วันพฤหัสบดี, 24 ตุลาคม 2567

หลวงพ่อผจญ อสโม พระอริยสงฆ์แห่งวัดสิริปุญญาราม

ประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อผจญ อสโม พระอริยสงฆ์แห่งวัดสิริปุญญาราม บ้านหมากแข้ง ต.หนองงิ้ว อ.วังสะพุง จ.เลย

หลวงพ่อผจญ อสโม วัดป่าสิริปุญญาราม

หลวงพ่อผจญ ท่านเป็นพระที่ชอบอยู่ป่า สมชื่อท่านว่า “ผจญ” เพราะท่านออกรุกขมูลเที่ยวธุดงค์ผจญภัยในที่ต่างๆ ไปในที่กันดาร รกชัฏ เหน็บหนาว ระงมไปด้วยไข้ป่ามาเลเรีย ทั้งทางภาคอีสานตลอดจนไปถึงภาคเหนือ หลวงพ่อผจญ ท่านมีความชำนาญในเส้นทางและสถานที่ต่าง ๆ จนสามารถนำหมู่คณะพระภิกษุออกธุดงค์วิเวกไปบำเพ็ญจิตภาวนาจนได้รับประโยชน์เข้าสู่จิตใจได้อย่างดี

หลวงพ่อผจญ ท่านถือกำเนิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๖ หลวงพ่อผจญ ท่านเรียนหนังสือเก่ง มีความจำดีเฉลียวฉลาด เพื่อนร่วมชั้นที่เรียนหนังสือมากับท่านก็คือ หลวงพ่อขันตี ญาณวโร หลวงพ่อขันตี เล่าว่า

หลวงพ่อผจญ อสโม วัดสิริปุญญาราม จ.เลย

“ท่านผจญ อายุเท่าเราแต่แก่เดือนกว่า ท่านเรียนเก่งพูดภาษาอังกฤษได้ดีแม้จบเพียง ม.๖ ไม่เหมือนเด็กปัจจุบัน จบปริญญายังสู้ท่านผจญไม่ได้เลย ท่านถึงไปเผยแผ่อยู่ที่ต่างประเทศได้ไง” หลวงพ่อผจญ อสโม อุปสมบทเป็นพระภิกษุในสังกัดธรรมยุติกนิกาย เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๘ ณ วัดสว่างอารมณ์ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น โดยมีท่านพระครูเขมาภรพิสุทธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “อสโม” แปลว่า “หาเสมอมิได้

ภายหลังจากอุปสมบทแล้ว ได้เข้ารับการศึกษาอบรมจากหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ณ วัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย

อบรมปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
หลวงพ่อผจญท่านเล่าเรื่องตอนท่านมาอยู่ศึกธรรมกับองค์ท่านหลวงชอบให้ฟังว่า..

“ตอนนั้นผมก็บวชมาใหม่ๆยังไม่ได้พรรษา พรรษาแรกที่บวชก็เข้ามาอยู่กับหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบสมัยนั้นท่านยังเดินได้ ท่านจะดุกับลูกศิษย์มาก ใครคิดอะไรนอกลู่นอกทางท่านจะรู้ทั้งหมด ขนาดคิดในใจของตนเองอยู่กุฏิ พอเข้ามาสรงน้ำทำข้อวัตรกับท่าน หลวงปู่ชอบท่านจะว่าให้ทำไมถึงต้องไปคิดในเรื่องนี้ๆ ทุกคำในความคิดของเราท่านจะว่าออกมาทั้งหมด จนผมนี้กลัวในความคิดของตนเอง ไม่กล้าคิดปรุงแต่งออกนอกทางกลัวหลวงปู่ชอบท่านจะว่าให้ “

“ผมมีสติอยู่กับจิตก็เพราะหลวงปู่ชอบท่านกำหราบตั้งแต่อยู่กับท่านที่บ้านโคกมน อยู่กับหลวงปู่ชอบต้องระวังเรื่องความคิดไว้ให้มากๆ ขนาดนั่งอยู่กับท่านต่อหน้า พอเผลอสติออกนอกทางแว่บเดียวเท่านั้น หลวงปู่ชอบท่านจะทักขึ้นมาเลย เฮ้ยโบ้ย.(เฮ้ยไอ้หนู) อย่าคิดเรื่อง….มันไม่ดี เป็นพระเป็นเณรต้องมีสติกำกับอยู่ทุกลมหายใจ แต่ละวันให้อยู่กับธรรม อย่าอยู่กับกิเลสมากจนเกินไปมันจะทำให้จิตใจเราจะหมัวหมอง ให้เร่งพุทโธน่ำๆเข้าไปตี้ (ให้เร่งพุทโธหนักเข้าไปสิ) จิตใจจะได้เบิกบานบ่เศร้าหมอง”..

“ตอนมาอยู่กับหลวงปู่ชอบใหม่ๆ ผมก็ยังบวชใหม่ไม่รู้ธรรมเนียมของท่าน ผมตอกไม้เกีย(ไม้สีฟัน)จะเอาไปถวายท่าน คิดว่ากุฏิเราอยู่ใกลกับท่าน จึงนั่งตอกไม้เกียดังเป๊กๆอยู่จนบ่าย พอไปสรงน้ำท่าน หลวงปู่ชอบท่านถาม ผจญ ท่านตอกไม้เสียงดังรบกวนการปฏิบัติของหมู่คณะ รบกวนการปฏิบัติของเรา ท่านไม่เห็นใจเมตตาครูบาอาจารย์กับหมู่คณะบ้างหรือ ทำอะไรให้พิจารณาบ้าง อย่าทำตามความสะดวกของตัวเองมากนัก”

“ผมละอายแก่ใจตนเองมาก เราก็ลืมไปว่าตอนนั้นครูบาอาจารย์กับหมู่คณะท่านทำความเพียรกันอยู่ พอหลวงปู่ชอบท่านว่าให้แบบนี้ วันหลังตัวเองก็หอบเอาไม้เกียไปตอกอยู่ทางเข้าวัดหลังโรงเรียนบ้านโคกมน”..

“ตอกไม้เกียก็กลัวมันเสียงดังไปรบกวนธรรมของหมู่คณะ กลัวที่สุดมันจะไปรบกวนธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ชอบ ไม่กล้าเอาไม้เกียมารองพื้นตอกกลัวมันเสียงดัง ผมเอาผ้าอาบน้ำฝนมารองที่ต้นขาเพื่อซับเสียงเวลาตอกไม้เกีย นั่งตอกไม้เกียจนครบ ๑๐๐ อัน ตามที่ตนเองตั้งใจจะเอาไปถวายหลวงปู่ชอบ กว่าจะตอกไม้เกียเสร็จต้นขาทั้งสองข้างของผมจนห้อเลือดปวดไปหมด เดินกลับเข้าวัดจนขากะเผลก”

“เอาไม้เกียไปถวายหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ท่านบอก ตอกไม้เกียจนเจ็บขานะท่าน คนอื่นเขาตอกไม้เกียยังไม่เจ็บขาเหมือนท่าน เอ้า..เอายาหม่องไปทาขาตัวเอง ท่านยื่นยาหม่องให้เอามาทาขาตนเองที่เจ็บอยู่ในตอนนั้น ผมดีใจซาบซึ้งในเมตตาของครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ว่าเราเป็นอะไร ตอนนั้นผมตั้งใจว่าถวายไม้เกียหลวงปู่ชอบแล้วจะไปขอยาหม่องกับอาจารย์ดาดมาทาขาตนเอง หลวงปู่ท่านรู้ก่อนท่านจึงเอาให้ ผมก็เลยไม่ไปขอยาหม่องกับอาจารย์ดาด เอายาหม่องหลวงปู่ชอบทาขาของตนเองจนหาย โห้..หลวงปู่ชอบท่านไม่ธรรมดา อุตส่าห์หลบท่านออกไปตอกไม้เกียอยู่นอกวัดแล้วหลวงปู่ท่านยังตามไปรู้อีก..

พอออกพรรษาปี พ.ศ.๒๕๐๘ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านพาลูกศิษย์ออกเที่ยววิเวกเขตอ.ภูเรือ จ.เลย โดยมีจุดหมายทางที่ วัดป่าม่วง อ.ภูเรือ จ.เลย หลวงปู่ชอบท่านจะพาพระตามไปสมทบกับ หลวงพ่อบัวคำ มหาวีโร ที่วัดป่าม่วงไข่ ซึ่งในตอนนั้นหลวงพ่อบัวคำท่านกำลังเร่งสร้างศาลาวัดป่าม่วงไข่..

องค์ท่านหลวงปู่ชอบให้พระแปดองค์และตาผ้าขาวเกตุ (หลวงปู่เกตุ) ติดตามท่านไปเที่ยววิเวกที่ภูเรือ หลวงพ่อผจญท่านเป็นหนึ่งในพระแปดรูปที่ติดตามองค์ท่านหลวงไปเที่ยววิเวกในครั้งนั้น และเป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อผจญท่านออกเที่ยววิเวกโดยมีองค์ท่านหลวงปู่ชอบเป็นผู้ฝึกให้

หลวงพ่อผจญท่านเล่าเรื่องเที่ยววิเวกครั้งแรกของท่านให้ฟังว่า การเที่ยววิเวกกับหลวงปู่ชอบนี้สมบุกสมบันทุกข์ยาก และเหนื่อยมาก ไปกับหลวงปู่ชอบถ้าท่านไม่พาหยุด ก็จะหยุดพักกันเองไม่ได้ หลวงปู่ชอบท่านเดินเร็วมาก ขนาดเราเป็นพระหนุ่มยังเดินจ้ำอ้าวตามหลังท่านแทบจะไม่ทัน เวลาเดินหลวงปู่ชอบท่านจะไม่ให้คุยกัน ท่านให้เดินภาวนาไปด้วย ให้เดินกำหนดจิตภาวนาเหมือนกับเดินจงกรมอยู่วัด ท่านบอกมันถึงจะไม่เหนื่อยมาก

หลวงพ่อผจญ อสโม วัดป่าสิริปุญญาราม

หลวงปู่ชอบ ท่านพาเดินออกจากบ้านโคกมนรวดเดียวสิบกว่ากิโลโดยไม่พาแวะพักข้างทางที่ไหน ผมเหนื่อยมากขาจนขาสองข้างล้าไปหมด เดินแบกบาตรบริขาร ยิ่งเดินไกลเท่าไหร่ บริขารยิ่งหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ นึกในใจว่าเมื่อไหร่ท่านจะพาหยุดพักซักที นึกท้อในใจของตัวเองมากเข้าหลายครั้งหลวงปู่ชอบท่านหันมาว่าให้..

” ใหญ่บ่ถูกทหาร เป็นพระหนุ่มพระน้อยแท้ๆ ทำไมอ่อนแอจัง เราแก่กว่าพวกท่านอีกเรายังไม่ท้อไม่ถอย อยู่กับเราอย่ามาแสดงความท้อแท้ให้เราเห็นนะ ไป๊..เดินนำหน้าเราไป๊ “

” โหย..เดินนำหน้าหลวงปู่ชอบยิ่งหนักกว่าเดิมอีก หลวงปู่ท่านเดินเร็วไล่หลังมา เราก็เร่งเดินให้เร็วขึ้นกว่าเดิม พอเดินผ่อนช้าลงท่านก็เอาไม้เท้าแทงจี้หลังให้เดินเร็วๆ “

” โอ๊ย..นึกสมน้ำตัวเอง เราไม่น่านึกท้อขึ้นมาเลย พอครูบาอาจารย์ท่านจับจิตเราได้ ท่านยิ่งทรมานกิเลสของเราหนักขึ้นกว่าเดิมอีก จื่อบ้อบาดนี้กิเลส(จำมั๊ยหล่ะกิเลสคราวนี้) หาเหตุให้ตัวเองถูกครูบาอาจารย์ท่านทรมานกิเลสจนได้”

ว่าจบหลวงพ่อผจญท่านก็หัวเราะขำขันตัวเองขึ้นมา ก็เลยพลอยขำไปกับท่าน ดูแววตาเวลาท่านเล่าเรื่องตนเองตอนอยู่ปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ แววตาของหลวงพ่อผจญท่านดูสดใสมาก

หลวงปู่ชอบ ท่านพาหลวงพ่อผจญและลูกศิษย์ท่านอื่นๆแวะที่ วัดศรีสันตยาราม บ้านปากปวน ตำบลปากปวน อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เดินทางถึงที่นี่ราวบ่ายสาม หลวงปู่ชอบท่านแวะเยี่ยม หลวงปู่เฉย สุภัทโธ และพักฉันน้ำร้อนกันอยู่ที่นี่

หลวงพ่อผจญ ท่านว่า ดีใจหลายหลวงปู่ชอบท่านพาแวะพักแล้ว ได้ฉันน้ำร้อนใส่กับงบน้ำอ้อยรู้สึกโล่งเบามีแรงขึ้นมา ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพลอยบรรเทาเบาบางลงไปเป็นอย่างมาก ร่างกายเกิดความกระปี้กระเป่าสดชื่นขึ้นมาอย่างทันตาเห็น

ท่านนั่งดูบ่าทั้งสองข้างของตนเอง ลองเอามือลูบจับดู รู้สึกเจ็บแสบแปล่บๆขึ้นมาในเวลาที่มือสัมผัสกับบ่า บ่าทั้งสองข้างของท่านห้อเลือด หนังกรำพร้าลอกออกจนใกล้จะแตกเนื่องจากถูกแรงกดทับของถุงบริขาร

ท่านว่าเจ็บบ่าทั้งสองข้างมาก นึกถึงตอนตนเองยังไม่ได้บวช ทำไร่ทำนากับพ่อแม่ว่าหนักแล้ว แต่ถึงจะหนักยังไงพอเหนื่อยมาก็หยุดพักเองได้ตามใจชอบ พ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไร แต่พอบวชมาอยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่ชอบ ท่านว่าหนักไปกว่านั้น เพราะถูกหลวงปู่ชอบท่านเคี่ยวเข็ญอย่างหนักทั้งกายและใจจนทำให้ท่านคิดถึงบ้าน..

ท่านว่า “ บางคนเขาก็ถามผม อาจารย์ได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชอบคือสิบุญหลายสายยาวเน๊าะ คือสิสบายแท้เน๊าะ “

” เราอยากให้ผู้ที่ถามนั้นได้ลองมาเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชอบดู แล้วจะรู้ซึ้งเอง บุญหลายสายยาวได้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชอบ อันนี้เราไม่ปฏิเสธ เกิดมาเป็นล้านๆชาติ ก็มีชาตินี้แหละที่ผมมีวาสนามากที่สุด ถ้าไม่มีหลวงปู่ชอบท่านฝึกหัดหลักจิตหลักใจให้ในเบื้องต้น ป่านนี้ผมคงจะเป็นคนเหยาะแหยะ หรือไม่ก็คงได้สึกออกไปเป็นอ้ายทิดแล้ว ”..

“ ได้หลักจิตหลักใจ ได้ความมานะอดทนจากหลวงปู่ชอบไป พอไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ไหนก็ทนได้หมด ก็อาศัยฝึกฝนตนเองกับครูบาอาจารย์องค์อื่นๆสืบกำลังวังชา เสริมสติปัญญาของตนเองต่อไป เบ้าหลอมที่สำคัญเบื้องต้นของพระเณรคือการได้อยู่ฝึกฝนกับครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ธรรมจริง หากปฏิบัติเอาจริงๆ พระเณรองค์นั้นก็จะรู้ธรรมจริงได้เหมือนกัน ”..

“ รุ่นพวกผมมันลำบากกว่ารุ่นของพวกท่านมาก รุ่นพวกผมสบายที่สุดคือเรื่องทางจิตใจ ติดขัดเรื่องใดในการปฏิบัติหลวงปู่ท่านแก้ให้ทั้งหมด และแก้ไขให้ในทันที รุ่นพวกผมอยู่กับหลวงปู่ชอบสมัยนั้น ทางกายนี้ลำบากมาก หลวงปู่ชอบท่านพานั่งภาวนาวันละเจ็ดแปดชั่วโดยที่ไม่ให้ลุกออกจากที่นั่ง นั่งกันจนก้นแตกก้นพองไปข้างหนึ่งเลย พระเณรบางองค์ทนต่อเวทนาไม่ได้ร้องให้ออกมาก็มี ยิ่งแสดงความอ่อนแอออกมาให้ท่านเห็น หลวงปู่ชอบท่านยิ่งจะจับให้นั่งสมาธินานๆ “..

” ถ้าไม่รักดีทนไม่ได้ หลวงปู่ชอบท่านจะไล่ออกจากวัดท่านไปเลย คนไม่มีความอดทนหลวงปู่ท่านจะไม่รับไว้เป็นลูกศิษย์ ท่านบอกเสียเวลาที่จะสอนคนอื่น ”..

“ สมัยนั้นหลวงปู่ชอบท่านยังเดินได้ ร่างกายของท่านยังแข็งแรง ท่านจึงเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์รุ่นพวกผม และรุ่นพี่อย่างหนักทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย ท่านว่าให้เลยนะ เราฝึกพวกท่านขึ้นมาเพื่อหวังให้สืบทอดพระศาสนา เราฝึกพวกท่านขึ้นมาเพื่อให้เป็นครูบาอาจารย์แทนเราในอนาคต ต่อไปพวกท่านจะได้เป็นขุนศึกทหารเสือทางธรรมของเราในอนาคต รุ่นพวกเราจึงเป็นรุ่นทหารเสือทายาทธรรมของท่าน ”

หลวงพ่อผจญกับหมู่เพื่อนคิดว่าองค์ท่านหลวงปู่ชอบจะพาพักค้างคืนกับ หลวงปู่เฉย สุภัทโธ ที่ วัดศรีสันตยาราม พอฉันน้ำร้อนกันคนละแก้วแล้วหลวงปู่ชอบท่านบอกให้เตรียมตัวเดินทาง พักเอาแรงแค่นี้ก็พอรีบพากันเดินทางต่อ อย่าพากันมัวอ้อแอ้เสียเวลา ให้มันเมื่อยทีเดียวพอ ข้ามวันข้ามคืนไปร่างกายมันจะระบมทำให้เราขี้เกียจท้อแท้มากไปกว่านี้ได้..

หลวงพ่อผจญท่านถึงกับว่า พวกผมหลงดีใจว่าหลวงปู่ชอบท่านจะพักอยู่ที่นี่ พอท่านบอกว่าไปต่อผมกับหมู่เพื่อนได้แต่มองหน้ากันหล่อกแหล่ก เข้าไปกราบลาหลวงปู่เฉยแล้วเดินทางต่อ..

พากันเดินมาทางบ้านหนองบงทะลุออกผาบ่าวผาสาว ถึงนี่ก็มืดแล้ว มืดแล้วหลวงปู่ท่านก็ยังไม่ให้จุดโคมหรือไฟฉาย ท่านให้เดินด้วยความมีสติระมัดระวังตัว หากไม่แน่ใจสงสัยในสิ่งใดค่อยเปิดไฟฉายดู เปิดไฟฉายขึ้นมาดูก็ดูได้พอแว่บ ๆ เท่านั้นนะ เปิดแช่ไว้ตลอดไม่ได้หลวงปู่ท่านจะว่าให้..

ทางสมัยก่อนก็แคบๆไม่ได้ลาดยางเหมือนกับสมัยนี้ เป็นทางลูกรังทางฝุ่นทางดินธรรมดา พากันเดินผ่านไปทางบ้านไหน หมาบ้านนั้นก็พากันเห่าเสียงดังแซว ๆ เดินมาถึงบ้านกกบกตีนภูแปกพุ่นน่ะหลวงปู่ท่านจึงให้จุดโคมไฟเดินทาง มันมืดมาก สมัยนั้นป่าไม้มันยังดี ร่มไม้ใหญ่มันบังแสงเดือนแสงดาวทำให้มองเห็นทางไม่ถนัด..

ราวสามทุ่มกว่าหลวงปู่ชอบท่านพาเข้ามาพักที่บ้านกกกอก เข้ามาวัดบ้านกกกอก (วัดป่าปริตรบรรพต) ก็ไม่เห็นพระเณรอยู่ในวัดท่านออกเที่ยววิเวกกันไปหมด หลวงปู่ท่านสั่งให้พักเอาแรงก่อน หลวงปู่เกตุตอนนั้นท่านยังเป็นตาผ้าขาวอยู่ ท่านไปเอาหม้อในวัดมาก่อไฟต้มน้ำร้อนเพื่อที่จะสรงน้ำหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ท่านบอกผม ผจญไปกรองเอาน้ำในห้วยมาให้เราล้างแข้งล้างขาหน่อยซิ..

ตอนนั้นผมก็ยังไม่เคยมาบ้านกกกอกซักครั้ง พึ่งจะมาเป็นครั้งแรก มาครั้งแรกก็เป็นเวลากลางคืน มืดหน้าตามัวหลงทิศหลงทางไม่รู้จะไปกรองเอาน้ำอยู่ที่ไหน ก็เลยกราบเรียนท่าน พ่อแม่ครูจารย์จะให้กระผมไปกรองเอาน้ำอยู่ที่ไหนขอรับ..

หลวงปู่ชอบท่านว่าให้ หูท่านไม่ได้ยินเสียงกบเสียงเขียดร้องหรือ กบเขียดมันร้องรับกันอยู่ที่ไหน ที่นั่นจะมีน้ำ อยู่บ้านบ่เคยทำไร่ทำนาหรือยังไงถึงไม่รู้จักเสียงกบเสียงเขียด มันไม่หัดสังเกตฟังเสียงธรรมชาติบ้างหรือไง..

เออ..หลวงปู่ท่านก็ว่าถูก เราก็ลูกชาวไร่ชาวนาเหมือนกันกับท่าน ทำไมเราถึงลืมนึกถึงธรรมชาติเรื่องนี้ไปได้ นี่แหละครูบาอาจารย์ ท่านเกิดก่อนเราจึงรู้ก่อนเรา ท่านจึงลึกซึ้งในความรู้มากกว่าพวกเราที่เป็นลูกศิษย์..

ผมกำลังจะเดินไปทางเสียงกบเสียงเขียด หลวงปู่ชอบท่านบอก เฮ้ย..โบ๊ย อย่าเพลินฟังเสียงกบเสียงเขียดอย่างเดียวเด้อ ที่ไหนมีกบมีเขียดที่นั่นจะมีงูอยู่ด้วยเด้อ ระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอบ้างเด้อ..

กรองน้ำได้สองถังแล้วก็ล้างหน้าล้างตัวเอง เหลือบไปเห็นงูเห่าตัวเท่ากระบอกไฟฉายมันกำลังเลื้อยมาทางผม เห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบหิ้วถังน้ำเอามาให้หลวงปู่..

หลวงปู่ท่านก็ล้างหน้าตาแข้งขาของท่าน เสร็จแล้วท่านก็บอกให้พากันไหว้พระสวดมนต์ ไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้วท่านบอกเดินทางต่อคืนนี้ต้องไปให้ถึงบ้านม่วงไข่ ได้ยินท่านสั่งให้เดินทางต่อหมู่คณะใจห่อเหี่ยวหมด มันเหนื่อยกันเต็มที่แล้วในตอนนั้น แต่ไม่มีพระองค์ใดค้านในคำสั่งของท่าน ผมนี้เหนื่อยมากจนหมดแรงข้าวต้ม ถ้าหลวงปู่ท่านพาเดินทางต่อไปอีกคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นลมได้ แค่มาถึงบ้านกกกอกก็ลมออกหูแล้ว..

ผ้าขาวพ่อเกตุ (หลวงปู่เกตุ) ท่านว่า พ่อแม่ครูอาจารย์จะไปทางไหนอีก นี่มันก็ดึกดื่นแล้ว ครูบาแต่ละองค์ท่านก็อ่อนแรงแบกบาตรแบกกลดกันไม่ไหวแล้ว พักเซาเอาแรงกันก่อนได้ไหมขอรับ..

หลวงปู่ท่านก็ว่าให้ พวกนี่มันใช้แต่เท้าเดินทาง มันไม่หัดใช้ฌานในการเดินทาง เอาแต่เท้าเดินทางมันก็เหนื่อยมากซิ เอาฌานเดินทางมันถึงไม่เหนื่อย ครูบาอาจารย์บอกสอนมันก็พากันขี้เกียจทำ..

ผ้าขาวเกตุท่านว่า เอ้ากะลูกศิษย์มีแต่เท้าบ่มีฌานเหมือนครูบาอาจารย์นี่ขอรับ หลวงปู่ท่านหัวเราะ ท่านเลยอนุญาตให้พักอยู่บ้านกกกอก ท่านว่า เอ้าถ้ามันเมื่อยจนใจจะขาดตายก็พักกันซ่ะ ได้ยินหลวงปู่ว่ามาแบบนี้โล่งใจเลย ถ้าบ่มีหลวงปู่เกตุขอไว้ป่านนี้มีพระเป็นลมแน่ๆ มีหลวงปู่เกตุเท่านั้นที่จะขอหลวงปู่ได้ พวกครูบาก็เลยได้ประโยชน์ไปด้วย..

คืนนั้นนอนไม่ได้มันเจ็บระบมไปหมดทั้งตัวจนเป็นไข้ บ่าทั้งสองข้างแตกแค่ขยับตัวผ้าอังสะเสียดสีกับบ่าก็แสบแปลบๆ นอนไม่ได้ก็นั่งภาวนาเอา พิจารณาจากร่างกายของตนเองที่มันเจ็บระบม นึกถึงหลวงปู่ตอนท่านเป็นพระหนุ่มท่านก็เคยบ่าแตกเพราะแบกบริขารเที่ยววิเวกเหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านยิ่งโหดยิ่งหนักกว่าเราอีกท่านยังผ่านมาได้ เราแค่บทเรียนแรกก็ออกอาการท้อแล้ว ด่าตัวเองมันขี้แหล่ป่านนี้หรือเรา ครูบาอาจารย์ท่านผ่านได้เราก็ต้องผ่านได้เหมือนกันสิ ท่านก็คนเราก็คนกินข้าวเหมือนกันกับท่าน เราต้องทำให้ได้เหมือนท่าน ใจตัวเองก็เลยฮึดสู้ขึ้นมาไม่ยอมอ่อนแอท้อแท้เรื่องแค่นี้..

ฉันข้าวแล้วหลวงปู่ท่านพาออกจากบ้านกกกอกเดินทางมาบ้านม่วงไข่ อยู่บ้านม่วงไข่ประมาณเดือนหนึ่งหลวงปู่ชอบท่านจะออกเที่ยววิเวกขึ้นไปเชียงใหม่ หลวงปู่ท่านบอกผม ผจญ..เราจะขึ้นไปเที่ยววิเวกทางเมืองเหนือ เราไม่อยู่แล้วให้ท่านไปปฏิบัติกับอาจารย์คำดี ปภาโส ที่ถ้ำผาปู่ก่อนนะ ท่านสะดวกไปตอนไหนก็ไปตอนนั้นเลยเราอนุญาตท่านแล้ว..

อบรมปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
พรรษาที่ ๖-๗ หลวงพ่อผจญ ได้ขึ้นไปวิเวกทางภาคเหนือ และได้มีโอกาสเข้าศึกษาธรรมกับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ และหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ที่วัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ หลวงพ่อผจญเล่าว่า…“สมัยอยู่กับหลวงปู่ตื้อ ได้มีโอกาสรับใช้อุปัฏฐากท่าน กลางคืนต้องเร่งภาวนาตลอดทั้งคืน คืนไหนอ่อนเพลีย ทำท่าจะล้มตัวลงนอน ก็จะได้ยินเสียงไม้เคาะหน้าห้องทันที เป็นอย่างนี้ทุกๆครั้ง หลวงปู่ตื้อ ท่านมักจะมาเตือนยามดึกอย่างนี้ตลอด พอจะล้มตัวนอนปุ๊บ ก็ได้ยินเสียงไม้เท้าท่านเคาะหน้าห้องปั๊บทันที จนเราเอง(หลวงพ่อผจญ)ร่างกายซูบผอมมาก ตาแดงกล่ำ ตัวนี้เหลืองไปหมดเลย เพื่อนๆเวลาเห็นก็มักจะถามว่า “ทำไมผอมอย่างนี้” ก็เลยตอบเขาไปว่า “ก็หลวงปู่ตื้อซิ ท่านให้เร่งความเพียร ทั้งวันทั้งคืนเลย ท่านสอนให้จริงจังไม่ให้เหยาะแหยะ”

ตอนกลางคืนไปบีบนวดท่าน หลวงปู่ตื้อ ท่านก็เตือนมาว่า “พรุ่งนี้ยามบ่ายอย่ามาแถวกุฏิเรานะ พญาครุฑเขามาบอกว่า จะมีอสุนีบาตฟาดลงมาที่ต้นไม้ตรงกุฏิ” ท่านใช้คำว่า “อสุนีบาต” เลยนะ เราจำได้ อสุนิบาตก็คือ สายฟ้าฟาด หรือฟ้าผ่านั่นเอง พอถึงช่วงบ่าย เราก็ออกไปทำข้อวัตรปัดตาดปกติ ช่วงนั้นเป็นฤดูแล้ง ไม่มีฝน ท้องฟ้านี้แดดเปรี้ยงเลย พอถึงช่วงบ่ายๆเรามองไปที่ท้องฟ้า แปลกมาก อยู่ดี ๆ ก็มีเมฆดำทะมึนจับตัวลอยเข้ามา ๆ แล้วก็มีสายฟ้าฟาดลงมาที่ต้นไม้ใหญ่หักโค่นไปบริเวณเวจกุฎี(ส้วม) ของหลวงปู่ตื้อ แต่กิ่งไม้นี้พาดเว้นห่างออกไป เราจึงไปกราบเรียนหลวงปู่ตื้อที่ศาลา ว่ามีฟ้าผ่าลงมาตรงเวจกุฎีท่าน ท่านถามว่าแล้วมีอะไรเสียหายไหม ก็เลยตอบท่านว่าไม่มี เพราะกิ่งไม้ได้ลอดผ่านช่วงเวจกุฎีไปพอดี ท่านก็พยักหน้า แล้วไม่ได้ว่าอะไร ใจเรานี้ก็ระลึกที่ท่านบอกเตือนไว้เมื่อคืนเรื่องของพญาครุฑมาเตือน อยากจะถามท่านก็ไม่กล้าถาม จึงกราบแยกตัวไปทำข้อวัตรต่อ พระเณรที่อยู่ที่วัดตอนนั้นก็อยากรู้ จึงได้ยุยงให้เรากราบเรียนถามท่าน

พอตกกลางคืนเราก็ไปทำข้อวัตรบีบนวดท่านตามปกติ อยู่สองต่อสอง พอบีบนวดซักพักเราก็รวบรวมความกล้า กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงปู่ พญาครุฑนั้นมีจริงหรือครับ ไม่เคยได้ยิน เคยแต่ได้ยินว่ามีแต่พญานาค” ขณะนั้นท่านนอนให้เราบีบนวดท่านอยู่ เมื่อท่านได้ยินเราถามอย่างนั้นท่านก็ยกมือขึ้น แล้วฟาดลงมาที่ตักเราอย่างแรง จนเราตกใจ แล้วท่านก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วพูดว่า “ โครตพ่อมึง โครตแม่มึง โครตปู่ย่าตายายมึงมันโง่ ถึงได้มีลูกหลานโง่ ๆ อย่างมึงออกมานี่แหละ พวกมึงนี่ไม่รู้จักภาวนา ของอย่างนี้มันมีอยู่ แต่ตามึงก็ไม่รู้ไม่เห็น หัดภาวนาให้มันดีซี่ จะได้รู้ได้เห็นมั่ง” พอหลวงพ่อผจญ เล่าถึงความหลังเรื่องนี้เสร็จ ท่านก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี หลวงพ่อผจญท่านว่า หลวงปู่ตื้อท่านมีความรู้ภายในพิสดารรวดเร็วเหมือนกับหลวงปู่ชอบ ต่างแต่คำพูดคำจากิริยาภายนอกเท่านั้นที่องค์ท่านทั้งสองจะแตกต่างกัน หลวงปู่ชอบท่านพูดน้อยแต่เจ็บ หลวงปู่ตื้อท่านพูดเจ็บแต่หนักหน่วง.. โดยส่วนมากแล้วหลังจากที่หลวงพ่อผจญ ท่านได้เข้ารับการศึกษาอบรมธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์แล้ว ท่านจะออกวิเวกและเข้าจำพรรษาอยู่ในป่าในเขากับชาวเขาเผ่าต่าง ๆ

อบรมปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่ขาน ฐานวโร
หลวงปู่ขานจะเมตตาหลวงพ่อผจญเป็นอย่างมาก แม้เพียงพบเจอกันได้ไม่นานท่านทั้งสองก็มีความสนิทสนมกัน เนื่องจากในอดีตชาติที่ผ่านมาหลวงปู่ขานท่านเคยเกิดเป็นพี่ชายของหลวงพ่อผจญ พอมาพบเจอกันในชาติปัจจุบันท่านทั้งจึงมีความรักและเมตตาต่อกันเพราะสัญญาจากบุพเพในชาติอดีต องค์ท่านหลวงปู่ขานท่านกล่าวยกย่องหลวงพ่อผจญว่า ท่านผจญตั้งแต่เป็นพระหนุ่มไม่กี่พรรษา จิตของท่านก็เริ่มใสงามแล้วนะ อยู่ด้วยกันไม่ว่ากลางวันกลางคืน เวลาเราส่งจิตออกไปดูท่านผจญ จิตท่านผจญจะเป็นแก้ววงใสอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันกลางคืน เราถึงรู้ว่าจิตของท่านผจญผ่านจุดเสื่อมของโลกียะไปได้แล้ว เหลือแต่ชั้นอื่นๆที่ท่านจะต้องปฏิบัติต่อไป.. ถามท่านผจญ จิตท่านทำไมเป็นวงใสอยู่ตลอด ท่านผจญเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนไม่อวดอ้างคุยโว ท่านก็ตอบเลี่ยง ๆ ข้าน้อยไม่ได้ส่งจิตออกไปรบกวนใคร ๆ.. หลวงพ่อผจญอยู่วิเวกทางภาคเหนือรวมทั้งสิ้น ๓ พรรษา จากนั้น ท่านได้จาริกกลับมาที่จ.เลย

มรณภาพ
หลวงพ่อผจญ อสโม ท่านอาพาธเป็นโรคมะเร็งปอดขั้นที่ ๔ แล้วมะเร็งลุกลามไปถึงต่อมน้ำเหลือง กินไปถึงกระดูกสะบักขวา ลามมาถึงกระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกรานบั้นเอวข้างซ้าย มีเวทนาแรงกล้า ท่านได้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายแห่งธาตุขันธ์นั้นพิจารณาอรรถธรรม จนเมื่อเย็นวันพุธที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๖ เวลา ๑๘.๑๕ น. หัวใจของหลวงพ่อผจญหยุดเต้นลง แต่สัญญาณชีพอย่างอื่นยังทำงานอยู่ จนถึงเวลา ๒๑.๐๙ น.สัญญาณชีพจึงดับลง คณะแพทย์ที่ทำการรักษาลงความเห็นว่าหลวงพ่อละสังขารแล้ว สิริอายุรวมได้ ๗๐ ปี ๖ เดือน ๑๕ วัน ในช่วงต้นพรรษาที่ ๔๘ นี้ได้เพียง ๙ วันเท่านั้น

หลวงพ่อผจญ อสโม วัดป่าสิริปุญญาราม
ผงอังคารของพระอาจารย์ผจญ​ อสโม​ แห่งวัดป่าสิริปุญญาราม​ จังหวัดเลย
ท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ชอบ​ ฐานสโม, พระครูญาณทัสสี​ (คำดี​ ปภาโส), พระอาจารย์ตื้อ​ อจลธัมโม​ เป็นต้น
เจดีย์บรรจุอัฐิธาตุพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อผจญ อสโม
วัดสิริปุณญาราม(บ้านหมากแข้ง)อ.วังสะพุง จ.เลย

หลวงพ่อผจญ ท่านเป็นพระกัมมัฏฐานที่มักน้อยสันโดษ เรียบง่าย พอเพียง ไม่สะสมทรัพย์ เมื่อได้มาก็สละออกๆ ไม่ชอบเรี่ยไร ทางวัดจึงไม่เคยจัดให้มีซองผ้าป่าหรือกฐินใดใดเลย เมื่อท่านจะละสังขาร ท่านได้สั่งเสียกับพระอาจารย์สำราญ เจ้าอาวาสวัดป่าสิริปุญญารามว่า “..ที่หมอบอกว่า ถ้าทำการรักษาฯ จะอยู่ได้อีก ๒ ปี อย่าไปเชื่อ ผมพิจารณาแล้ว คงอยู่ได้อีกเดือนเดียวนี่หล่ะ อย่าเก็บผมไว้นานนะถ้าผมตาย ให้เผาภายใน ๗ วัน อย่าทำอะไรใหญ่โตนะ วัดเราจน ให้ทำเมรุเล็กๆ พอ ทำง่ายๆ ให้ท่านนิพนธ์ (พระอาจารย์นิพนธ์ อภิปสันโน แห่งวัดป่าศาลาน้อย อ.ด่านซ้าย จ.เลย) เป็นธุระจัดการให้ที ห้ามให้มีการเรี่ยไร ให้ทำง่ายๆ ให้ถูกธรรมถูกพระวินัยก็พอ..”

บันทึกประวัติ หลวงพ่อผจญ อสโม สมัยศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่บันทึกโดยครูบากล้วย วีระศักดิ์ โพธิสัตย์ ผู้เขียนและเรียบเรียง