ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่โทน กันตสีโล
วัดเขาน้อยคีรีวัน อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี
หลวงปู่โทน กันตสีโล วัดเขาน้อยคีรีวัน พระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่สำคัญอีกองค์หนึ่งของจังหวัดชลบุรี
● ชาติภูมิ
หลวงปู่โทน กนฺตสีโล เกิดเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๖ ตรงกับวันจันทร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีกุน เบญจศก จุลศักราช ๑๒๘๕ ตรงกับ ร.ศ.๑๔๒ ที่ ต.วัดหลวง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี บิดาชื่อ “นายกิ่ม” และมารดาชื่อ “นางแดง เหลืองอ่อน”
โยมของท่านทั้งสองดำเนินอาชีพทางกสิกรรม เมื่อตอนเยาว์วัยมีอายุเข้าเกณฑ์เรียนหนังสือ ท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดเนินสังข์ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้าน จนกระทั่งจบชั้นประถมปีที่ ๔ อันเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน
อายุ ๒๑ ปี ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารเป็นเวลา ๒ ปี ประจำการที่กองกำลังพลทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อปลดประจำการแล้ว กลับไปช่วยครอบครัวทำนาเลี้ยงชีพตามปกติ
โดยอุปนิสัยใจคอของท่านแล้ว เป็นคนหนักแน่นอยู่ในศีลธรรมอันดี ยึดมั่นอยู่ในความกตัญญูกตเวทีเป็นที่ตั้ง เป็นที่ชื่นชมยินดีของบิดามารดาเป็นอภิชาตบุตรโดยแท้
● อุปสมบท
กระทั่งอายุได้ ๓๐ ปี เกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส จึงได้เข้าอุปสมบท ในวันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๕ ณ วัดเนินสังข์สฤษฏาราม ต.ไร่หลักทอง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี โดยมี พระครูพิสิฏฐ์ศาสนคุณ (หลวงพ่อทองหยิบ) เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการเอี่ยม วัดไร่หลักทอง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระป้อม วัดไร่หลักทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “กนฺตสีโล” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีศีลเป็นที่น่ายินดี”
หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้ว หลวงปู่โทน กันตสีโล หรือพระภิกษุโทนในขณะนั้น ได้อยู่จำพรรษาที่วัดเนินสังข์ฯ เป็นเวลา ๒ ปี ใน ๒ ปีนี้ ท่านต้องศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยอันเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตของผู้เป็นพระ จนท่านมีความรู้ความเข้าใจต่อพระธรรมวินัยดีแล้ว หลวงปู่โทนได้ย้ายมาอยู่ที่วัดบึงบน อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ที่วัดบึงบนนี้ หลวงปู่โทนท่านใช้เวลาให้กับการปฏิบัติทั้งหมด หลังจากที่ได้ศึกษาด้านปริยัติที่วัดเนินสังข์ฯ มาแล้ว
● การศึกษาเวทวิทยาคม
นอกจากนั้นแล้ว หลวงปู่โทน กันตสีโล ท่านยังได้ศึกษาเวทวิทยาคมมนตราคาถาต่างๆ อีกหลายแขนง ศึกษาทางแพทย์แผนโบราณคือ การเสกน้ำมันมนต์ประสานกระดูก ตลอดจนถึงการศึกษาทางไสยเวทเอาไว้ป้องกันคุณไสยซึ่งในสมัยก่อนมีกันมากไม่ว่าจะเป็นยาสั่ง เสกของเข้าท้อง ไม่ว่าจะเป็นตะปู หนังควาย หรือเส้นผม สมัยก่อนการจะฆ่าคนนั้นถ้าบุคคลนั้นมีวิชาทางคุณไสยเวทชนิดนี้แล้ว ไม่ต้องใช้อาวุธ มีด อาวุธปืนใดๆ เพียงแต่เสกยาสั่ง (สั่งตาย) เสกตะปู เสกหนังควายให้เข้าไปหาผู้ที่ต้องการให้เขาตาย แล้วเสกยาสั่งเพียงแต่สั่งให้ผู้นั้นไปกินอาหารหรือผลไม้ที่ผู้เสกๆสั่งเอาไว้ แล้ผู้นั่นไปกินของที่เขาสั่งไว้ ก็ตายได้เช่นกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถที่จำพิสูจน์สอบสวนได้เลย เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานให้เห็น ไม่รู้สาเหตุแห้งการตายหาฆาตกรไม่พบ นั่นคืออำนาจของวิชาคุณไสยหลวงปู่โทนได้ศึกษาวิชานี้ทั้งเรียนผูกและเรียนแก้ ทั้งนี้วิชาที่ท่านเรียนมานี้ มิได้มุ่งหมายเอาไว้ทำร้ายใครเป็นเพียงศึกษาเอาไว้เพื่อป้องกันตนเองและคอยเอาไว้ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น
การศึกษาวิชาคาถาอาคมนี้ หลวงปู่โทน กันตสีโล ได้รับการถ่ายทอดมาจาก หลวงพ่อทับ วัดหัวถนน ซึ่งอยู่ในอำเภอพนัสนิคมนั่นเอง หลวงพ่อทับเป้นพระสงฆ์ที่แก่กล้าด้วยคาถาอาคม มีพลังจิตที่เข้มขลัง อีกทั้งยังเป็นหลวงลุงโดย สายโลหิตด้วยหลวงพ่อทับนี้มีเพื่อนที่เป็นสหธรรมมิกอยู่ ๒ รูป คือ หลวงพ่อผุย วัดหน้าพระธาตุ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ซึ่งหลวงพ่อผุยท่านนี้เป้นพระเถระที่ทรงเวทวิทยาคมยอดเยี่ยมองค์หนึ่ง ซึ่งชาวชลบุรีรุ่นก่อนๆรู้จักกันดี ท่านจะเยี่ยมยอด ทางมหาอุดและอีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อเสือ วัดไผ่สามกอ จ.ฉะเชิงเทรา หลวงพ่อเสือนี้ท่านเก่งทางด้าน อยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะน้ำพระพุทธมนต์ของท่านชะงัดนัก ถ้าประพรมให้กับผู้ใดแล้ว อธิฐานจิตขอให้ได้รับผลสิ่งที่ตนปรารถนาก็จะสมมโนรสดังตั้งใจ ประชาชนทั่วไปที่เคารพศรัทธาท่านจะเรียกน้ำพระพุทธมนต์ของท่านว่า “น้ำมนต์สารพัดนึก”
หลวงปู่โทน ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านนี้ทั้งหมดจากหลวงพ่อทับจนหมดสิ้น จนเป็นที่ไว้วางใจของหลวงพ่อทับอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นหลานชายแท้ๆของท่านที่ท่านรักมาก หวังจะให้สืบต่อเวทมนต์คาถาวิทยาทั้งหมด และหลวงพ่อทับก็ไม่ผิดหวังที่ได้ลูกศิษย์ที่เป็นหลานโดยสายโลหิตสืบทอดวิทยาคมของท่านสมกับความตั้งใจ นอกจากนี้หลวงปู่โทน กนฺตสีโล ยังได้ฝากตัวลงเป็นศิษย์กับพระครูพินิจสมาจารย์หรือที่ชาวชลบุรีในอดีตรู้จักท่านดีในนามว่า “หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม’ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
หลวงพ่อโด่รูปนี้เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคู่กันมากับ “หลวงปู่เฮี้ยง วัดป่า” ในสมัยนับถอยหลังไปเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว สีผึ้งของหลวงพ่อโด่เป็นที่ขึ้นชื่อ ลือชาในทางเมตตา ค้าขายและทางเสน่ห์มหานิยมเป็นเลิศ ผู้เขียนสมัยยังเป็นเด็กอายุ ๑๒-๑๓ ขวบ อยู่ที่จังหวัดชลบุรี ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อโด่แล้ว จะมีผู้คนจากกรุงเทพฯไปหา ไปขอวัตถุมงคลของท่านกันมาก เรียกว่าหัวบันไดกุฏิไม่แห้งก็ว่าได้ หลวงปู่โทนให้ความเคารพนับถือหลวงพ่อโด่เป็นพระอาจารย์ผู้มีพระคุณรูปหนึ่ง และได้เคยศึกษาวิชาทำสีผึ้งจากหลวงพ่อโด่อีกด้วย
● วิชาอัฐิประสาน (ต่อกระดูก)
วิชาที่หลวงปู่โทนได้ศึกษาเพื่อจะนำมาไว้ใช้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เมื่อยามที่ประสบกับความเดือนร้อนก็คือ วิชาต่อกระดูก วิชาต่อกระดูกนี้ หลวงปู่ได้เรียนมาจากอาจารย์ ซึ่งท่านผู้นี้เป็นผู้มีวิชาต่อกระดูกเข้มขลังแก่กล้ามากสามารถต่อกระดูกที่หักให้ประสานกันทันทีที่ทาน้ำมันเสกคาถาเป่าลงไป ในขณะเดียวกันท่านก็จะเสกน้ำมันชโลมลงไปตรงกระดูกที่หักนั้น นวดไปพลางเป่าไปพลาง ชั่วระยะเวลาไม่กี่วันกระดูกที่ก็ประสานเป็นเนื้อเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์ หลวงปู่โทนได้ศึกษารับเอาวิชานี้เข้ามาไว้ช่วยเหลือเพื่อมนุษย์อยู่จนถึงทุกวันนี้
● ปฏิบัติธุดงค์วัตร
หลวงปู่โทนเมื่อเห็นว่าได้เล่าเรียนวิชาการๆไม่ว่าจะเป็นด้านปริยัติละคาถาอาคมพอสมควรแล้ว ขั้นต่อไปก็คือต้องทดสอบด้าน ปฏิบัติด้วยการออกเดินธุดงค์ เพื่อเป็นการฝึกฝนความแก่งกล้าของจิต และเพื่อให้เกิดสมาธิความสงบโดยอาศัยธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพรมาช่วยส่งเสริมความสงบของจิต ไม่ให้ฟุ้งซ่านไปสู่อารมณ์อื่น
หลวงปู่โทนได้ออกเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน เชียงราย และเข้าสู่ประเทศพม่าเพื่อไปกราบนมัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง พระมหาเจดีย์ทองคำที่สำคัญของพม่าเมื่อพอสมควรแก่เวลาแล้วก็เดินทางย้อนกลับเข้าสู่เมืองไทย
อาศัยอยู่ตามคามนิคมที่เป็นถ้ำและสะดวกต่อการภิกขาจารโปรดชาวบ้านตามกิจของสมณศากยบุตร แต่ท่านจะไม่ไปพักตามวัดอันจะไปเป็นภาระให้กับสมภารเจ้าวัดนั้นๆเสียเปล่า สู้เราโปรดชาวบ้านแล้วกลับไปบำเพ็ญเพียรตามป่าตามถ้ำจะดีกว่าเป็นการยกจิตเข้าสู่สมาธิได้ดีกว่าการอยู่ระคนด้วยหมู่คณะ ท่านอยู่ที่จังหวัดเชียงรายเป็นเวลา ๑ เดือนเศษ จากนั้นท่านได้เคลื่อนย้ายเดินทางเข้าสู่ประเทศลาวเข้าสู่เมืองไหหิน และเข้าสู่ประเทศเขมร ที่ประเทศเขมรนี้ท่านมีความลำบากมากกว่าทุกประเทศที่ผ่านมา เนื่องจากในขณะนั้นการเมืองของประเทศนี้มีความแตกต่างทางความคิดลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังมีความรุนแรง มีความคิดที่จะโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ พระสงฆ์ที่อยู่ในประเทศนี้จะโดนจับโดนตรวจค้นกันเป็นอันมาก บางองค์ก็โดนจับสึกให้เข้าประจำในกองทัพแดง ความเป็นอยู่ของมีความเป็นอยู่ที่ลำบากมาก แม้แต่ตัวหลวงปู่เองก็ยังโดนทหารป่าตรวจค้นจับกุม แต่เมื่อชี้แจงให้กับหน่วยทหารนั้นทราบว่าท่านเป็นพระสงฆ์จากประเทศไทย มุ่งการปฏิบัติธรรมธุดงค์วัตรอย่างเดียว มิได้ยุ่งกับการเมืองใดๆเลย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดทั้งสิ้น
เมื่อทหารฝ่ายนั้นได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าพระองค์นี้ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับผู้ใดแล้วจึงได้ปล่อยตัวพร้อมกันนั้นกลับให้ความคุ้มครองเสียอีก
เมื่อเป็นดังนี้ หลวงปู่เห็นว่าบ้านเมืองนี้มีความสะดวกและไม่สะดวกความปลอดภัย ท่านจึงเดินทางกลับสู่ประเทศไทยทางด้านจังหวัดปราจีนบุรี ทางด้านอำเภอสระแก้ว เขตติดต่ออรัญประเทศ (ปัจจุบันแยกเป็นจังหวัดสระแก้ว) เมื่อเข้าถึงเขตประเทศไทยแล้วก็ได้มีญาติโยมที่ศรัทธาได้นิมนต์ให้ขึ้นรถนำมาส่งที่จังหวัดชลบุรี อ.บ้านบึง อยู่พรรษา ณ วัดบึงบน รวมระยะเวลาทั้งหมดที่เดินธุดงค์ ๓๒ ปี ต่อมาท่านได้พิจารณาว่าอายุก็มากขึ้น กำลังวังชาเริ่มจะลดน้อยถอยลงแล้ว ควรที่จะอยู่ปฏิบัติธรรมกับที่ได้แล้ว ถ้าจะเป็นการเดินทางก็ขอเป็นจังหวัดใกล้ๆกับจังหวัดชลบุรีนี่แหละจะไม่ไปไกลๆอีกแล้ว
ด้วยเหตุ หลวงปู่โทน เมื่อมีเวลาว่างท่านจึงเดินทางไปสนทนาธรรมกับ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง เนื่องจากเป็นสหธรรมิกรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน เมื่อได้สนทนากันแล้ว หลวงปู่ทิมจึงแนะนำให้มาสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นที่ “เขาน้อย” ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นเนินเขาสูงมีป่าไม้เบญจพันธุ์ลำต้นใหญ่ขึ้นอยู่มากมาย เป็นที่เงียบสงบ โดยหลวงปู่ทิมเห็นว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรมและเจริญกรรมฐานเป็นอย่างมาก
● สร้างวัดขึ้นเป็นครั้งแรก
เมื่อสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น ณ ที่เขาน้อยแห่งนี้ หลวงโทนจึงได้ย้ายจากวัดบึงบนมาอยู่ที่เขาน้อยนี้เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๒ โดย ตอนแรกท่านได้อาศัยปักกลดนั่งสมาธิภาวนา ต่อมาชาวบ้านแถบนั้นเห็นจริยาวัตรศีลปฏิบัติของท่านจึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใส ได้ช่วยกันสร้างกุฏิไม้หลังเล็กๆขึ้นหนึ่งหลัง ถวายท่านเพื่อใช้เป็นที่เจริญสมณธรรม ต่อมาได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจนทางคณะสงฆ์โดยมหาเถรสมาคมอนุญาตให้ตั้งเป็นวัดประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา และแถลงการณ์คณะสงฆ์ตั้งชื่อเป็นวัดว่า “วัดเขาน้อยคีรีวัน” เป็นวัดโดยถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ มีเนื้อที่ครั้งแรกทั้งหมด ๘ ไร่ ขณะนี้กำลังก่อสร้างอุโบสถเพื่อประโยชน์ในการบำเพ็ญกุศล ทำสังฆกรรมอุปสมบทแก่กุลบุตรผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ในสมัยที่หลวงปู่ทิมยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ให้การสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับหลวงปู่โทนเสมอมา หลายครั้งที่ท่านเดินทางไปหาหลวงปู่ทิม ท่านจะพักค้างคืนอยู่ที่วัดละหารไร่อยู่เป็นเดือนบ้างสองเดือนบ้าง จึงจะกลับวัดเขาน้อยฯ หลวงปู่ทิมท่านจะแนะชีวิตการปลุกเสกพระเครื่อง เครื่องรางของขลังให้กับหลวงปู่โทน อีกทั้งยังมอบพระเครื่องรุ่นต่างๆของท่านให้กับหลวงปู่โทนนำกลับไปแจกแก่ผู้ร่วมทำบุญสร้างวัดที่วัดที่วัดเขาน้อยคีรีวันอยู่บ่อยๆครั้ง จนท่านจำไม่ได้ นับเป็นความกรุณาของหลวงปู่ทิมมากที่มีต่อวัดเขาน้อยคีรีวัน วิชาคาถาอาคมต่างๆที่หลวงปู่ทิมได้แนะนำอมรมสั่งสอนให้หลวงโทนนั้น หลวงปู่โทนเคยพูดกับผู้ใกล้ชิดว่า “เมื่อนำมาปฏิบัติตามก็ได้ผล อย่างที่หลวงปู่ทิมบอกไว้ทุกประการ”
ด้วยเหตุนี้จึงมีลูกศิษย์สายหลวงปู่ทิมได้ไปขออนุญาตสร้าง วัตถุมงคลต่างๆ ให้หลวงปู่โทนปลุกเสก และเมื่อนำไปกราบไหว้บูชาติดตัวได้รับประสบการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโชคลาภทางค้าขาย ทางด้านเมตตามหานิยม ทางด้านแคล้วคลาดมหาอุด เป็นที่เลื่องลือนัก วัตถุมงคลที่ขึ้นชื่อโด่งดังของหลวงปู่โทน กนฺตสีโล ก็มีเหรียญรูปเหมือน พระผง, ปลัดขิก, ตะกรุด, วัวธนู, ควายธนู, รูปล็อกเก็ต, หมูมหาลาภ, พระปิดตาเนื้อผง, พระปิดตาเนื้อว่าน ฯลฯ
เครื่องรางวัตถุมงคลของหลวงปู่โทน ปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ให้ประชาชนผู้ศรัทธาได้ประสบพบเห็นกันอยู่ เสมอๆ จนเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป
ดังนั้นทางวัดต่างๆ และหน่วยงานของรัฐ ถ้าจะจัดพิธีพุทธาภิเษกก็จะต้องนิมนต์ท่านเข้าพิธีนั่งปลุกเสก ได้แก่ วัดบวรนิเวศวิหาร วัดสุทัศน์เทพวราราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดประสาท วัดเลา หน่วยงานรัฐก็มีที่หอพระพุทธสิหิงค์ ชลบุรี หอพระพนัสบดี พนัสนิคมชลบุรี ทั้งสองสถานที่นี้จัดการปลุกเสกโดยทางราชการจังหวัดชลบุรี นอกจากนั้นยังมีหน่วยงานของรัฐอีกหลายแห่ง ที่จัดพิธีขึ้นแล้วจะต้องนิมนต์หลวงปู่โทนเข้าพิธีพุทธาภิเษกทุกครั้ง
● สร้างบารมีธรรมแห่งทิพย์อำนาจ
หลวงปู่โทน กนฺตสีโล แห่งวัดเขาน้อยคีรีวัน ท่านเป็นพระนักปฏิบัติ ตลอดชีวิตแห่งสมณเพศที่ดำรงมาจนปัจจุบันนี้เรียกได้ว่า “อยู่แต่ในป่ามาโดยตลอด” แม้แต่วัดที่ท่านได้ก่อตั้งขึ้นก็อยู่ในป่าในเขา ชื่อวัดจึงมีสร้อยต่อท้ายว่า “คีรีวัน” บ่งบอกอยู่ แปลความหมายได้ว่า “ป่าเขา” สมเด็จพระสัมมาสัพพุทธเจ้าทางประทานพุทธานุญาตให้พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ถือธุดงค์วัตร ๑๓ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง และ ๑ ใน ๑๓ ข้อนั้นมีข้อ “อยู่ป่าเป็นวัตร” เป็นข้อหนึ่งที่พระสงฆ์ยึดปฏิบัติมาโดยตลอด หลวงปู่โทนท่านก็ได้ถือเป็นวัตรปฏิบัติตลอดมา
หลวงปู่โทน ท่านท่านยังได้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คุณความดีนั้นไปสู่ประชาชนอีกด้วย อบรมสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี อยู่ในคุณธรรมของพระศาสนา วิชาความรู้ที่ท่าน มีก็นำออกมาช่วยเหลือประชาชนโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการนวดน้ำมันต่อกระดูก ปรุงยารักษาโรคด้วยการนำสมุนไพรในป่าเขาลำเนาไพรมาทำการรักษาพยาบาลกัน ทุกคนได้หายจากโรคภัยไข้เจ็บนั้นตามปรารถนา
● มรณกาล
หลวงปู่โทน กันตสีโล ท่านได้มรณภาพด้วยอาการอันสงบ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๑ ซึ่งการจากไปของท่านได้สร้างความเศร้าสลดโศกอาลัยเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ คณะศิษย์จัดงานฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๒
● ด้านวัตถุมงคล
หลวงปู่โทน กนฺตสีโล ท่านเป็นผู้ที่มีคนให้ความเคารนพนับถือโดยทั่วไป มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย จึงทำให้คนเหล่านี้มีความศรัทธาอยากไดวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังของท่านกันมาก ต่างก็มาขอกันอยู่ประจำ จึงทำให้หลวงปู่ต้องสร้างวัตถุมงคลเอาไว้แจก และให้ร่วมทำบุญสร้างอุโบสถ
วัตถุมงคลที่ท่านได้สร้างขึ้นเป็นรุ่นแรกและครั้งแรกก็คือ เหรียญรูปไข่ หน้าตรงครึ่งองค์ ห่มจีวร เฉวียงบ่าพาดสังฆาฏิตรง ขอบเหรียญด้านบนข้างหน้าเขียนไว้ว่า “หลวงพ่อโทน กนฺตสีโล”
เหรียญรุ่นนี้ เป็นเหรียญกลมรี หูเชื่อมด้านบน จัดสร้างเป็นเนื้อนวโลหะจำนวน ๒๐๐ องค์ และเนื้อทองแดงรมดำจำนวน ๒,๐๐๐ องค์
ด้านหลังเหรียญเป็นรูปยันต์สี่เหลี่ยมขมวดมุม มีเส้นตัดทแยงมุม ๒ เส้น ภายในเส้นยันต์มีอักษร ขอมเขียนไว้ ๔ ตัว อ่านได้ว่า “จะ ภะ กะ สะ” บนขอบเหรียญด้านบนเขียนว้าว่า “วัดเขาน้อยคีรีวัน อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี” ด้านล่าง “๒๕๒๒” อันหมายถึงปี พ.ศ. ที่สร้าง เหรียญดังกล่าว เป็นที่ปรารถนาของบรรดานักสะสมพระเครื่องและชาวเมืองชลบุรี
หลังการมรณภาพหลวงปู่โทน ทำให้คณะศิษย์และผู้ที่เลื่อมใสศรัทธา ต่างเสาะแสวงหาวัตถุมงคลของท่านมาเก็บไว้ในครอบครอง จนกลายเป็นเหรียญยอดนิยมในพื้นที่อีกเหรียญหนึ่งของเมืองชล
การสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงปู่ท่านจะใช้พลังจิต สมาธิ และคาถาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมาปลุกเสกประจุพลังลงไปในวัตถุมงคลนั้นอย่างแน่แน่ว มั่นคง ตามพิธีกรรมที่สืบทอดมาแล้วแต่โบราณ นอกจากนั้นแล้วสิ่งสำคัญเมื่อเสร็จพิธีกรรมข้างต้นแล้วต้องนำมาสวดสมโภชปลุกเสกให้เกิด “จิตวิญญาณ” ที่จะไปคุ้มครองบุคคลอื่นได้ คาถาที่จะสวดปลุกเสกให้วัตถุมงคลนั้นบังเกิดจิตวิญาณได้ต้องใช้ “พระคาถาพระธรรมจักกัปปวัตนสูตร”
อันเป็นพระคาถาปฐมเทศนาครั้งแรกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจนบังเกิดพระอริยสงฆ์มีขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกคือ “พระอัญญาโกณฑัญญะ” พระอัญญาโกณฑัญญะรูปนี้คือต้นแบบของ “พระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา” นั่นเอง พระคาถาปฐมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นครั้งแรกจึงเป็นพระคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ ที่พระเกจิอาจารย์ในปัจจุบัน ได้นำมาใช้สวนสมโภชวัตถุมงคลที่สร้างออกให้ประชาชนนำเอาไปติดตัวบูชา และวัตถุมงคลนั้นย่อมจะบังเกิดจิตวิญญาณออกไปคุ้มครองคนได้สมดังเจตนา