วันอังคาร, 26 พฤศจิกายน 2567

หลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

ประวัติและปฎิปทา หลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

หลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

หลวงปู่ไม อินทสิริ เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๐ ท่านมีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน เป็นชาย ๖ คน หญิง ๑ คน ท่านอยากบวชตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๔ จึงขอบิดา แต่บิดาไม่ให้บวช ขอให้ช่วยงานบ้าน ช่วยแม่เลี้ยงน้อง เพราะน้องยังเล็ก ต้องอาศัยท่านช่วยงานบ้าน ตักน้ำ ตำข้าว ขอให้น้อง ๆ โตก่อนค่อยบวช

อุปนิสัย ท่านเป็นคนที่มีนิสัย รักพ่อรักแม่ รักญาติพี่น้อง เคารพนับถือญาติทุกคน ดี ไม่ดี ก็เคารพ ไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมา ถึงแม้บางครั้งจะน้อยใจอยู่บ้าง

พออายุได้ประมาณ ๑๐-๑๑ ปี ได้ไปอยู่หนองบัวลำภู ตอนเช้าจะนำควายไปเลี้ยงตามทุ่งนา ท่านชอบนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ ” ใต้ต้นข้อ ” ท่านชอบนั่งหลับตาเป็นนิสัย แต่ไม่ได้ภาวนา ท่านมักจะเห็นสวรรค์เป็นหอปราสาท และ เห็นท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) ใส่โจงกระเบน เหาะลงมาสอนท่านสวดมนต์คาถา จนท่านสามารถท่องจำได้ จนอายุ ๑๖-๑๗ ปี ก็ยังเห็นพระอินทร์อยู่ ท่านจะมาสอนธรรมะ คาถาป้องกันตัว อยู่ยงคงกระพัน คาถาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาที่พระอินทร์กลับ ท่านจะสั่งว่า เวลามีเรื่องอะไร ให้นึกถึงพ่อ ท่านเรียกตัวเองว่า “พ่อ” แล้วท่านจะลงมาช่วย พระอาจารย์ไมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนอกจากคุณพ่อ คุณพ่อท่านให้เขียนคาถาเอาไปท่อง เพราะเหตุนี้ เวลามีคนเจ็บไข้ได้ป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ มาหาพระอาจารย์ไม ท่านเป่าให้ บอกหายคนนั้นก็หาย

เมื่ออายุได้ ๑๒-๑๓ ปี ท่านทำงานบ้านทุกอย่าง ช่วยแม่ตำข้าว ตักน้ำ ทำอาหาร และรับจ้างทุกอย่าง จนเก็บเงินซื้อควายได้ ๒ ตัว ตอนอายุ ๑๓ ปี (เปรียบเทียบกับคนอายุ ๖๐ บางคนยังซื้อควายไม่ได้เลย) ท่านเป็นคนที่ไม่กระตือรือร้นในการแต่งตัว ใส่เสื้อผ้าแบบไหนก็ได้ ไม่ชอบเที่ยวดูหนัง หรือร้องรำทำเพลง แต่รำกลอนเป็น เพราะพ่อสอนให้ พ่อเคยเป็นหมอลำเรียกโจทย์แจ้ ตอบปัญหาทางด้านประวัติศาสตร์ ธรรมะ ภาษาไทย บาลี มคธ พ่อสอนเก่งมาก พ่อสอนให้รำ เพราะว่าเป็นประวัติศาสตร์คำสอนในทางศาสนา

อายุ ๑๔ ปี คุณพ่อได้เสียชีวิตลง ก่อนเสียชีวิตพ่อป่วยอยู่เป็นปี วันนั้นท่านเฝ้าพ่ออยู่คนเดียว ประมาณบ่าย ๓ โมง พ่อสั่งว่าอีก ๓ วันพ่อจะตาย ให้เลี้ยงน้องให้โตก่อน แล้วบวชให้พ่อด้วย มีคำหนึ่งที่พ่อสั่งไว้ว่า ถ้าพ่อตายแล้วแม่คิดจะมีสามีใหม่ อย่าไปห้ามแม่นะ แต่อย่าให้สามีใหม่มารังแกน้อง อยู่มาอีกปีเศษ มีคนมาชอบแม่ ขอแต่งงาน แม่ถามว่าจะให้แม่แต่งงานหรือไม่ ก็ถามแม่ว่าจะแต่งทำไม แม่ว่าจะได้มาเลี้ยงน้อง ดูแลงานบ้าน พ่อเลี้ยงนั้นเป็นนักเลง เล่นการพนัน ชอบขโมยของมาเล่นการพนัน อยู่มาวันหนึ่ง น้องชายคนที่เกิดติดกันกับท่านพระอาจารย์ไม กลับมาจากโรงเรียน แม่บอกให้ไปไล่ควายจากทุ่งนากลับเข้าบ้าน แต่น้องชายไม่รีบไป แม่ก็บ่น พ่อเลี้ยงเสริมว่า ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ จะฆ่ามันให้ตาย แล้วพ่อเลี้ยงก็จับไม้ขว้างถูกใส่ส้นเท้าเป็นแผล น้องชายร้องไห้ ตอนนั้นพระอาจารย์ไมอายุ ๑๕ ปี เห็นพ่อเลี้ยงทำอย่างนั้นรู้สึกเสียใจมาก กลางคืนท่านฝนมีดยาว ๑๕ ซม. อยู่ ๓ วัน ๓ คืน คิดจะฆ่าพ่อเลี้ยง จะแทงตอนเขานอนหลับ แต่ก็คิดอีกว่า ฆ่าเขาแล้ว จะหนีอย่างไร เพราะตอนนั้นย้ายบ้านไปอยู่หนองบัวลำภู ซึ่งไกลจากบ้านเก่าที่ จ.อุดร ก็กลัวจะมีโทษ กลัวโดนจับ กลัวไม่ได้ดูน้อง ผ่านไป ๒- ๓ วัน จนยับยั้งสติอารมณ์ไว้ได้ เป็นจิตที่รักน้องมากที่สุด ไม่อยากให้ใครมารังแก

ต่อมา ญาติพี่น้องทางบ้านเก่าที่อุดรธานีพากันไปรับมาที่บ้านเกิด ซื้อไร่ ซื้อนาใหม่ พ่อเลี้ยงก็ตามมาอีก ก็ยังเล่นการพนันเหมือนเดิม ช่วงนั้นเดือนมีนาคม ชาวอีสานแต่ละบ้านจะจัดงาน มีงานบุญ มีเทศน์พระเวส กลางคืนมีมหรสพ หมอลำ ตอนเช้าตื่นสาย แม่ปลุกว่าไม่ไปไร่หรือ เพราะปกติต้องไปขุดไร่ ไถไร่ พวกเราตื่นสายประมาณโมงเศษ ๆ พอแม่บ่น พ่อเลี้ยงก็บ่น ทั้ง ๆ ที่พ่อเลี้ยงไม่เคยช่วยงานอะไรเลย พี่ชายคนที่เกิดติดกัน จึงชักปืน พระอาจารย์ไมก็ชักมีด พี่ชายคนโตก็มาห้าม พ่อเลี้ยงก็หนีไปตั้งแต่บัดนั้น ไม่กลับมาอีก

อายุ ๑๗ ปี ได้ไปช่วยงานญาติพี่น้อง ลุง น้า บ้าง ปลูกอ้อย ข้าวโพด ถั่วลิสง ปลูกผักขาย ส่วนมากเป็นน้าของแม่ซึ่งท่านเรียกพ่อใหญ่เพราะเขามีลูกเล็กช่วยงานยังไม่ได้

อยู่มาอายุ ๑๘ ย่าง ๑๙ ปี ลุงอยากให้มาบวช เพราะที่วัดไม่มีพระเณรมาบวช อีกอย่างเห็นสาว ๆ มาคุยเล่นด้วย แต่พระอาจารย์ไมมีจิตใจไม่คิดจะมีลูกเมีย ท่านชอบพูดเล่นกับผู้หญิงสาว ๆ ไม่คิดจะแต่งงาน แต่นิสัยจะรังเกียจผู้หญิงที่มาพูดให้ทางผู้ชาย แต่มีความคิดในใจว่า จะแต่งงานกับผู้หญิง ที่มีความรักจริง ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์สุจริต บริสุทธิ์ต่อเรา เราจะไม่ยุ่งเด็ดขาด ผู้หญิงที่จะมาแต่งงานกับพระอาจารย์ ถ้าไม่ได้แต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย จะไม่แตะต้องผู้หญิงคนนั้น ท่านมีความคิดเช่นนี้ ก็เลยมีความมั่นใจตนเองว่า จะไม่ล่วงเกินผู้หญิงคนใดทั้งสิ้น แต่ลุงไม่เชื่อว่าจะมีคนคิดแบบนั้น ลุงขอร้องให้บวช กลัวจะมีเมียก่อน ลุงเคี่ยวเข็ญทุกวัน สุดท้ายจึงตกลงใจบวช ตกลงไปเข้านาค ก่อนเข้านาคสัญญากับลุงว่า ถ้าหลานไปบวชออกพรรษาเมื่อไร ก็สึกเมื่อนั้น อย่าห้าม ก็เลยไปเข้านาค ๑ เดือน บรรพชาเป็นสามเณรไม เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๙ ที่วัดศิริวัฒนา จ.อุดรธานี

หลวงปู่ไม อินทสิริ ขณะบวชเป็นสามเณร เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๐๙

บวชได้ ๑ เดือน ๒๐ วัน ก็สามารถปฏิบัติจนรู้ธรรม เห็นธรรม สู้เป็น สู้ตาย ไม่หลับไม่นอนหลายวันหลายคืน ปฏิบัติจริงจังปฏิบัติเอาเป็นเอาตาย พอจิตเข้าถึงธรรมแล้ว จิตยึดมั่นอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านปฏิบัติไม่ท้อถอย อดทนต่อสู้ งานวัดไม่ว่าวัดไหน งานก่อสร้าง ศาลาการเปรียญ จะตั้งใจช่วยงานบวชเป็นสามเณรอยู่ ๒ พรรษา ระยะเวลาที่เป็นเณรอยู่นั้น ได้อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ กิจวัตรประจำวัน ตักน้ำจากบ่อเป็นน้ำสรงครูบาอาจารย์ ทุ่มหนึ่งสวดมนต์ทำวัตรเย็น ๒ ทุ่ม เดินจงกรม ๒ ทุ่มครึ่งนั่งสมาธิ ท่านมีความตั้งใจปฏิบัติอย่างเข้มงวด กวดขันมาโดยตลอด

ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๑๑ จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา เมื่ออุปสมบทแล้ว พระอาจารย์ไม อินทสิริ มีโอกาสได้ศึกษาธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์สายกรรมฐานที่เป็นศิษย์องค์สำคัญของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลายรูป อาทิ หลวงปู่ศรี อุจจโย , หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นต้น

พระอาจารย์ไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
หลวงพ่อไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

ปัจจุบันท่านพระอาจารย์ไม อินทสิริ ได้มาสร้างวัดป่าเขาภูหลวง ตั้งอยู่ที่ ตำบลระเริง อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา และพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
หลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

นับตั้งแต่ท่านพระอาจารย์ไม อินทสิริ ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในบวรพระพุทธศาสนา ท่านก็ได้ดำเนินเจริญตามรอยธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์ ในการประพฤติปฏิบัติธรรมและรักษาพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด ท่านจึงเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนอย่างไพศาล สมกับเป็นสงฆ์สาวกของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา เป็นสมณะผู้มุ่งสู่มรรคผลนิพพาน อุดมด้วยธรรมทานอย่างสิ้นสงสัย

ปัจจุบัน หลวงปู่ไม อินทสิริ ยังคงพำนักอยู่ที่วัดป่าเขาภูหลวง สิริรวมอายุได้ ๗๓ ปี พรรษา ๕๒ ในปี พ.ศ.๒๕๖๓

หลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
หลวงพ่อไม อินทสิริ วัดป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

โอวาทธรรม หลวงปู่ไม อินทสิริ

“กิเลสไปที่ไหนจะมีรอยร้าวไปเรื่อยๆ กิเลสมีรอยร้าวคอยเผาคอยจุดคอยยุแหย่ก่อกวนไปเรื่อย ถ้าเรื่องของธรรมมีเหตุมีผลทุกอย่าง เก็บความรู้สึกได้ดี คือ ผู้มีธรรม ไม่เหมือนผู้มีกิเลส ไม่เก็บละความรู้สึก โป้ง ๆ ป้างๆ ออกไปเลย ให้สมใจเจ้าของแล้วพอ นี่คือกิเลส”

“กายเราก็เปื้อนได้ ใจเราก็เปื้อนได้ กายเปื้อน เราล้างออกได้ แต่ใจเปื้อน เราล้างออกยาก ถ้าไม่รู้จักอุบายของการล้างใจ หากเราไม่รู้จักละมลทินใจ ก็จะมีความหนาเหมือนเราไม่อาบน้ำ ร่างกายก็จะยิ่งพอกขี้ไคลมากขึ้น ขี้ไคลในใจนี้ไม่มีผงซักฟอก หรือสบู่ชนิดใดล้างออกได้ ต้องเอาธรรมมาล้างชำระใจขอ”

“…การทำความดีเพื่อให้คนรัก ที่สำคัญมี ๒ ทาง คือ ทำความดีภานอก ๑ ทำความดีภายใน ๑ …การทำความดีภายนอกได้แก่ การทำบุญให้ทานรักษาศีล ตั้งใจสู้งานเพื่อครอบครัว ขยันทำงาน เพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ฯลฯ …การทำความดีภายในได้แก่ การเจริญสติบารมี การเจริญปัญญาบารมี ให้เด็ดขาดเกรียงไกร เพื่อก้าวขึ้นสู่บารมีธรรม ที่สูง ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป …นี้คือคุณงามความดีที่ลูกหลานควรทำ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุข แก่ตนเองและครอบครัว และพ่อแม่พี่น้อง ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต”

“…วิธีการเดินจงกรม เวลาฝ่าเท้าข้างขวา แตะลงถึงพื้น ให้บริกรรมว่า”พุท” เวลาฝ่าเท้าข้างซ้าย แตะลงถึงพื้น ให้บริกรรมว่า”โธ” เวลาเดินไปถึงหัวทางจงกรม ให้หมุนกลับทางขวา เวลาเดินไปถึงท้ายทางจงกรม ก็ให้หมุนกลับทางขวาเหมือนกัน ทำไมถึงต้องหมุนกลับทางขวา? เพราะการหมุนกลับทางขวา เป็นวิธีที่เป็นมงคล เพราะเข็มนาฬิกาและเวลา เราไปเวียนเทียน เราจะเดินอ้อมไปทางขวา แม้เส้นพระเกศาของพระพุทธเจ้า ก็ม้วนไปทางขวา จึงน้อมเอานิมิตนี้มาเป็นมงคล …หรือเวลาเดินจงกรม จะบริกรรม”พุทโธ”ถี่ๆอยู่ในใจ อยู่ตรงบริเวณ ท่ามกลางอกจุดเดียวก็ได้ …แล้วแต่อุปนิสัยจิตใจที่ชอบของแต่ละคน”

“ให้ตำหนิตัวเอง อย่าไปเที่ยวตำหนิคนอื่น ให้ดูตัวเอง อย่าไปเที่ยวดูคนอื่น ตำหนิตัวเองนี่ล่ะดี อย่าไปเที่ยวตำหนิคนอื่นมันบ่งบอกควมมืดดำในใจตนเองเห็นความผิดคนอื่นใหญ่โต ความผิดตนเองเล็กน้อย ใช้บ่ได้นะ แสดงว่าการปฎิบัติธรรมนั้นยังบ่ก้าวหน้า ถอยลงเหว ถ้ามีคนตำหนิ หรือ กล่าวโทษ ให้ร้ายเรา อย่าไปถือโทษโกรธเขานะ ให้แผ่เมตตาให้เขา แล้วกะขอบคุณเขา ที่เขาอุตส่าห์มีน้ำใจสอดส่องดูแล ถึงได้รู้ลึกตื้นหนาบางเกี่ยวกับเฮา แล้วกะน้อมนำคำที่เขาตำหนิ ติเตียน กล่าวโทษ ให้ร้าย มาพิจารณาวิเคราะห์ว่าคือคำเขาเว้าบ่ ถ้าคือคำเขาเว้ากะปรับปรุงตัวเอง ถ้าบ่แมนกะเฉยไป บ่ต้องไปโกรธเกลียดเขานะ ให้แผ่เมตตาให้เขา มีตะแนวดีนะที่เขาเห็นความสำคัญเฮา ถึงได้ตำหนิ ติเตียน กล่าวโทษ ให้ร้าย บ่มีแนวเสีย ว่าแต่เฮานี้อย่าได้เฮ็ดคือเขาเป็นพอ เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ที่จะมองเห็นคนอื่นเฮ็ดนั่นเฮ็ดนี้แล้วขัดหูขัดตาบ่ดี แต่ถ้าตัวเจ้าของเฮ็ดนั่นดีเริ่ดประเสริฐศรีถึงแม้จะเฮ็ดในสิ่งที่เคยเว้าให้เฮากะตาม เขากะต้องมีข้อแก้ตัวว่าเฮ็ดน้อยกว่าเฮา เฮาเฮ็ดหลายกว่าเขา เฮานี่ผิดเต็มๆส่วนเขานั้นบ่ผิด นั่น เห็นบ่ทางโลก ส่วนทางธรรม เผิ่นบ่คิดจังซั่น เผิ่นกลับนำมาพิจารณาไตร่ตรองแล้วนำมาปรับปรุงตนเอง เมตตานำสุขมาให้ ปล่อยให้เขาทุกข์ไปกับความคิดของเขา ปล่อยให้เขาทุกข์ไปกับการจับผิดคนอื่น ส่วนเฮากะขอบคุณเขา นำคำเขามาปรับปรุง แผ่เมตตาให้เขา ไผล่ะได้ประโยชน์ถ้าบ่แมนเฮา”