วันอังคาร, 26 พฤศจิกายน 2567

หลวงปู่กูด รักขิตสีโล วัดป่าศิลาอาสน์ อ.เมือง จ.ยโสธร

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่กูด รักขิตสีโล

วัดป่าศิลาอาสน์
อ.เมือง จ.ยโสธร

หลวงปู่กูด รกฺขิตสีโล วัดป่าศิลาอาสน์ บ้านหนองหิน ตำบลหนองหิน อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร

หลวงปู่กูด รกฺขิตสีโล นามเดิม นายกูด ค่ำโพธิ์ ท่านเกิดเมื่อวันพุธ ที่ ๘ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๙ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง ณ บ้านหนองหิน ตำบลหนองหิน อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็น อ.เมือง จ.ยโสธร) บิดาชื่อนายชาย ค่ำโพธิ์ มารดาชื่อ นางดี ค่ำโพธิ์ มีพี่น้องร่วมท้อง ๗ คนด้วยกัน คือ

๑. หลวงปู่เจิ่น สิริจนฺโท : มรณภาพแล้ว
๒. นายจุ่น ค่ำโพธิ์ : ถึงแก่กรรม
๓. นางเพ็ง เขียวศรี : ถึงแก่กรรม
๔ นางแพง ศรีสล่าง : ถึงแก่กรรม
๕. หลวงปู่ขาน ปญฺญาธโร : มรณภาพแล้ว
๖. หลวงปู่กูด รกฺขิตสีโล : มรณภาพแล้ว
๗. นางหนูแต้ม จิตรอบ : ถึงแก่กรรม

หลวงปู่กูด รักขิตสีโล วัดป่าศิลาอาสน์

หลวงปู่กูด มีพระพี่ชายอีก ๒ รูป คือ หลวงปู่เจิ่น สิริจันโท และหลวงปู่ขาน ปัญญาธโร ซึ่งท่านทั้งสองนอกจากเป็นพี่น้องทางสายโลหิตแล้ว ยังเป็นกัลยาณมิตร กัลยาณธรรม ผู้ผูกพันใกล้ชิดเคียงบ่าเคียงไหล่ในเพศพรหมจรรย์หวังเพียงเพื่อที่จะพ้นทุกข์ข้ามแดนแห่งวัฏฏะสงสารโดยถ่ายเดียว อีกทั้งพี่น้องทางฝ่ายหญิงคือ นางเพ็ง (พี่สาว) และแม่ใหญ่แต้ม (น้องสาว) ก็ได้ออกประพฤติปฏิบัติธรรม ฝึกหัดภาวนา รักษาศีล ๘ ติดตามหลวงปู่กูด จนถึงกาลอวสานแห่งชีวิต ซึ่งถือว่าวงศ์ตระกูลของท่านมีบุญบารมีในทางธรรม เป็นตระกูลนักบวช นักปราชญ์ น่าสรรเสริญยกย่องเป็นยิ่งนัก

หลวงปู่กูด สมัยเมื่อวัยเด็ก การศึกษาของท่านสมัยก่อนไม่มีห้องเรียน ท่านต้องเรียนกันตามร่มไม้ ท่านได้เล่าเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ต่อมาบิดา มารดาของท่านได้เสียชีวิตลง หลวงปู่เจิ่น จึงรับภาระหน้าที่เลี้ยงดูน้องๆ ทุกคน น้องๆ ทุกคนจึงมีความเคารพหลวงปู่เจิ่น เปรียบเสมียนเป็นพ่อแม่ของตนเอง หลวงปู่เจิ่นบอกว่าน้องๆ ของท่านว่านอนสอนง่ายกันทุกคน หลวงปู่กูดสมัยเป็นฆราวาส ท่านมีอาชีพทำนา เมื่อท่านนำวัวควายไปกินหญ้าเสร็จแล้ว ท่านมักจะหลบไปนั่งภาวนาที่ใต้ต้นหว้าที่ทุ่งนาของท่านเป็นประจำทุกๆ วัน ที่นาของหลวงปู่ ได้อยู่ติดกับเพื่อนบ้านท่านหนึ่ง ซึ่งมีอายุต่างกันถึง ๑๐ ปี แต่มีอัธยาศัยที่ตรงกันคือ ชอบสนทนาธรรมะกัน และมีความคิดอยากที่จะอุปสมบทด้วยกันทั้งคู่ ท่านทั้งสองได้คบค้าสมาคมเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายกันมาก จนได้เข้ามาอุปสมบทเป็นพระกัมมัฏฐานที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยกันทั้ง ๒ รูป เพื่อนของหลวงปู่กูด ที่กล่าวถึงนี้ก็คือ หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ แห่งวัดป่าศิลาพร จ.ยโสธร (หรือที่รู้จักกันในนามหลวงปู่บุญมี วัดป่านาคูณ จ.อุดรธานี)

หลวงปู่กูด เมื่อสมัยเป็นฆราวาส ท่านได้ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ มีศีล ๕ ประจำใจ ด้วยเล็งเห็นว่า หากตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ในเพศฆราวาสแล้ว ศีลย่อมบริสุทธิ์ อบายภูมิก็ไม่มากล้ำกรายให้ลงไปในเบื้องล่างได้เลย ภาวนาก็ย่อมได้ผลดีตามมา ในขณะนั้นก็เจริญบริกรรม “พุทโธ” อยู่มิขาดทุกวันทุกคืน หลวงปู่ได้ตั้งจิตอธิษฐานขอตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ น่าประหลาดใจยิ่ง เพราะเมื่อตั้งจิตอธิษฐานเสร็จแล้ว ท่านจะอยู่ในอริยบทใดก็เกิดมีแสงสว่างขึ้นรอบกายอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืนอยู่เป็นปีๆ แสงสว่างเหล่านี้ก็ยังไม่หมดไป ในวันแรกที่ตั้งจิตอธิษฐานนั้น ท่านเห็นพระธุดงค์หน้าผ่องใสงดงามมาก ห่มผ้าสีกรัก พาดสังฆาฏินั่งอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง บนฟ้าลอยอยู่นนอากาศ แม้มองเบื้องล่างก็เห็นอยู่ทะลปรุโปร่งไปหมด แม้มองออกไปไกลๆ ก็มองเห็นพระธุดงค์รูปนั้นอยู่ตลอด
ในคราวต่อๆ มาเมื่อท่านภาวนาพุทโธทั้งวันทั้งคืนมิได้ขาด ก็เกิดเหตุการณ์น่าอัศจรรย์ขึ้นมา ได้เห็นอุบายเครื่องออกจากทุกข์ ขณะท่านกำลังนอนภาวนา ก็มีนิมิต

“เห็นร่างกายอสุภะทั้งผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หลุดออกมาเป็นปฏิกูลมีทั้งน้ำเหลืองและหนองปะปนอยู่”

ท่านปฏิบัติอย่างนั้นโดยไม่มีครูบาอาจารย์เพียงตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์และบริกรรมพุทโธเรื่อยมา ได้พิจารณาทุกเรื่องที่ปรากฏจนเกิดความเบื่อหน่าย จิตอยากจะออกไปอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ตามสถานที่ต่างๆ ไม่อยากกลับไปบ้านเลย

ชีวิตในวัยเด็กหลวงปู่ท่านได้ศึกษาถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ เท่านั้น ต่อมาเมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว จึงสอบนักธรรมชั้นตรี ได้เมื่อ อายุ ๑๘ ปี จากนั้นเมื่อลาสิกขาบท ท่านใช้ชีวิตเป็นฆราวาสจนกระทั่งอายุได้ ๔๒ ปี จึงอุปสมบทในพัทธสีมาวัดพระงามศรีมงคล ตำบลน้ำโมง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๑ โดยมี พระธรรมไตรโลกาจารย์ (รักษ์ เรวโต) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูศีลขันธ์สังวร (อ่อนสี สุเมโธ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอาจารย์บุญกง เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายาทางมคธภาาาว่า “รกฺขิตสีโล” แปลว่า “ผู้มีศีลอันรักษาแล้ว

ถึงจะออกบวชเมื่ออายุมากแล้ว แต่หลวงปู่กูด ก็ยังประพฤติประฏิบัติตามแนวทางแห่งมรรคผลนิพพานดังคำสอนของพระพุทธองค์อย่างมุ่งมั่น โดยท่านได้เดินธุดงค์ไปหลายแห่งทั่วประเทศไทย โดยคำบอกเล่าแล้วกล่าวว่าท่านเป็นพระที่มีเทพเทวดารักเคารพมาก ในเวลากลางคืนจะปรากฏเหตุการณ์มหัศจรรย์ คือ “ มีแสงสว่างเจิดจ้าอยู่รอบๆ แสงนี้สว่างไสวและงดงามมาก มีแต่รอบๆ กุฏิหลวงปู่กูดเท่านั้น ที่แห่งอื่นนั้นไม่มี เห็นเป็นแต่ความมืดเท่านั้นที่ปกคลุมอยู่ ”

หลวงปู่กูด ถอนพุทธภูมิ เป็นสาวกภูมิ
หลวงปู่กูด รักขิตสีโล ประวัติท่านมีทั้งเทวดา พญานาค มาขอฟังธรรมท่านอยู่เสมอๆ เพราะท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน แต่ภายหลังเมื่อปฏิบัติธรรมอย่างเข้มงวดกับพระพี่ชายท่านหลวงปู่เจิ่น สิริจันโท จึงได้เห็นกองทุกข์ที่จะต้องไปเวียนเกิดเวียนตายในวัฏสงสารอีกไม่รู้จบสิ้น ทำให้ท่านสลดสังเวชในภพชาติน้อยใหญ่นั้น จึงได้กราบลาถอนพุทธภูมิ เป็นเพียงสาวกภูมิของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณศากยบุตรในบวรพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น จากนั้นท่านจึงออกรุกขมูลอยู่ตามป่าเขาเร่งเพียรภาวนาแสวงหาโมกขธรรมเพื่อให้ถึงซึ่งมรรคาตามคำสอนของพระบรมศาสดา

เทวดา พญานาค มาขอฟังธรรม
หลวงปู่กูด รักขิตสีโล ท่านได้ขึ้นไปภาวนาอยู่ที่ถ้ำภูยางอู่ ในถ้ำนี้เองเวลากลางคืนได้มีเทพและนาคมากมายมาขอสมาทานศีล ๕ และขอฟังธรรมจากหลวงปู่กูดด้วย ลักษณะของเทพที่มา มีลักษณะกิริยามารยาทเรียบร้อย หน้าตางดงามมาก นุ่งขาวทั้งชายหญิง เทวดาทรงผมธรรมดา เทพธิดาปล่อยผมยาว เป็นเด็กก็มี ส่วนผู้เป็นหัวหน้านั้นเป็นเทพบุตร หลวงปู่กูดท่านนั่งสมาธิอยู่ลานหินกว้าง เหล่าเทพมาถึงแล้วก็นั่งรอเป็นทิวแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยดีมาก ไม่มีเสียงดังให้ได้ยินเลย หลวงปู่กูด ท่านให้รับศีลและให้ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์แล้ว ท่านไม่ได้เทศน์สั่งสอนอะไรเลย จึงนั่งสมาธิเงียบๆ อยู่ พวกเทพเห็นดังนั้น ก็นั่งสมาธิกับหลวงปู่กูดด้วยประมาณ ๑ ชั่วโมง จึงกราบลงแล้วลากลับไป

เมื่อเทพเหล่านั้นกลับไปแล้ว พวกนาคก็มาหาท่านอีก หัวหน้าก็เป็นชายอีกเช่นเดียวกัน เขาอาราธนาศีลเก่งเหมือนกันหมดทุกคน ไม่ว่าเทพหรือนาค หลวงปู่กูด ก็อัศจรรย์ใจยิ่งนักว่า ทำไมเขาถึงอาราธนาศีลเก่งนัก เหล่าเทพนาคเขาบอกว่าเคยเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาก่อน หลวงปู่มั่นท่านสอนให้อยู่ในไตรสรณคมน์มาก่อนจึงอาราธนาศีลเป็น ลักษณะของนาคที่มานั้น มาเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกัน ต่างกันก็ตรงเครื่องนุ่งห่ม โดยสีผ้าของนาคนี้มีสีผ้าคล้ายใยบัวแต่ไม่คล้ำนัก ผมไม่ดกบางๆ แต่งตัวเรียบร้อยเหมือนกับแขกอินเดียโพกหัวด้วยผ้าบางๆ สีคล้ายสีชมพูแต่อ่อนมาก

นับตั้งแต่หลวงปู่กูดได้อุปสมบท ท่านสังเกตว่าทางเดินจงกรมของท่านจะมี กิ้งกือ ตะขาบ งูเพา งูมีพิษ และสัตว์ที่มีพิษทุกชนิด เมื่อมาเห็นทางเดินจงกรม จะไม่ข้ามทางจงกรมของท่านเลย และจะหันหลังกลับทันที ท่านได้เฝ้าสังเกตอยู่เงียบๆ และแผ่เมตตาให้กับสัตว์เหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะแม้จะเป็นศัตว์เดรัจฉานก็ยังรู้ความไม่ย่ำยีตัดทางเดินจงกรมของพระผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ รวมทั้งเทพ นาคด้วย ก็จะไม่เดินข้ามทางจงกรมนี้เลย

หลวงปู่กูด รักขิตสีโล วัดป่าศิลาอาสน์

หลวงปู่กูด ท่านเป็นพระที่มีเทพเทวดารักเคารพมาก ในเวลากลางคืนจะปรากฏเหตุการณ์มหัศจรรย์ คือ

“มีแสงสว่างเจิดจร้าอยู่รอบๆ แสงสว่างนี้สว่างไสวและงดงามมาก มีแต่รอบๆ กุฏิหลวงปู่กูดเท่านั้น ที่แห่งอื่นนั้นไม่มี เห็นเป็นแต่ความมืดเท่านั้นที่ปกคลุมอยู่”

ในแต่ละคืน พระเณรไม่เป็นอันปฏิบัติอันใดทั้งสิ้น จะมาคอยดูแต่แสงสว่างที่รอบกุฏิหลวงปู่อยู่เท่านั้น เมื่อหลวงปู่กูดทราบ จึงได้บอกเทพทั้งหลายว่า ให้หยุดการกระทำอันจะเป็นอันตรายแก่พระเณร เพราะการที่ท่านมาพบในลักษณะนี้ ผู้อื่นพบเห็นก็จะหลงใหลเคลิบเคลิ้มไม่เป็นอันทำอะไร ดังนั้น ในคืนถัดมาแสงสว่างจึงไม่มี การที่มีเทพ พรหม มากราบหลวงปู่กูด ก็เพื่อมานิมนต์ขอให้หลวงปู่กูดปรารถนาพุทธภูมิต่อไป เพื่อให้เขาทั้งหลายมีที่พึ่งทางใจสืบไป

ถอนพุทธภูมิ
ในพรรษาต่อมา หลวงปู่กูดได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าหนองไคร้ จ.ยโสธร (วัดของหลวงปู่ประสาร สุมโน ในปัจจุบัน) ในพรรษานี้เอง หลวงปู่กูด ได้ตั้งสัจจะถอนคำอธิษฐานที่ปรารถนาพุทธภูมิมาแต่ในอดีตชาติ โดยได้ตั้งสัจจะใหม่ขอพ้นทุกข์ในชาตินี้ สาเหตุที่ตัดใจได้คือ

๑. ท่านพิจารณาแล้วว่า หากปรารถนาต่อไปภพชาติก็จะยิ่งยาวไกลออกไปไม่รู้จักจบจักสิ้น จะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่อบายภูมิ ตกนรก เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ และพรหมอีกไม่รู้เท่าไหร่ และ
ได้พิจารณาย้อนไปในอดีต ก็ยิ่งรังเกียจภพชาติที่ผ่านมา เพราะได้เวียนว่ายตายเกิดมาหมดทุกภูมิแล้ว

๒. หลวงปู่กูด ท่านได้เห็นกรรมฐาน ๕ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ได้หลุดกองลงมา ตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส ล้วนแต่เป็นเครื่องปฏิกูลเน่าเหม็นโสโครก เมื่อเห็นดังนี้แล้วจิตจึงอยากถอนจากการเวียนว่ายตายเกิดอีก จึงตั้งสัจจะขอปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างเดียว

หลวงปู่กูด ท่านเป็นพระกัมมัฏฐานซึ่งมุ่งมั่นในการปฏิบัติ เดิมทีนั้นท่านปรารถนาพุทธภูมิเป็นที่หมาย แต่เมื่อปฏิบัติมากเข้า ในที่สุดก็ขอลาพุทธภูมิเพื่อให้จบกิจในชาตินี้ภพนี้เป็นที่สุด เพราะเหตุนี้เองทำให้ท่านต้องประสบวิบากสังขารในชีวิตหลายครั้งหลายคราว แต่ท่านก็ไม่หลบไม่เลี่ยง หากแต่เผชิญกับวิบากนั้นด้วยความเมตตาและอาจหาญอย่างที่สุด เพื่อจะได้ไม่ติดค้างหนี้เวรหนี้กรรมใดๆ อีก

เรื่องจริงที่เหลือจินตนาการใดๆ เรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นกับหลวงปู่กูด คือ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๕ ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุได้ ๘๗ ปี แต่ไม่ว่าจะสูงวัยอย่างไรก็ไม่ใช่เหตุที่ทำให้ต้องละการภาวนา ปีนั้นท่านเก็บตัวภาวนาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง หลังพระอุปัฏฐากและศิษย์กราบลาท่านในช่วงค่ำ ปล่อยให้ท่านบำเพ็ญภาวนาอยู่ในกลดอย่างที่เป็นมาตลอด ๓ เดือน พอรุ่งเช้าไปพบท่านอีกทีถึงกับสยองขวัญสั่นประสาท เพราะมีมดดำนับหมื่นๆ ตัวรุมกัดท่านอยู่จนร่างผอมบางนั้นดำสนิทไปทั้งร่าง เมื่อศิษย์เข้าไปช่วยเพื่อนำท่านส่งโรงพยาบาล ท่านยังเอ่ยด้วยความเมตตาว่า “อย่าไปปัดมันๆ

หลวงปู่กูด รักขิตสีโล ช่วงอาพาธอยู่ที่วัดป่าศิลาอาสน์

หลวงปู่กูด ละสังขารลงเมื่อวันพระแรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ ปี ขาล เมื่อเวลา ๑๐.๔๓ น. ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๓ ณ วัดป่าศิลาอาสน์ ต.หนองหิน อ.เมือง จ.ยโสธร สิริอายุ ๙๔ ปี ๓ เดือน ๒๕ วัน พรรษา ๕๓

เจดีย์บูรพาจารย์ หลวงปู่เจิ่น สิริจันโท ,หลวงปู่กูด รักขิตสีโล ,หลวงปู่ขาน ปัญญาธโร ,หลวงปู่โท ติสสวังโส รวม ๔ องค์ ณ วัดป่าศิลาอาสน์ อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
อัฐิธาตุ ของท่าน หลวงปู่กูด รกฺขิตสีโล

โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่กูด รักขิตสีโล

“…บ่อเกิดแห่งทุกข์คือใจ กาย วาจา ใจ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหลายมารวมกันอยู่ที่ กาย วาจา ใจ…”

“..โลกนี้ดุจหม้อกระทะใหญ่ที่ค้างไว้ตลอดกาลช้านานแล้ว ใครเกิดมาก็มาตกอยู่ในกระทะใหญ่นี้โดยไม่รู้สึกตัว ยิ่งตกยิ่งมัวยิ่งเมาโดยไม่รู้ตัว ดีชั่วไม่คำนึงถึงอันตรายทั้งสิ้น สมัยใดหรือยุคใดก็ตามย่อมเจริญแต่ความมึนเมา เอาตัวรอดจากตาข่ายไม่ค่อยได้ ตกอยู่ในหลุมเพลิงอย่างไรก็ชอบอย่างนั้น ตกอยู่ในโอกแอ่งแก่งกันดารเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักเต็มไม่รู้จักคลาย โลกทั้งหลายก็เป็นอย่างนี้มาแต่อดีตชาติ และอนาคตก็จะเป็นอยู่อย่างนี้..”