ยงไปแล้ว เนื่องจากน้องสาวของท่านถูกแม่เลี้ยงรังแก แต่โชคดีที่ท่านมีสติระงับได้ทัน”

เมื่อโยมบิดาถึงแก่กรรมในขณะที่หลวงปู่มีอายุไม่ถึง ๑๐ ปีนั้น จึงนับว่าเป็นภาระหนักหนาสำหรับเด็กชายวัยนี้ ที่ต้องรับผิดชอบดูแลทุกอย่างในครอบครัว ทั้งเลี้ยงน้องที่ยังเล็กถึง ๓ คน ทั้งต้องเลี้ยงวัวควาย ทำไร่ไถนา ด้วยความยากลำบาก และต้องอยู่กับแม่หมุนผู้เป็นแม่เลี้ยง

หลวงปู่เล่าว่า ท่านลำบากแม้กระทั่งการเรียน เรียนไปได้ ๑ ปี ที่โรงเรียนวัดบ้านโคกสี ก็ต้องหยุดการเรียนการสอน เนื่องจากครูผู้สอนเสียชีวิต มาได้เรียนอีกทีก็เมื่อบ้านบึงโนนอกได้ตั้งโรงเรียนวัดบ้านบึงโนนอก (โรงเรียนวัดศรีชมพู ในปัจจุบัน) ขึ้น ท่านจึงได้มีโอกาสเรียนต่อจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘ อายุ ๑๕ ปี

๏ ชีวิตวัยหนุ่ม
ขณะอายุได้ ๑๕-๑๖ ปี หลวงปู่มีความฉลาดเฉลียว อุปนิสัยอาจหาญ ร่าเริง พูดเก่ง และเป็นผู้นำในหมู่ พ่อใหญ่สุด สหายในวัยเด็กของหลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่จะเป็นผู้นำในทุกเรื่อง บางครั้งเวลาไปเลี้ยงควายคุยกัยแค่ ๒-๓ คน แต่สนุกสนานเฮฮาเหมือนคุยกัน ๙ คน ๑๐ คน เมื่อมีโรคระบาดเกิดขึ้นในหมู่วัวควาย หลวงปู่ก็จะนำวัวควายที่เกิดโรคระบาดนี้ ไปในที่ห่างไกลจากหมู่บ้าน ไม่ให้แพร่เชื้อ ไปติดตัวอื่นที่ยังไม่เป็น

ในด้านอุปนิสัยผู้นำของหลวงปู่นั้น หลวงปู่อ่อนศรี ฐานวโร แห่งวัดถ้ำประทุน ตำบลเขาไม้แก้ว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ได้เคยกล่าวรับรองในหลายโอกาสว่า “หลวงปู่ลีท่านเก่ง เป็นผู้นำมาแต่น้อย เราแอบหลังท่าน ไม่กล้า โตมาด้วยกัน เล่นกันมา ไล่หลังกันมา เพราะเราเป็นรุ่นน้องหลวงปู่ลี ๒-๓ ปี”

ช่วงอายุ ๑๘-๒๒ ปี ถ้าไม่ใช่ฤดูทำนา หลวงปู่มักจะพาหมู่ไปค้าขายไกลๆ ถึงร้อยเอ็ดบ้าง มหาสารคามบ้าง โดยใช้เกวียนเดินทาง ไปครั้งละ ๑ เดือนบ้าง๕ วันบ้าง แล้วแต่ระยะทางและสินค้าที่นำไป สินค้าที่หลวงปู่นำไปขายส่วนใหญ่มักจะเป็นจำพวก หวาย ปลาร้า และเข (เครื่องมือในการย้อมไหม) พ่อใหญ่สุดเล่าว่า ไปกับหลวงปู่แล้วสนุกมาก ไม่เบื่อเลย เพราะหลวงปู่จะเป็นผู้นำที่ดีมาก รักหมู่รักเพื่อน ไม่ทอดทิ้งและดูแลทุกคนเสมอกัน

๏ การอุปสมบท
ล่วงเข้าสู่วัยหนุ่มฉกรรจ์อายุได้ ๒๓ ปี หลวงปู่มีความคิดที่จะแต่งงาน แต่หลวงปู่ธรรม เจ้าอาวาสวัดดอนชัยมงคล อำเภอบ้านหัน (อำเภอสว่างแดนดิน ในปัจจุบัน) จังหวัดสกลนคร ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของหลวงปู่ได้ห้ามเอาไว้ โดยบอกว่า “พ่อแม่ก็ล้มหายตายจากไปแล้ว ก็น่าจะบวชให้สักปีสองปีก่อน จึงค่อยลาสิกขามาแต่งงานก็ได้” ด้วยความกตัญญูหลวงปู่จึงตัดสินใจบวชเพื่อทดแทนพระคุณบิดามารดาในปีนั้นนั่นเอง

ในสมัยนั้น การบวชเป็นพระธรรมยุต จะต้องไปบวชที่วัดซึ่งมีพระอุปัชฌาย์เป็นพระธรรมยุตด้วยกัน และวัดที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ไกลถึงวัดจอมศรี ตำบลพันดอน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี แต่เมื่อตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้ว หลวงปู่ก็มิได้ย่อท้อแต่อย่างใด มุ่งมั่นเป็นผ้าขาวอยู่นานหลายเดือน จึงเดินตามรอยเท้าครูบาอาจารย์ จากบ้านบึงโน จังหวัดสกลนคร ไปยังวัดจอมศรี จังหวัดอุดรธานี เข้าสู่ชีวิตใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์

หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม
วัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม)
ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

ต่อมาได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๕ ตรงกับวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา ณ พัทธสีมาวัดจอมศรี ตำบลพันดอน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี โดยมี พระครูพิทักษ์คณานุกร วัดจอมศรี จังหวัดอุดรธานี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระสมุห์ภา วัดจอมศรี จังหวัดอุดรธานี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระฮวด สุมโน วัดชัยมงคล ตำบลสว่าง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “ฐิตธมฺโม” ซึ่งแปลว่า “ผู้ตั้งอยู่ในธรรม

๏ ลำดับการจำพรรษา
พรรษาที่ ๑ (พ.ศ. ๒๔๘๕)
เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่ได้เดินทางกลับบ้านบึงโนนอก มาจำพรรษาแรกอยู่กับ หลวงปู่ชาดี วัดธรรมิการาม ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร หลวงปู่เล่าว่า พอครบพรรษาก็เตรียมเก็บกระเป๋า ตั้งใจไปกราบลาสิกขากับหลวงปู่ชาดี เพื่อไปสร้างครอบครัวตามความตั้งใจเดิม แต่หลวงปู่ชาดีได้พูดยับยั้งไว้ว่า “อย่าเพิ่งสึกเลย บวชไปก่อนอีกสัก ๕ พรรษา ค่อยสึก” หลวงปู่จึงว่า “ถ้าอย่างนั้นกระผมจะขอลาไปธุดงค์ก่อน” ความข้อนี้หลวงปู่ได้เคยขยายความว่า หลวงปู่ชาดีท่านใช้อุบายล่อหลอกไว้

พรรษาที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๖)
หลวงปู่ได้จำพรรษา ณ วัดผดุงธรรม บ้านดงเย็น ตำบลดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี กับหลวงพ่อหรั่ง เนื่องจากเป็นช่วงที่หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ รับนิมนต์ชาวบ้านออกไปจำพรรษาในป่านอกวัดแต่ไม่ไกลกัน (ปัจจุบันบริเวณป่านอกวัดได้กลายเป็น “วัดประสิทธิธรรม” เขตต่อเนื่องกันกับวัดผดุงธรรม)

หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ
หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ

หลวงปู่เล่าว่า “ต้องเดินข้ามดงเสือไปฟังธรรมหลวงปู่พรหม ทุกคืนตลอดพรรษา” พอออกพรรษาก็ธุดงค์ไปจังหวัดอุดรธานี กับเพื่อนพระด้วยกัน ตอนแรกหลวงปู่ตั้งใจจะไปเพียง ๓ วัน ก็จะกลับ แต่ในที่สุดก็ออกธุดงค์เรื่อยไปจนถึงจังหวัดร้อยเอ็ด (เพื่อนพระที่ไปด้วยกันในตอนแรกขอกลับก่อน) และที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ จังหวัดร้อยเอ็ด หลวงปู่ได้พบ หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย แห่งวัดเขาสุกิม ตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี และได้ออกเที่ยวธุดงค์ด้วยกันหลายเดือน และหลายหนต่อมา แต่ไม่เคยได้จำพรรษาด้วยกัน หลวงปู่เล่าว่า เที่ยวธุดงค์ไปหลายที่หลายแห่ง รวมทั้งวัดท่าคันโธ แต่ก็ไม่ได้จำพรรษาที่นี่

หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม
หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม

พรรษาที่ ๓-๔ (พ.ศ. ๒๔๘๗-๒๔๘๘)
หลวงปู่จำพรรษาอยู่กับ พระอาจารย์เพ็ง พุทฺธธมฺโม ณ วัดป่าศรีไพรวัลย์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด พระอาจารย์เพ็งนี้เป็นพระลูกชายของ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง) อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๗-๒๔๘๙ หลวงปู่ได้เที่ยวธุดงค์ไปกับ หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล แห่งวัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี เพื่อนสหมิกธรรมคู่บารมีของท่าน

หลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่บุญจันทร์นั้นเป็นคู่บารมีของท่าน เที่ยวป่าด้วยกันถึง ๓ ปี แล้วก็จากกันไปนาน มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อหลวงปู่บุญจันทร์ได้มาอยู่ที่อำเภอไชยวานแล้ว ไม่ไกลจากวัดเหวลึกมากนัก แต่ก็ไม่เคยพบกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง หลวงปู่ลีนั่งรถมาทำธุระที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งหลวงปู่บุญจันทร์ก็นั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน

ท่านว่า เรามองหน้าท่าน จำได้คลับคล้ายคลับคลา แต่ไม่แน่ใจ คิดมาตลอดทางจนถึงอุดรธานี พอลงรถ ก็ตัดสินใจเข้าไปจับมือ แล้วถามว่า “หลวงปู่บุญจันทร์ใช่ไหม ?” เมื่อท่านตอบว่า “ใช่” นั่นแหละความหลังจึงคืนมา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหลวงปู่ลีก็ไปมาหาสู่หลวงปู่บุญจันทร์มาตลอด จนกระทั่งหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล ได้ละสังขารไปก่อน เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๘

หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล เพื่อนสหธรรมิกของหลวงปู่ลี

พรรษาที่ ๕-๖ (พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๔๙๐)
หลวงปู่เที่ยวธุดงค์มาจนถึงอำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ วัดประชานิยม ของท่านเจ้าคุณแดง หรือ พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่แดง ธมฺมรกฺขิโต) แต่ก็ยังเทียวไปเทียวมาระหว่างวัดท่าคันโธอยู่ หลวงปู่เล่าว่า ที่กาฬสินธุ์เนื่องจากญาติโยมดี คือสนใจในพระพุทธศาสนา ท่านว่าภาวนาก็ดี ก้าวหน้าโดยลำดับดีมาก

ในช่วงที่อยู่กับท่านเจ้าคุณแดง ท่านเคยถูกเจ้าคุณแดงดุเอาเหมือนกัน ท่านเล่าให้ฟังว่า พระที่อยู่ในวัด ๑๘ รูป ไม่มีใครกล้าขึ้นไปหาท่านเจ้าคุณแดง เวลาขุดหลุมลึกๆ แล้วใช้เสาสว่านขุด พองัดขึ้น หมุดเสาสว่านก็หัก พระทุกรูปกลัวท่านเจ้าคุณแดงจะดุ จึงไม่มีใครกล้าขึ้นไปบอกให้ท่านเจ้าคุณทราบ หลวงปู่ก็ได้พูดขึ้นว่า “คนจะกินคนหรือ” แล้วท่านก็ขึ้นไปกราบเรียนเรื่องหมุดเสาสว่านหัก ท่านเจ้าคุณก็ว่า “หักมันก็หักไป คนเรายังมีวันตาย” ท่านเจ้าคุณแดงพูดอย่างนี้ หลวงปู่จึงลงมาด้วยความสบายใจ

นอกจากนี้ พ.ศ.๒๔๙๐ หลวงปู่ได้เริ่มเป็นครูพระปริยัติธรรม ณ วัดศรีชมพู เรื่อยมาจนท่านมรณภาพ

พรรษาที่ ๗-๘ (พ.ศ.๒๔๙๑-๒๔๙๒)
พอออกพรรษา หลวงปู่ก็คิดถึงบ้าน จึงกราบลาท่านเจ้าคุณแดงออกจากวัดประชานิยม จังหวัดกาฬสินธุ์ เดินทางกลับบ้านบึงโนนอก ผ่านมาทางอำเภอธาตุพนม ระหว่างทางพบ พระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต (พระครูอุดมธรรมคุณ) และได้เดินทางกลับบ้านบึงโนนอกพร้อมกัน

พระมหาทองสุก สุจิตฺโต วัดป่าสุทธาวาส
พระมหาทองสุก สุจิตฺโต วัดป่าสุทธาวาส

สองพรรษานี้หลวงปู่อยู่ที่วัดธรรมิการาม เพื่อช่วยบูรณปฏิสังขรณ์วัดบ้านเดิมของท่าน หลวงปู่ได้นำพาพระเณรชาวบ้านสร้างศาลาการเปรียญ กุฏิ และอื่นๆ จนเสร็จสมบูรณ์ หลวงปู่เล่าว่า ช่วงพรรษาที่ ๖ ต่อพรรษาที่ ๗ ท่านเคยคิดที่จะสึกเพราะมีโยมอยากได้หลวงปู่เป็นลูกบุญธรรม จะมอบทรัพย์สมบัติทั้งปวงให้ครอบครอง หลวงปู่ได้พิจารณาตามและเกิดความเบื่อหน่าย ท่านว่า “ของเหล่านี้ไม่ใช่ของเรา ถ้าไปเอาของเขามา ก็จะเป็นการสร้างบาปสร้างกรรมให้ยืดเยื้อต่อไปอีก” คิดได้ดังนี้ จึงไม่คิดสึกออกไปอีกเลย

พรรษาที่ ๙ (พ.ศ.๒๔๙๓)
คณะศรัทธาญาติโยมได้นิมนต์หลวงปู่ให้อยู่จำพรรษาที่วัดศรีชมพู หลวงปู่รับนิมนต์และอยู่สร้างโบสถ์ที่วัดศรีชมพูจนแล้วเสร็จ ได้ฉลองโบสถ์ในพรรษานี้ด้วยกัน ต้นปี พ.ศ.๒๔๙๓ หลวงปู่ได้เดินทางไปร่วมงานประชุมเพลิงศพพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ วัดป่าสุทธาวาส ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ในฐานะลูกศิษย์คนหนึ่ง อัฐิธาตุของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ส่วนซี่โครง ๑ ชิ้นที่หลวงปู่ได้มานั้น ท่านได้นำไปประดิษฐานไว้บนยอดเศียรพระประธานวัดศรีชมพู ต่อมาหลวงปู่นึกสังหรณ์ใจจึงปีนขึ้นไปดู แต่ไม่พบ นึกสงสัยอยู่นานว่าหายไปได้อย่างไร เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าหลวงปู่นำอัฐิธาตุท่านพระอาจารย์มั่นมาเก็บไว้ ณ ที่นี้ แต่พอนึกทบทวนดูจึงรู้ว่า เอาลูกไว้บนหัวพ่อ ท่านไม่ยอมอยู่จึงหนีไป

ภาพวาดสีน้ำมันภายในพระเจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคิรีวิหาร (วัดภูทอก) ต.นาสะแบง อ.ศรีวิไล จ.บึงกาฬ

จากซ้าย :: หลวงปู่สุภาพ ธมฺมปญฺโญ วัดทุ่งสว่าง, พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ, หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม วัดสามัคคีอุปถัมภ์ (วัดภูกระแต), พระอาจารย์วัน อุตฺตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม, หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม วัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม), พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้วชุมพล

หลวงปู่เคยพูดว่า “การอยู่กับหลวงปู่มั่นนั้นต้องระมัดระวังความคิดมากเป็นพิเศษ อย่าคิดนอกลู่นอกทาง เพราะท่านจะรู้เท่าทันหมด ต้องสำรวมกาย-วาจา-ใจ ไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์อื่น ใครๆ ก็ว่าหลวงปู่มั่นดุ ท่านดุก็เพราะคนผู้นั้นทำผิด ท่านดุก็เพื่อให้ผู้นั้นกลับตัว”

หลวงปู่เคยเล่าให้ฟังถึงการอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นไว้สั้นๆ ว่า “เราคิดว่าเราไวแล้ว เรายังไวไม่เท่าเพื่อนเลย”

ในพรรษานี้ หลวงปู่ได้สร้างอุโบสถวัดเจริญราษฎร์บำรุง บ้านมาย ตำบลมาย อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร

พรรษาที่ ๑๐-๑๑ (พ.ศ.๒๔๙๔-๒๔๙๕)
สองพรรษานี้หลวงปู่กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าศรีไพวัลย์ จังหวัดร้อยเอ็ด อีกวาระหนึ่ง ช่วงในระหว่างพรรษา สหธรรมิกที่หลวงปู่ปรารภเสมอว่า เป็นคู่ทุกข์คู่ยากของหลวงปู่ ซึ่งได้ออกเที่ยวธุดงค์กับหลวงปู่ด้วย คือ พระอาจารย์อุดม ญาณรโต (พระครูอุดมศีลวัตร) แห่งวัดป่าสถิตธรรมวนาราม บ้านหนองผักแว่น ตำบลพรเจริญ อำเภอพรเจริญ จังหวัดหนองคาย

หลวงปู่อุดม ญาณรโต (พระครูอุดมศีลวัตร) วัดป่าสถิตธรรมวนาราม

จากคำเล่าของหลวงปู่อุดม ท่านว่า หลวงปู่ลีมีอัธยาศัยช่างพูด ช่างเล่า เที่ยวธุดงค์จำพรรษาด้วยกัน ๖ พรรษาจนกลายเป็นศิษย์-พระอาจารย์กัน พระอาจารย์อุดมว่า “อาตมาเทิดทูนท่านมากน่ะ ปู่ลีท่านเป็นครูเป็นอาจารย์ ตีเสมอครูบาอาจารย์ไม่ดีน่ะ” ท่านว่ามีกิจกรรมร่วมกันมาตลอดจนตายจากกัน

พรรษาที่ ๑๒ (พ.ศ.๒๔๙๖)
หลวงปู่เล่าว่า ก่อนเข้าพรรษาปีนี้ หลวงปู่อุดมมารับหลวงปู่ที่บ้านบึงโนนอก เพื่อจะไปธุดงค์ด้วยกัน ที่จังหวัดกาฬสินธุ์นั้น ฝนตกตลอด แม่น้ำชีไหลเชี่ยวกราก ต้องโยงสายลวดให้ผู้คนช่วยดึงเพื่อให้เรือแล่นไปตามสายลวด ไม่เช่นนั้นเรือจะข้ามฟากไปไม่ได้ ครั้นไปถึงวัดประชานิยม จังหวัดกาฬสินธุ์ ก่อนเข้าพรรษาแค่วันเดียว จึงเข้าไปขอนิสสัยจากท่านเจ้าคุณแดง เจ้าอาวาส มีพระเณรมาจำพรรษาทั้งสิ้นรวม ๙ รูป

หลวงปู่อุดมเล่าว่า พรรษานี้สมภารไม่ค่อยจะเข้ากับหลวงปู่ลีท่านเท่าไรนัก เนื่องจากหลวงปู่ลีเทศน์เก่ง พูดคุยสนุก คณะศรัทธาญาติโยมจึงชอบสนทนาธรรมกับหลวงปู่มากกว่าหมู่ หลวงปู่อุดมเล่าว่า ท่านได้รับความเมตตาจากหลวงปู่ลีมาก หลวงปู่ลีจะคอยแนะนำพร่ำสอนการงานทุกอย่าง ทำศาลา ทำกุฏิ ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ท่านสอนหมด เพราะติดตามท่านไม่ห่าง ท่านเล่าว่า หลวงปู่ลีเป็นผู้ละเอียดมากทั้งงานภายนอกงานภายใน ระหว่างพรรษานี้ได้ขุดบ่อน้ำ ๒ แห่ง แต่ใช้ไม่ได้เลย เพราะขุดลงไปก็พังหมด เนื่องจากเป็นดินทรายและน้ำก็เหม็นมาก ท่านต้องหาน้ำ หาบน้ำมาต้มน้ำให้หลวงปู่ลีสรงน้ำอาบตลอดพรรษา

นอกจากนี้หลวงปู่อุดมยังเล่าให้ฟังว่า ความเมตตาที่ท่านได้รับจากหลวงปู่ลี จนประทับจิตประทับใจเป็นที่สุดก็คือ คำชี้แนะเรื่องข้ออรรถข้อธรรมและการภาวนา ท่านว่า หลวงปู่ลีไม่เคยปิดบังอำพราง แต่จะพูดเปิดเผยทุกอย่าง โดยเฉพาะเวลาค่ำๆ ที่อยู่เฉพาะกันเพียง ๒ องค์ บางครั้งปิติกับคำสอนจนสามารถปฏิบัติได้ถึงขนาด หลวงปู่อุดมเล่าว่า พรรษานี้เป็นพรรษาที่ปฏิบัติความดีมาก เร่งรัดความเพียรเป็นที่สุด แต่กิจการงานภายนอกก็ไม่ขาดน่ะ เรื่องนี้หลวงปู่ลีท่านเข้มงวดมาก ขาดไม่ได้เลยทั้งสองส่วน

พรรษาที่ ๑๓ (พ.ศ.๒๔๙๗)
ก่อนเข้าพรรษานี้ หลวงปู่และพระอาจารย์อุดม พร้อมด้วยคณะศรัทธาญาติโยมอีกประมาณ ๒๐ คน ได้เดินทางจากกุดเรือคำไปถึงดงหม้อทอง เพื่อกราบนมัสการเยี่ยม หลวงปู่ขาว อนาลโย และพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ ซึ่งท่านทั้งสองได้มาพักที่ดงหม้อทอง ครั้งที่ยังเป็นป่าสมบูรณ์ ไม่เห็นแดด ครึ้มตลอด มีแต่เสียงหริ่งเรไรร้อง มีโขลงช้าง ซึ่งเวลามาที คนก็วิ่งแตกตื่นขึ้นบนขอนไม้ใหญ่ ก็ไปเจอทากข้าอีก (ภาษาอีสานเรียกว่า ปลิงโคก) ก็วิ่งหนีกันจนผ้าผ่อนเปิด ไม่ได้สนใจกัน หลวงปู่อยู่บนก้อนหิน (พระลานหิน) เป็นลูกๆ คล้ายโบกี้รถไฟติดต่อกัน ต้องทำสะพานเชื่อมกันไว้ลูกสูงขึ้นไปต้องทำบันไดขึ้น เมื่อขึ้นไปแล้วก็ชักบันไดขึ้น ไม่ต้องกลัวเสือ ข้างบนมองลงมาเห็นช้าง เห็นเสือ แต่มันขึ้นไปกวนไม่ได้

(ซ้าย) หลวงปู่ขาว อนาลโย (ขวา) พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ

หลวงปู่ยังเล่าเพิ่มเติมถึงประวัติของดงหม้อทองอีกว่า เดิมมีน้ำตกลงมาจากที่สูง ลงมาเป็นอ่างน้ำ เป็นวังวน ถ้ามุดใต้น้ำเข้าไปจะพบถ้ำ (แอ่งน้ำอยู่หลังถ้ำ) แล้วจึงจะพบหม้อทองโบราณอยู่ภายในถ้ำ หลวงปู่เล่าว่า ที่ดงหม้อทองนี้ท่านไม่ได้อยู่จำพรษา เพียงแค่ไปกราบเยี่ยมครูบาอาจารย์ พักอยู่หลายวันจึงเดินทางกลับออกมา ถึง วัดกุดเรือคำ ตำบลกุดเรือคำ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร ก่อนเข้าพรรษา ๗ วัน เป็นอันว่าพรรษานี้หลวงปู่กับหลวงปู่อุดมอยู่จำพรรษาที่ วัดกุดเรือคำของ ท่านพระครูอดุลสังฆกิจ (หลวงปู่มหาเถื่อน อุชุกโร) หลวงปู่ได้ทำหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างกุฏิเจ้าอาวาส ที่วัดกุดเรือคำ นี้ ๑ หลัง จนแล้วเสร็จในพรรษานี้เช่นกัน

หลวงปู่พระครูอดุลสังฆกิจ (เถื่อน อุชุกโร) น.ธ.เอก ป.ธ.๕
ณ วัดกุดเรือคำ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร

พรรษาที่ ๑๔-๑๖ (พ.ศ.๒๔๙๘-๒๕๐๐)
ระหว่าง ๓ พรรษานี้ หลวงปู่อยู่จำพรรษาที่วัดศรีชมพู จังหวัดสกลนคร แต่จะไปมาระหว่างวัดศรีชมพู กับวัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น ตำบลดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นวัดของ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ เพื่อกราบเยี่ยมสนทนาธรรมกับองค์หลวงปู่พรหม เป็นประจำมิได้ขาด แต่ไม่เคยอยู่จำพรรษากับท่าน

ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ หลวงปู่สอบได้นักธรรมชั้นโท และในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ สอบได้นักธรรมชั้นเอก ณ สำนักเรียนวัดกุดเรือคำ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร

ระยะเวลา ๒ ปีแรก คือ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๔๙๙ ศาลาข้างโบสถ์วัดศรีชมพูก็สร้างจนแล้วเสร็จในช่วงนี้เช่นกัน

พรรษาที่ ๑๗-๒๑ (พ.ศ.๒๕๐๑-๒๕๐๕)
หลวงปู่จำพรรษาอยู่ที่วัดธรรมิการามบ้าง วัดศรีโพนสูง (วัดป่าบ้านถ่อน) บ้าง และมาจำพรรษาที่วัดศรีชมพู (วัดบ้านบึงโนนอก) ตามคำกราบนิมนต์ของญาติโยมบ้าง ในช่วงออกพรรษา ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ท่านได้รับเจตนารมณ์ของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ เพื่อสร้างวัดศรีโพนสูง (วัดป่าบ้านถ่อน) ตำบลโพนสูง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ใช้เวลาดำเนินการ ๒ ปี จึงแล้วเสร็จ

และในพรรษาที่ ๑๘ นี้เช่นกันที่สหธรรมิกของหลวงปู่คือ หลวงปู่อุดมได้ขอลาไปเที่ยวธุดงค์ หลังจากที่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากจำพรรษาด้วยกันมาถึง ๖ พรรษา

พรรษาที่ ๒๒ (พ.ศ.๒๕๐๖)
ปีนี้หลวงปู่ปลีกวิเวกจากหมู่ไปจำพรรษาที่วัดเนินเขาแก้ว ตำบลท่าช้าง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ของ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท มูลเหตุแห่งการปลีกวิเวกในครั้งนี้ เป็นเพราะในระหว่างที่หลวงปู่จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีชมพูนั้น ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล) แห่งวัดโพธิสมภรณ์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ประสงค์จะให้หลวงปู่เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่หลวงปู่ปฏิเสธ

พ่อใหญ่สด (โยมอุปัฏฐาก) ได้กราบเรียนถามว่า เพราะเหตุใดหลวงปู่จึงปฏิเสธไม่รับตำแหน่งทั้งๆ ที่บ้านบึงโนยังไม่มีพระอุปัชฌาย์ ชาวบ้านจะบวชพระธรรมยุติลำบาก

หลวงปู่ตอบว่า “บ้านพวกเจ้านี้หรือที่อยากจะได้พระอุปัชฌาย์ เห็นแต่ละคนไม่พากันเข้าวัดเลย แล้วจะอยากได้พระอุปัชฌาย์ไปทำไม ที่เรามาบวชนี้ก็เพราะอยากทำความเพียร ทำภาวนา สร้างบุญ สร้างกุศล ไม่ได้ต้องการเป็นพระเจ้าพระนาย มีตำแหน่งใหญ่โตให้ผู้คนรู้จัก”

พ่อใหญ่สดเล่าว่า เจตนาข้อนี้ของหลวงปู่ได้แสดงให้เห็นแจ้งชัดกันอีกครั้ง เมื่อเจ้าคณะอำเภอสว่างแดนดินมรณภาพลง คณะสงฆ์ประชุมกัน ๔-๕ ครั้ง ลงมติมอบตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอให้ท่าน แต่ท่านก็ไม่ยอมรับเช่นกัน ในที่สุดหลวงปู่จึงปลีกวิเวกหลบไปจำพรรษาที่จังหวัดจันทบุรี เป็นการยุติเรื่องทั้งมวล

พรรษาที่ ๒๓-๒๔ (พ.ศ.๒๕๐๗-๒๕๐๘)
หลวงปู่จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีโพนสูง (วัดป่าบ้านถ่อน) ตำบลโพนสูง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เพื่อสอนธรรมศึกษา สำหรับเรื่องธรรมศึกษานี้เป็นที่ประจักษ์กันในหมู่พระเณรที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ว่า ท่านสนับสนุนให้พระเณรแตกฉานในทางธรรม เรียนกันตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี โท ถึงเอก ตามลำดับ นอกเหนือจากการปฏิบัติภาวนาอันเป็นหลักของใจ ด้วยเหตุนี้ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ หลวงปู่จึงรับเป็นพระธรรมทูต สายที่ ๕ นอกจากนี้ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ท่านยังได้รับตำแหน่งเจ้าคณะตำบลสว่าง เขต ๒ (ธรรมยุต)

พรรษาที่ ๒๕ (พ.ศ.๒๕๐๙)
ไม่แน่ชัดว่าหลวงปู่ได้กลับไปจำพรรษาที่วัดเนินเขาแก้ว จังหวัดจันทบุรี อีกครั้ง หรือจำพรรษาที่วัดศรีชมพู จังหวัดสกลนคร อย่างไรก็ดีหลวงปู่ท่านเคยเล่าให้ญาติโยมฟังสนุกๆ ว่า ท่านหนีไปจำพรรษาและบิณฑบาตฉันแต่ทุเรียนอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙

พรรษาที่ ๒๖-๓๑ (พ.ศ.๒๕๑๐-๒๕๑๕)
๖ พรรษานี้ หลวงปู่พำนักอยู่ประจำวัดศรีชมพูโดยตลอด ถ้าจะรับกิจนิมนต์ไปที่ใดก็เป็นระยะเวลาไม่นานนัก เนื่องด้วยหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ซึ่งหลวงปู่เคารพเทิดทูนนับถือเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์อยู่ในวัยชรามากแล้ว องค์หลวงปู่พรหมเองท่านก็ให้ความเมตตาไว้ให้หลวงปู่ลีดูแลรับผิดชอบในกิจการงานต่างๆ ของท่านสืบแทน ตราบถึงกิจการงานสุดท้ายนั้น คือ งานสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุอัฐิธาตุและเครื่องอัฐบริขารของท่าน (เจดีย์จิรปุญโญ)

หลวงปู่เล่าว่า ท่านมอบกายถวายชีวิตเพื่อเป็นเครื่องสักการบูชาพ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย หลวงปู่ในฐานะศิษย์รุ่นใหญ่ร่วมกับ พระอาจารย์วัน อุตฺตโม เป็นประธานร่วมในงานประชุมเพลิงศพหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๑๔

(ซ้าย)หลวงปู่บุญ ชินวํโส (กลาง)พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
และ (ขวา) หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม (พระครูฐิติธรรมญาณ)
ในงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงในเจดีย์หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ
ณ วัดประสิทธิธรรม ต.ดงเย็น อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี

ท่านว่า “งานศพพระกัมมัฏฐานไม่ควรต้องมีอะไรมาก ไม่ต้องมีมหรสพให้วุ่นวาย ตอนกลางวันมีครูบาอาจารย์เป็นองค์แสดงธรรม พอกลางคืนพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา พร้อมกันทำวัตรสวดมนต์ และมีเทศน์ตลอดคืน เท่านี้ก็พอสมควรแก่พระกัมมัฏฐานโดยแท้แล้ว”

ท่านเจ้าคุณพระญาณเวที ได้เล่าเท้าความถึงงานประชุมเพลิงศพหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ในครั้งนั้นว่า สาธารณชนได้มีโอกาสรู้จักและกราบไหว้ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เพื่อนสหธรรมิกขององค์หลวงปู่พรหม เป็นครั้งแรกเช่นกัน และนับเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เมตตาแสดงธรรม และเล่าถึงปฏิปทาขององค์หลวงปู่พรหม ในระหว่างเที่ยวธุดงค์ด้วยกันท่ามกลางสาธารณชน

ในส่วนของงานก่อสร้าง เจดีย์บรรจุอัฐิธาตุ เครื่องอัฐบริขาร และเครื่องใช้ของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ (เจดีย์จิรปุญโญ) นั้น หลวงปู่ลีได้เป็นประธานดำเนินการก่อสร้างตามเจตนารมณ์ของหลวงปู่พรหม จนสร้างแล้วเสร็จในปีเดียวกันกับที่หลวงปู่พรหมได้มรณภาพ คือ ปี พ.ศ.๒๕๑๒ นั่นเอง

เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๑๔ หลวงปู่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีชมพู บ้านบึงโนนอก และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีชมพู ตราบจนกระทั่งพรรษาสุดท้ายของท่าน

พรรษาที่ ๓๒-๕๖ (พ.ศ.๒๕๑๖-๒๕๔๒)
เมื่อหลวงปู่ได้ตัดสินใจปักหลักสร้างวัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม) ณ บ้านบึงโนใน ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร แล้วนั้น ท่านก็ได้จำพรรษาที่วัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม) มาโดยตลอดมิได้ขาด

๏ งานด้านการปกครอง
พ.ศ.๒๕๐๘ เป็นเจ้าคณะตำบลสว่าง เขต ๒ (ธรรมยุต)
ปลายปี พ.ศ.๒๕๑๔ เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีชมพู บ้านบึงโนนอก ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีชมพู จนกระทั่งพรรษาสุดท้ายของท่าน

๏ งานด้านการศึกษา
พ.ศ.๒๔๙๐ เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม ณ วัดศรีชมพู เรื่อยมาจนท่านมรณภาพ
พ.ศ.๒๔๙๓-๒๕๔๑ เป็นกรรมการควบคุมห้องสอบและพระอุปถัมภ์สนามสอบ วัดกุดเรือคำ ตำบลกุดเรือคำ อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร โดยตลอดทุกปี
พ.ศ.๒๕๒๕ เป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง แผนกนักธรรมชั้นตรี

๏ งานด้านเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พ.ศ.๒๕๐๗ เป็นพระธรรมทูต สายที่ ๕

ภาพหมู่องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระกรรมฐานสายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น บันทึกภาพร่วมกันหน้าพระอุโบสถ
วัดบวรนิเวศวิหาร บางลำภู เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
ในพิธีพุทธาภิเษกพระกริ่งพระศาสดา ญสส. (รุ่นแรก)
เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๕

แถวนั่ง จากซ้าย : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ, หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม,
หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก, หลวงปู่บุญมา คมฺภีรธมฺโม,
พระอาจารย์สนั่น รกฺขิตสีโล, พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป,
หลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปญฺโญ และพระอาจารย์จันดี เขมปญฺโญ

แถวยืน จากซ้าย : หลวงปู่ไม อินฺทสิริ, หลวงปู่หลวง กตปุญฺโญ
และพระพรหมวชิรญาณ (พระมหาประสิทธิ์ เขมงฺกโร)

๏ งานด้านสาธารณูปการ
พ.ศ.๒๔๙๒-๒๔๙๓ สร้างอุโบสถและศาลาการเปรียญ วัดศรีชมพู และบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอดถึงปัจจุบัน
พ.ศ.๒๔๙๓ สร้างอุโบสถ วัดเจริญราษฏร์บำรุง บ้านมาย อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร
พ.ศ.๒๔๙๖ สร้างกุฏิเจ้าอาวาสวัดกุดเรือคำ รวมทั้งสร้างวัดศรีโพนสูง บ้านถ่อน ตำบลศรีโพนสูง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
พ.ศ.๒๕๑๒ สร้างเจดีย์จิรปุญโญ ณ วัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น ตำบลดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี
พ.ศ.๒๕๑๖ สร้างวัดเหวลึก และเสนาสนะภายในวัด อันประกอบด้วย ศาลาการเปรียญ ๒ หลัง, กุฏิ ๓๖ หลัง, โรงครัว ๒ หลัง, ห้องน้ำ-ห้องส้วม ๔๘ ห้อง, บ่อน้ำ สระน้ำ เทคอนกรีตลานวัด และถนนเข้าวัดจนแล้วเสร็จ นอกจากนี้หลวงปู่ยังได้ร่วมสร้างวัด-ศาลาการเปรียญ-โบสถ์-กุฏิพระ ในที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง เช่น ศาลาการเปรียญ วัดป่าด่านไชโย เป็นต้น

๏ งานด้านสาธารณสุข
จัดทอดผ้าป่าหาทุนสร้างเตียงคนไข้ จำนวน ๖๐ เตียง ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ร่วมกับครูบาอาจารย์กัมมัฏฐาน โดยมีพระอาจารย์วัน อุตฺตโม เป็นประธาน

มอบเครื่องมือ-อุปกรณ์ทางการแพทย์แก่โรงพยาบาลต่างๆ อาทิเช่น โรงพยาบาลอำเภอสว่างแดนดิน-ส่องดาว-เจริญศิลป์ และโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น

จัดคณะแพทย์พยาบาลอาสา กระทรวงสาธารณสุข ให้บริการด้านการตรวจสุขภาพ และบริจาคโลหิต ณ วัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม)

ร่วมสร้างสถานีอนามัยบ้านเชียง

จัดทอดผ้าป่าค่ายาให้โรงพยาบาลอำเภอเจริญศิลป์ ฯลฯ

๏ งานด้านสาธารณประโยชน์อื่นๆ
ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนโรงเรียนในกลุ่มตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จำนวน ๑๐ โรง, สร้างถนน และไถ่ถอนชีวิตโค-กระบือ ฯลฯ

๏ การมรณภาพ
แม้ในระยะหลังที่กิจนิมนต์ของหลวงปู่มากขึ้น ตามจำนวนลูกศิษย์ที่เพิ่มขึ้นมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลวงปู่ท่านก็ยังคงดำรงตนแผ่กิ่งก้านแห่งความร่มเย็นปกคลุมไปทั่ว โดยมิได้เหน็ดเหนื่อยโดยมิได้ละเว้น เมตตาของหลวงปู่ไม่มีประมาณ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เคยตกหล่น แม้ลูกศิษย์ตัวน้อย

ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวใน ๒๔ พรรษาของท่าน จึงเป็นบันทึกเล่าขานที่ไม่มีม้วนเทปม้วนใด บุคคลใด บันทึกได้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรษาสุดท้าย ที่อาการอาพาธของหลวงปู่หนักขึ้นเรื่อยๆ แต่กระนั้น หลวงปู่ก็ยังดำรงองค์เหมือนไม่มีอะไร หลวงปู่ไม่ได้สนใจต่อโรคร้าย ที่แสดงตัวกำเริบขึ้นทุกที ท่านยังคงทำหน้าที่ “พระธรรมทูต” เผยแผ่พระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็นปกติ ตราบถึงวินาทีสุดท้าย

หลวงปู่ลี มีโรคประจำองค์คือ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคไขมันในเลือดสูง ฉันยาที่ได้รับการ ถวายจากลูกศิษย์โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น และโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน กรุงเทพมหานคร หลังจากนั้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๑ เป็นต้นมา ได้ฉันยาจากลูกศิษย์โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพมหานคร

หลวงปู่ได้เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อน เคยเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลโรคทรวงอกโดยไม่ตั้งใจ แพทย์ได้บอกว่ามีจุดที่ปอดขนาดเม็ดถั่วเขียว และได้รับยารักษาวัณโรค ฉันอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นยังได้เอกซเรย์อีกหลายแห่ง จุดนั้นก็ยังอยู่ ต่อมาได้ตรวจสุขภาพอยู่ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์และโรงพยาบาลเวชศาสตร์ หลวงปู่อาการสบายดีมาตลอด

ประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๑ ขณะที่หลวงปู่เข้ามากรุงเทพมหานคร พำนักอยู่ที่วัดปทุมวนาราม แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน หลวงปู่เริ่มมีอาการเหนื่อยหลังจากเทศน์โปรดลูกศิษย์ในบางครั้ง ประมาณเดือนกรกฎาคม หลวงปู่เริ่มปรารภว่าท่านมีอาการเบื่ออาหารและน้ำหนักลด พยายามฉันอาหารแต่ก็ฉันได้ไม่ดี

วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๑ หลวงปู่รับกิจนิมนต์เข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงนี้น้ำหนักของหลวงปู่ลดลงอย่างชัดเจน ท่านได้รับการกราบขออนุญาตนิมนต์ให้ไปตรวจเช็คสุขภาพที่โรงพยาบาลราชวิถี และได้ไปตรวจเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ วันนั้นผลเอกซเรย์ปอดพบว่ามีก้อนผิดปกติที่ปอดข้างขวา ๒ ก้อน หลังจากได้รับการตรวจวินิจฉัยก้อนเนื้อผิดปกติโดยละเอียด เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ คณะแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี รายงานผลการตรวจวินิจฉัยแสดงว่าเป็นก้อนเนื้อร้าย (มะเร็งปอด) มีขนาดโดยประมาณ ๑ เซนติเมตร และ ๒.๕ เซนติเมตร หลวงปู่ได้รับการส่องกล้องตรวจทางหลอดลม เพื่อตัดชิ้นเนื้อมาตรวจหาชนิดของเนื้อร้าย แต่ไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อได้เพราะก้อนเนื้ออยู่ลึกมาก ผลการตรวจอย่างอื่นพบว่าน้ำตาลและไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ไม่รุนแรง และไม่พบอาการของโรคหัวใจ (ซึ่งหลวงปู่เคยปรารภมาก่อนนี้แล้วว่า ท่านไม่เป็นโรคหัวใจ ท่านคิดว่าเป็นโรคเกี่ยวกับปอดมากกว่า)

หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ติดต่อลูกศิษย์ซึ่งเป็นแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ เพื่อตรวจเพิ่มเติม ทางโรงพยาบาลศรีนครินทร์จะถวายการผ่าตัด ซึ่งบังเอิญขณะนั้นเป็นระยะเข้าพรรษาพอดี และหลวงปู่ก็ได้ปรารภว่าหมอไม่ได้บอกว่าจะหายขาดหรือไม่ จึงยังไม่ได้พิจารณาเรื่องการผ่าตัด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหลวงปู่ได้ฉันยาสมุนไพรหลายๆ ชนิดที่ลูกศิษย์และครูบาอาจารย์ทั้งหลายนำมาถวาย อาการที่ดีขึ้นและโรคหายไปโดยไม่ต้องฉันยาต่อคือโรคเบาหวาน แต่ก้อนมะเร็งที่ปอดยังอยู่และขนาดโตขึ้น

วันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ คณะศิษยานุศิษย์ทั่วทุกสารทิศ พร้อมใจกันจัดงานวันเกิดถวายหลวงปู่ ที่วัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม) จังหวัดสกลนคร ด้วยท่านมิได้รับกิจนิมนต์งานใหญ่หรือที่ต้องเดินทางไกลเลย นับแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา หลวงปู่รับแขกทั้งพระภิกษุสงฆ์ทั้งฆารวาสตลอดทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำไม่ได้พักเลย หลวงปู่จึงดูมีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด แต่ท่านไม่บ่นเลย

จากการติดตามผลเอ็กซเรย์ในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๑ พบว่าก้อนเนื้อร้ายโตเร็วในระยะหลังๆ ซึ่งโตมากกว่าเดิมประมาณ ๓ เท่า (เอกซเรย์เดือนตุลาคม ก้อนโตกว่าเดิมเล็กน้อยเท่านั้น) อาการทั่วๆ ไปของหลวงปู่ จะมีเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ฉันอาหารได้น้อย บางวันหากใช้เสียงเนื่องจากรับกิจนิมนต์ หรือได้พักผ่อนไม่เพียงพอ เสียงหลวงปู่ก็จะแหบแห้งไป บางวันเพลียมากต้องได้รับการถวายน้ำเกลือจากแพทย์โรงพยาบาลสว่างแดนดิน

วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๒ คณะญาติธรรมจากกรุงเทพมหานคร นำผ้าป่ามาถวายที่วัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม) หลวงปู่เมตตาแสดงธรรมเทศนากว่า ๒ ชั่วโมง

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๒ หลวงปู่ได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า มีก้อนโตขนาดผลมะนาวเกิดขึ้นบริเวณรักแร้ข้างซ้าย หลวงปู่จึงรับนิมนต์จากแพทย์ไปตรวจและผ่าตัดนำก้อนเนื้อออกที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ หลังผ่าตัดนำก้อนเนื้อออก หลวงปู่ได้รับการรักษาต่อโดยวิธีฉายแสงบริเวณที่ผ่าตัด และบริเวณก้อนเนื้อที่ปอดข้างขวา

แต่เนื่องจากแพทย์ตรวจพบว่าปอดยังแลกเปลี่ยนออกซิเจนไม่ได้ (จากผลเอ็กซเรย์ปรากฏว่า มะเร็งได้กระจายมาที่ปอดซ้ายแล้ว) แพทย์จึงขออนุญาตถวายยาเคมีบำบัดต่อ ครั้งแรกหลวงปู่พำนักอยู่รักษาองค์นานถึง ๕๐ วัน อาการดีขึ้น หายใจได้ยาวขึ้นโดยไม่ติดขัดเหมือนก่อน แต่ก็ยังมีอาการปวดไหล่ซ้าย ซึ่งท่านได้บอกกับแพทย์ที่รักษาแล้ว แพทย์บอกว่ามีการอักเสบของกล้ามเนื้อ ครั้นถวายยานวด แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น

วันที่ ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๒ หลวงปู่รับกิจนิมนต์ไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย แต่หลังจากรับกิจนิมนต์อย่างเป็นทางการครั้งนี้แล้ว ปรากฏว่าหลวงปู่ก็มีอาการอาพาธหนักอย่างเห็นได้ชัดเจน

วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๒ หลวงปู่เดินทางเข้ารับการรักษาครั้งแรก ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น และเข้ารับการรักษาต่อระหว่างวันที่ ๕-๒๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๒ ด้วยยาเคมีบำบัด ครั้งที่ ๒ ครั้งนี้การตอบสนองตอบต่อยาเคมีบำบัดไม่ดี ก้อนเนื้อที่ปอดลดจำนวนลงเล็กน้อย แต่ก้อนเนื้อที่เกิดเพิ่มขึ้นบริเวณชายโครงขวาและหลังไม่ยุบ หลวงปู่มีอาการปวดไหล่ซ้ายมากขึ้น พักผ่อนได้น้อยเพราะเวลากระเทือนอาการปวดจะกระจายไปทั่วองค์ช่วงบน แพทย์บอกว่ามะเร็งได้กระจายไปกระดูกแล้ว

วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๒ คณะศิษย์ยานุศิษย์แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อหลวงปู่ โดยการขออนุญาตนิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์สายพระกัมมัฏฐาน มาร่วมทำบุญต่ออายุถวายแด่หลวงปู่ ที่วัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม) น่าประหลาดใจที่หลวงปู่เจาะจงให้ลูกศิษย์ที่ไปร่วมงานนี้ได้มีโอกาส “มหาเถเร ปะมาเทนะ, ทวาระตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต…” กล่าวคำขอขมาต่อพระมหาเถระคือองค์หลวงปู่ ถ้วนทั่วทุกคน

วันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒ หลวงปู่ได้เข้าโรงพยาบาลเพื่อรับยาเคมีบำบัด ครั้งที่ ๓ มีก้อนเนื้อเกิดขึ้นใหม่กระจายหลายที่แม้กระทั่งท้องน้อย ปวดไหล่และปวดแขนซ้ายมาก ยกไม่ได้เลย แขนซ้ายและเท้าบวมเห็นได้ชัดเจน เหนื่อยง่าย บางครั้งมีเหนื่อยหอบเล็กน้อย อาการปวดกระจายไปทั่วองค์ช่วงบน ขยับองค์เพียงเล็กน้อยก็ปวดและปวดเกือบตลอดเวลา ได้ฉันยาแก้ปวดอย่างแรงก็ไม่หาย ทำให้จำวัดได้น้อยครั้งๆ ละประมาณครึ่งชั่งโมงเท่านั้น จึงทำให้อ่อนเพลียมาก ฉันอาหารได้น้อย ผอมลงชัดเจน ไม่สามารถเดินได้ด้วยองค์เองต้องได้รับการพยุงช่วยประคองจึงสามารถเดินได้สั้นๆ

แต่ด้วยบุญบารมีของหลวงปู่สูงมาก ท่านจึงดูมีหน้าตาและผิวใสออกสีชมพูตลอดเวลา ทั้งๆ ที่อาการทั่วไปไม่ดี วันนั้นแพทย์ได้ตรวจอาการพบว่า หลวงปู่มีอาการหัวใจวาย การแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ปอดไม่ดี เอกซเรย์ปอดทั้งสองข้างพบว่าจำนวนก้อนมะเร็งเพิ่มปริมาณมากขึ้น หลังจากถวายยาได้ ๒ วัน ก็มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงเพราะเกิดการติดเชื้อเข้ากระแสโลหิต

ต่อมามีอาการมากขึ้น หายใจหอบเหนื่อยมาก ความดันโลหิตและการเต้นของหัวใจผิดปกติรุนแรง ต้องใส่ท่อและเครื่องช่วยหายใจช่วย และได้นิมนต์หลวงปู่รักษาองค์อยู่ในหอผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นต้นมา

วันที่สองของการอยู่หอผู้ป่วยหนัก หลวงปู่มีอาการทั่วไปดีขึ้นเห็นชัดเจน เมตตาให้กำลังใจลูกศิษย์ โดยการหันมาทักทายด้วยการยิ้ม และเขียนหนังสือลงกระดาษให้ลูกศิษย์ที่เฝ้าดูอาการอยู่นอกห้อง ทั้งๆ ที่หลวงปู่ยังใส่ท่อหายใจทางปากอยู่ และลุกนั่งไม่ได้ หลวงปู่ยังได้เขียนข้อความที่จำเป็นอื่นๆ อีกในวันนั้น นับแต่ช่วงเวลาเย็นของวันนั้น ต่อมาเป็นเวลาสองอาทิตย์ อาการหลวงปู่เริ่มไม่ดีอีก แต่รู้สึกองค์ตลอด มีอาการเหนื่อยหอบ มีการติดเชื้อที่ปอด ต้องเจาะปอดซ้ายและใส่ท่อระบายหนองลงขวด บางวันจะเหนื่อยหอบมาก เนื่องจากมีอาการปอดข้างซ้ายแตก ได้รับการถวายอาหารทางสายยางตลอด สามารถลดจำนวนออกซิเจนทางเครื่องช่วยหายใจได้ในช่วงต้นๆ แต่หลังจากมีอาการติดเชื้อที่ปอด และปอดแตกต้องได้รับการถวายจำนวนออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น

แล้วต่อมาแพทย์ไม่สามารถลดจำนวนออกซิเจนทางเครื่องช่วยหายใจได้อีกเลย ทำให้โอกาสในการนำเครื่องช่วยหายใจออก มีน้อยลง เม็ดเลือดขาวต่ำมาก อาการหลวงปู่ทรงและทรุดเป็นระยะๆ ประมาณ ๑๐ วันก่อนละสังขาร หลวงปู่มีอาการเหนื่อยหอบมาก มีอาการปอดข้างขวาแตกต้องเจาะปอด ใส่ท่อค้างไว้ และต่อสายยางระบายลมจากปอดลงขวด (หลังจากที่เพิ่งนำท่อที่ใส่ไว้ที่ปอดข้างซ้ายออกได้เพียง ๑ วัน)

แพทย์ได้ถวายยาเคมีบำบัด ครั้งที่ ๔ เม็ดเลือดขาวของหลวงปู่ตกลงถึงขีดต่ำสุด ถึงแม้จะถวายยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวก็ไม่เกิดผล และมีอาการรุนแรงมากขึ้นอีก เนื่องจากเกิดการติดเชื้อในกระแสโลหิต ครั้งที่ ๒ ที่ถ่ายเหลวบ่อย ไข้สูง โดยเฉพาะในระยะ ๑ วันสุดท้ายก่อนที่หลวงปู่จะละสังขาร เริ่มมีอาการของไตวาย มีปัสสาวะออกในแต่ละชั่วโมงน้อยลง

วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๒ หลวงปู่มีอาการไตวายชัดเจน มีอาการบวมทั้งองค์ ปัสสาวะไม่ออกเลย เวลาประมาณ ๐๘.๑๕ นาฬิกา หัวใจหยุดเต้น แพทย์ที่อยู่เวรประจำได้ทำการปั้มหัวใจ และถวายยาฉีดกระตุ้นหัวใจให้หัวใจทำงานต่ออีก ประมาณเวลาประมาณ ๐๘.๔๕ นาฬิกา ค่าออกซิเจนในเลือดเริ่มลดต่ำลง ความดันโลหิตตก และหัวใจเต้นช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดเต้น เครื่องมือไม่สามารถวัดสัญญาณชีพของหลวงปู่ได้อีก คณะแพทย์ได้พยายามรักษาอย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งหลวงปู่ลี ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในเวลา ๐๙.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดี แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๗ ปีเถาะ สิริอายุรวม ๗๘ ปี ๘ เดือน ๘ วัน พรรษา ๕๖

ท่ามกลางความเศร้าสลดอาลัยของคณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไปเป็นยิ่งนัก เหลือทิ้งไว้แต่ผลงานอันทรงคุณค่ายิ่งที่อุทิศให้แด่พระพุทธศาสนา เป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำไว้เบื้องหลัง

หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม
วัดเหวลึก (วัดฐิติธรรมาราม)
ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
วัดฐิติธรรมาราม (วัดเหวลึก) บ้านบึงโนอก ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
เจดีย์ฐิตธมฺมานุสรณ์ หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม
วัดฐิติธรรมาราม(วัดเหวลึก)
พิพิธภัณฑ์หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม
วัดฐิติธรรมาราม (วัดเหวลึก) บ้านบึงโนอก ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
อัฐิธาตุของหลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม วัดเหวลึก

๏ พระธรรมเทศนา
หลวงปู่ลีท่านใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตภายใต้ร่มกาสาวพัตร์ ภายใต้ร่มพระโพธิญาณ หลวงปู่ดำรงองค์ตั้งมั่นเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แนะนำพร่ำสอนคณะศรัทธาญาติโยม และพุทธศาสนิกชนทั้งใกล้และไกล ให้รู้จักบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญเมตตาภาวนา ให้ตั้งมั่นอยู่ในพระรัตนตรัย ท่านว่า “ให้ยึดเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะสูงสุด”

สวากขาตะธรรม ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ดีแล้ว ชอบแล้ว ไม่ต้องสงสัย หลวงปู่ว่า “ตั้งใจนะ ได้มากได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย ให้มันเป็นนิสัยติดตัวไป จะได้ไม่เสียทีที่เกิดมาพบเจอพระพุทธศาสนา” ท่านว่า “ศีลห้าต้องเคยรักษา เคยมีมาแล้วทั้งนั้น ไม่อย่างนั้น หัวหนึ่ง แขนสอง ขาสอง จะมีครบกันได้อย่างไร”

ธรรมะของหลวงปู่มักจะเป็นธรรมะใกล้ตัว อุบายธรรมที่หลวงปู่เทศน์อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ ทั้งพระสงฆ์สามเณร ทั้งฆราวาส เพื่อให้เข้าใจโดยลึกซึ้งและถ่องแท้นั้น ล้วนเหมาะเจาะงดงาม ทั้งปลุกปลอบ ทั้งให้กำลังใจ เพราะหลวงปู่ท่านรู้จักธรรม รู้จักบุคคล คำสอนของท่านจึงเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้น้อมนำไปพิจารณา

ในส่วนของนักปฏิบัติภาวนา หลวงปู่จะเน้นสอนเป็นพิเศษเป็นกรณีบุคคล ท่านว่า ทุกอย่างอยู่ที่ “ใจ” ตัวเดียว นั่นคือ ตั้งใจ และ “ทำเอา” หลวงปู่ว่า พระพุทธเจ้าท่าน ก็ทรงบอกทางเฉยๆ เราต่างหากที่เป็นผู้กระทำ เป็นผู้เดินทาง ต้องการอะไรก็ทำเอา ไม่พลาดหวัง ไม่ผิดหวังหรอก ธรรมวินัยมีอยู่ตราบใด มรรคผลนิพพานก็มีอยู่ตราบนั้น ไม่ต้องสงสัย ให้เสียเวลาเลยกับเรื่องของคุณงามความดี เพราะเป็นของจริง มีจริง

หลวงปู่ท่านสนับสนุนนักหนาในการภาวนา ท่านว่า “ทาน” กว่าจะถึงพระนิพพานน่ะมันช้า หรือบางทีก็ไม่ถึง เพราะมันหลง หลงในทาน จึงหลงทาง เออ ภาวนาสิ จึงเป็นยอดบุญ ภาวนาตัวเดียวนี่แหละ ได้หมด ทั้งทาน ศีล ภาวนา ใช่ไหมล่ะ พิจารณาดู ว่ามันถูกไหม ที่พูดนี่ อย่าเสียเวลา วันคืนล่วงไป ทำจริงก็ต้องเห็นจริง อย่าสงสัย