ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม วัดป่าสีห์พนมประชาคม ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
“หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม” ท่านถือกำเนิดตรงกับวันจันทร์ที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๑ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง ณ บ้านขาม ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร บิดาท่านชื่อ นายเข่ง ธิอัมพร มารดาท่านชื่อ นางชาดา ธิอัมพร สำหรับบิดาของหลวงปู่บุญมา ภายหลังได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง มีชื่อและฉายาตามพระพุทธศาสนาว่า “หลวงปู่เข่ง โฆสธัมโม” ขณะนั้นหลวงปู่บุญมาได้พรรษาที่ ๑๐ แล้ว จากนั้นจึงได้ออกธุดงค์ไปในที่ต่างๆ และบั้นปลายชีวิตหลวงปู่เข่ง ท่านได้มาอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่บุญมา ที่วัดป่าสีห์พนมประชาคม จ.สกลนคร และได้มรณภาพลงเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.๒๕๓๗ ขณะมีอายุได้ ๙๐ ปี พรรษา ๓๓
ชีวิตในวัยเด็กของหลวงปู่บุญมา ท่านได้เรียนจนจบชั้นประถมบริบูรณ์ แล้วได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพทำนา เมื่อ อายุได้ ๑๗-๑๘ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรศึกษาธรรมอยู่ได้ ๑ พรรษา ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๘๘) หลังจากสึกออกมาช่วยบิดามารดาทำนานั้น ในใจท่านก็คิดเสมอว่า ถ้ามีโอกาสเมื่อไร ก็จะรักษาศีลอุโบสถเมื่อนั้น ท่านปฏิบัติอยู่อย่างนี้ จนเป็นที่เลื่องลือของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านว่า ทำไมเด็กหนุ่มนี้จึงมีอุปนิสัยแตกต่างจากคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่หันเหมาทางพระพุทธศาสนา เข้าวัดเข้าวารักษาศีลอุโบสถเหมือนคนเฒ่าคนแก่
หลวง ปู่บุญมาท่านได้เล่าถึงชีวิตเมื่อวัยหนุ่มว่า เมื่อเข้าหาครูบาอาจารย์ท่านก็เทศน์ให้ฟัง ในเรื่องอานิสงส์ในการรักษาศีล ๕ และทุกข์โทษของการละเมิดผิดศีลผิดธรรมเป็นอย่างไร ก็นำมาพิจารณา และครั้นเวลาครูบาอาจารย์ชวนไปวิเวก ฝึกสมาธิ ศึกษาธรรมะ ก็สนใจปฏิบัติตาม ทำให้จิตเกิดความสงบเยือกเย็น” นับว่าท่านเป็นผู้มีวาสนาบารมีที่ส่อแววให้เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ
หลวงปู่บุญมาเล่าถึงสมัยชีวิตฆราวาส ได้พิจารณาความตายถึง ๓ วาระ สมัยท่านเป็นฆราวาสได้แต่งงานมีเหย้ามีเรือน ใช้ชีวิตตามวิถีชาวโลก จนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน เหตุการณ์หลังจากนั้นวาสนาบารมีทางธรรมท่านได้ใกล้เข้ามา จึงดลบันดาลให้เหตุการณ์กระทบอารมณ์ เป็นทุกข์อย่างหนักทางโลก ปีแรก น้องสาวท่านตาย ปีที่สอง มารดาก็มาตายอีก หลวงปู่บุญมาท่านเล่าว่าตอนนั้น จิตของท่านเกิดธรรมะ ได้คิดว่า “ความตายมันได้ใกล้เข้ามาหาเรา…ถ้าเราอยู่ต่อไป ไม่กี่วันก็คงตาย ถ้าจะตาย ขอให้ไปส่งความดีก่อนตาย เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งในอนาคต เป็นทางออกที่ดีที่สุด ก่อนความตายจะมาถึง แต่ไม่ทันที่ท่านจะได้ออกบำเพ็ญความดีตามที่ท่านตั้งใจไว้ พายุโลกโหมกระหน่ำซ้ำเติมซ้ำสามในระยะเวลาไม่นาน ภรรยาท่านก็มาเสียชีวิตลง “ทุกข์เกิดขึ้น” เป็นทุกข์ที่ทำให้ท่านต้องตั้งคำถาม และพิจารณาปัญหาต่อไปว่า
“ลูกที่เกิดมา จะทำอย่างไร ใครจะเลี้ยงลูก”
แล้ว ท่านก็พิจารณาเรื่องลูกว่า
“ถึงแม้ว่าแม่จะตาย พ่อก็ยังอยู่ เด็กบางรายเกิดมาไม่กี่วันก็ตาย บางคนเดินได้ วิ่งได้ แล้วก็มาตาย แล้วแต่บุญวาสนาของแต่ละคน ไม่ถึงวันตายก็ไม่ตาย ถ้าจะให้ทานลูกแก่ผู้ต้องการ ลูกก็คงเติบใหญ่ขึ้นได้ด้วยบุญวาสนาบารมีของตนเองที่สร้างสมมาแต่ปางก่อน”
ท่านคิดได้อย่างนี้ จึงยกลูกให้แก่พ่อตา แม่ยาย เป็นผู้เลี้ยงดู และตัดสินใจออกบวช ช่วงนั้นประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๔ ใกล้เข้าพรรษาแล้ว ระหว่างช่วงจัดงานศพให้ภรรยาท่านนั้น ได้นิมนต์ หลวงปู่สิงห์ สหธัมโม ไปสวดบังสุกุล หลวงปู่สิงห์ พระอาจารย์ผู้ที่ให้ธรรมะแนะนำการปฏิบัติแก่ท่านอยู่ก่อนแล้ว ได้ถามท่านว่า“จะบวชไหม”
ซึ่งท่านก็ตอบหลวงปู่สิงห์ไปว่า “บวชแน่นอนครับ”
หลังจากจัดการงานศพของภรรยาเสร็จ ท่านก็ลาบิดา พ่อตา แม่ยาย เข้าไปวัดพระธาตุฝุ่น ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร เพื่อรอบวชในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๔
ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๔ เวลา ๑๔.๑๕ น. ขณะอายุได้ ๒๔ ปี ณ วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมี พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระครูสมุห์สวัสดิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “คัมภีรธัมโม” ซึ่งแปลว่า ผู้มีธรรมอันลึกซึ้ง
เมื่อ อุปสมบทแล้วเสร็จ ท่านได้ไปอยู่จำพรรษาศึกษาข้อวัตรปฏิปทากับหลวงปู่สิงห์ สหธัมโม วัดพระธาตุฝุ่น จ.สกลนคร ในพรรษาแรก หลวงปู่สิงห์ได้ให้ท่านฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาขนานใหญ่ ขนาดยอมอดนอน ไม่ยอมหลับในตอนกลางคืน ช่วงเข้าพรรษาตลอด ๓ เดือน พระเณรที่อยู่ด้วยต้องยืน เดิน นั่ง ๓ อิริยาบถตลอดทั้งคืน ห้ามนอนเวลากลางคืน จึงทำให้ได้รับผลจากการภาวนามากตลอดพรรษา
พอพรรษาที่ ๒ พระบุญมา จิตท่านเกิดฟุ้งซ่านอยากจะสึก ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่สิงห์ สหธัมโม จึงได้ให้ท่านไปหาหลวงปู่ขาว อนาลโย ซึ่งขณะนั้นท่านอยู่ที่ถ้ำค้อ อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี ห่างจากวัดถ้ำฝุ่นไป ๒๐-๓๐ กิโลเมตร เมื่อ ไปถึงถ้ำค้อ ที่หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านพำนักจำพรรษาอยู่ พระบุญมาได้เข้าไปกราบคารวะ หลวงปู่ขาวจึงได้พูดขึ้นว่า
“ทำไมถึงอยากสึก แยกจิตออกนอกทำไม”
พระบุญมา ท่านยังไม่ทันตอบ หลวงปู่ขาวก็พูดต่อไปอีกว่า
“ออกก็ออกมาจากที่นั่น จะเข้าไปที่เดิม มันถูกรึ”
หลวงปู่ขาวท่านรู้วาระจิต จากนั้นก็อบรมสั่งสอนให้ท่านอยู่ป่าเป็นวัตร อยู่กับช้าง กับเสือ กับผีสาง เป็นการให้มีสติอยู่กับตนไป ไม่ให้ฟุ้งซ่านส่งจิตออกไปไหน หลวงปู่บุญมา ท่านเล่าว่า
“ช่วงนี้กลัวมาก ถึงสวดมนต์อย่างไรก็กลัว กลัวตาย ช่วงที่อยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย จึงตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนาตามคำสอนขององค์ท่าน ปรากฏผลดีมาก จิตใจสบาย วิเวกดี จิตไม่ปรุงแต่งอะไร ไม่ออกไปสร้างบ้านสร้างเรือน สร้างครอบครัวอีก เพราะกลัวตาย คนกลัวตายต้องหาที่พึ่ง ถ้าได้ที่พึ่งทางจิตแล้วสบาย ไม่กลัวตายต่อไปอีกแล้ว”
ครั้นออก พรรษาได้จาริกธุดงค์เข้ากราบรับข้ออรรถข้อธรรมจากพระเถระผู้ใหญ่ ศิษย์ในองค์หลวงปู่ใหญ่มั่น ภูริทัตโต หลายองค์ อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู, หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย และหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี เป็นต้น และได้จาริกธุดงค์ร่วมกันกับ หลวงปู่คำบุ ธัมมธโร ซึ่งเป็นพระอาจารย์รูปสำคัญของท่าน ออกวิเวกตามสถานที่ต่างๆ ไปยังป่าช้าง ป่าเสือ ฝึกจิตตามป่าตามเขาโถงถ้ำ ไปในที่ๆ ขึ้นชื่อว่าอาถรรพณ์ผีดุ เปลี่ยนที่จำพรรษาไปเรื่อยๆ ไม่ติดถิ่น ทั้งที่กันดารห่างไกลจากบ้านจากเรือนสลับกับการไปฝึกอบรมยังสำนักของพ่อแม่ ครูอาจารย์ ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานถึง ๒๙ พรรษา
เริ่มจำพรรษาที่ วัดป่าสีห์พนมประชาคม บ้านหนองกุง ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ในพรรษาที่ ๒๐ เป็นพรรษาแรก ตรงกับปี พ.ศ.๒๕๑๔ จากนั้นจึงออกจาริกธุดงค์ไปจำพรรษาในที่ต่างๆ แล้วเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ หลวงปู่บุญมา ท่านก็กลับมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าสีห์พนมประชาคม มาโดยตลอดจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
ปัจจุบัน หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม อายุวัฒนะมงคลครบ ๙๒ ปี พรรษา ๗๐ (๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๓)
คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
“..ศีลห้าอย่างต่ำสุดพาไปเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม ผู้ไม่มีศีลล่ะ มันจะผลักดันให้เราไปเกิดในภูมิที่ต่ำ ต่ำสุดคือ นรก อเวจี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน นี่ล่ะคือผลของไม่เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ผลก็ออกมาอย่างนี้ พระอริยเจ้าท่านมาสั่งมาสอนก็เพื่อให้เห็นทุกข์ สอนให้พ้นจากทุกข์ ศีลนี้ล่ะตัวสำคัญ ศีลคืออะไร รักษาให้เป็นอะไร ศีลคือรักษากายให้ปกติรักษาวาจาให้ปกติรักษาใจให้ปกติ ถ้ามีศีลสมบูรณ์ จะทำอะไรมันก็รู้ก็เห็น สิ่งไม่รู้ก็จะได้รู้ สิ่งไม่เห็นมันก็จะได้เห็น ถ้าศีลไม่มีมันก็จะมืด จะทำอะไรก็ไม่รู้ไม่เห็น สิ่งที่ควรรู้ก็ไม่รู้ สิ่งที่ควรเห็นก็ไม่เห็น เพราะไม่มีศีลสมบูรณ์มันเลยมืด”
“..ถ้าย่นเข้ามามันไม่มากนะความหลงนี้ก็มีนิดเดียว ถ้าสมมุติว่าแผ่นใหญ่ๆ ก็ย่นเข้ามาให้มันเหลือดินเม็ดเดียว ถ้าเป็นจิตก็จิตดวงเดียว ถ้าจะเปรียบจิตใจเท่ากับวัตถุ ถ้าเป็นจิตก็เป็นจิตดวงเดียว ถ้าจะเปรียบจิตใจเป็นวัตถุ แต่จิตใจมันไม่เป็นวัตถุ มันติดกันอยู่นี่ จะทิ้งหรือไม่ทิ้งดินเม็ดเดียวนี้ ทิ้งได้มันก็จบแล้ว ถ้าไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่มี เมื่อมันวกเข้ามาหาความจริง รูปก็คือจิต ถ้ามันจะย่นเข้ามาหาตัวผู้รู้ รูปก็คือตัวผู้รู้นี้ เวทนาก็คือตัวผู้รู้นี้ สังขารก็ตัวผู้รู้นี้ วิญญาณก็คือตัวผู้รู้นี้ นี่มันหดเข้ามานี่แล้ว มันมีไหมพวกนี้ รูป ขันธ์ เวทนา มีไหม เวทนาไม่มี รูปไม่มี สัญญามีไหม สัญญาไม่มี รูปก็ไม่มี สังขารมีไหม สังขารไม่มี รูปก็ไม่มี ทีนี้อยู่ในขันธ์ห้านี้ มันจะไปรวมอยู่ที่ตัววิญญาณคือตัวรู้ ตัววิญญาณ วิญญาณรู้ไปตามขันธ์ รู้ไปตามอาการ อันนี้ล่ะ ท่านให้ชื่อว่าวิญญาณ ถ้าไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่มีพวกนี้ขันธ์ไม่มี ขันธ์หายไป มันก็มาเหลือแต่ดวงจิตมัน เมื่อเหลืออยู่แต่ดวงจิต ท่านก็ให้ย้อนเข้ามาดูจิต มันมีอะไรตกค้างอยู่บ้างไหม มากำหนดดูอยู่ที่นี่ ให้รูปมันเกิดขึ้นที่นี่ ให้มันดับลงที่นี่ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว จิตใจมันยินดีไหม จิตใจมันยินร้ายไหม จิตใจมันดีใจไหม จิตใจมันเสียใจไหม ถ้ามีพวกนี้อยู่ ก็แปลว่าตัวยินดียินร้าย ดีใจเสียใจ อันนี่ล่ะลูกน้องของอวิชชา คนงานของเขา ถ้าเทียบกับทหาร ก็เป็นทหารของอวิชชาตัณหา ดีใจ รัก ชัง กลัว หลง ที่มันมีอาการเกิดขึ้นภายในจิตใจนี้ใช่ทั้งนั้น ที่ท่านให้ชื่อว่าเจตสิกหรือตัวสังขารจิตใช่ทั้งนั้น ทหารของมันทั้งนั้น ถ้าเราไม่รู้ก็ต้องรู้ น้อมเข้ามาหาดวงจิตดวงใจ ค้นดู พิจารณาดู มันก็ดีกว่านอน นอนแล้วไม่ได้อะไร ทำไมมันจึงสนใจหนักหนา ค้นหาแต่ความสุขในร่างกาย ความสุขทางจิตใจทำไมไม่เอา ทำไมไม่ส่งเสริม ทำไมไม่สนับสนุน มันเป็นอะไร มันเป็นเพราะอะไร..”
เรื่อง “หนังห่อขี้ ห่อโรค ห่อเจ็บ ห่อทุกข์”
“หนังห่อขี้ ห่อโรค ห่อเจ็บ ห่อปวด ห่อสารพัดห่อ ก้อนสกลกายอันนี้กินลงไปกะบ่จักอิ่ม บ่จักพอ กินโรคเข้าไป ยากะกิน โรคกะกิน ในที่สุดมันไปไส ดินกะไปเป็นดิน น้ำกะไปเป็นน้ำ ไฟกะไปเป็นไฟ ลมกะไปเป็นลม มันบ่มีของพวกเฮาเด้ มันก็แตกตายทำลายลงไปเองตามธรรมชาติ ดวงจิตดวงใจเท่านั้นละที่เป็นของเรา เราก็มาอาศัยก้อนธาตุก้อนขันธ์ นี่ล่ะทำให้เกิดบุญ บุญเกิดจากการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา”
เรื่อง “กรรมฐานเลยเถิด กรรมฐานแหวกแนว”
(ธรรมเทศนา หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม)(เทศน์ในงานถวายเพลิงหลวงตาสรวง สิริปุญโญ)”บ๊วยๆ เบื้อยๆ แหล่วกะเทาทะเล(สาหร่ายทะเล) บักแซว บักกอกน้ำ แหล่วกะบัวหิมะ หิเมอะ หมู่หนิยกเลิกให้หมด พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติพวกนี้ มันเป็นอาหารทั้งหมดอย่าไปกิน นอกนั่นกะพากันไปฉัน ไอ…บักอินทผาลัม บักอินทผาลัมกะบักเป้งใหญ่นั่นล่ะ บักเป้งบักหวายหนิ กะเป็นอาหารตี้ล่ะ ถ้ากินพวกนี้ได้ไม่ต้องเว้น ตอนเย็นก็เอาข้าวมาเลย เอาข้าวมากินเลยก็ได้ อะไรกะมีแต่ยาหมด ข้าวกะเป็นยา มันเลยเถิดเลยเถอ เพราะฉะนั้นต้องสำเนียกพื้นฟู ครูบาอาจารย์ต้องแนะนำสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาตามสุดท้ายปลายหลัง มันจะหมดเด้ มันไม่มีสมัยก่อน”