วันจันทร์, 31 มีนาคม 2568

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

วัดหินหมากเป้ง
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง

◎ ชาติกําเนิดและชีวิตปฐมวัย
พระราชนิโรธรังสี (เทสก์ เทสรํสี) มีนามเดิมว่า เทสก์ เรี่ยวแรง เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๕ ปีขาล ณ บ้านสีดา ตําบลกลางใหญ่ อําเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี บิดาชื่อ อุส่าห์ เรี่ยวแรง เดิมเป็นชาวอําเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย หนีความทุกข์ยากมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านนางิ้ว ตําบลกลางใหญ่ อําเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี มารดาชื่อ ครั่ง เป็นชาวพวน ได้อพยพหนีพวกโจรขโมยมาจากทุ่งย่างเมืองฝาง อําเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้สมรสกับนายอุส่าห์ มีบุตรธิดา ด้วยกัน ๑๐ คน ท่านเป็นคนที่ ๙ ตายตั้งแต่เด็ก ๒ คน เป็นหญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง เติบโตมาด้วยกัน ๘ คน ชาย ๔ คน หญิง ๔ คน

เมื่อเป็นเด็กอายุได้ ๙ ขวบ ได้เรียนหนังสือภาษาไทยกับพี่ชายซึ่งบวชเป็นพระกับเด็ก ๆ ด้วยกันกว่า ๑๐ คน และได้เรียนหนังสือประถม ก.กา มูลบทบรรพกิจ เรียนอยู่ปีกว่าพออ่านได้บ้าง แต่ยังไม่คล่อง แต่หนังสือสําหรับพระเณรเรียนในสมัยนั้น ซึ่งเขาเรียกว่า หนังสือธรรม (จาร เฉพาะธรรมะคําสอนของพระพุทธเจ้า) อ่านได้คล่อง ต่อมาพี่ชายสึกจากพระไม่มีใครสอนเลยเลิกเรียนกันทั้งหมด แล้วได้ออกจากวัดไปช่วยงานบิดามารดา จนอายุราว ๑๓-๑๔ ปี เกิดนิมิตความฝันว่า พระธุดงค์ไล่ตีด้วยแส้วิ่งหนีเอาตัวรอด กระทั่งวิ่งเข้าห้องนอนร้องให้บิดามารดาช่วยท่านทั้งสอง ก็เฉยอยู่เหมือนกับไม่มีเรื่องอะไร พระธุดงค์หวดด้วยแส้สะดุ้งตื่นเหงื่อโชกทั้งตัว ปรากฎรอยแส้ยังเจ็บแสบอยู่ หลวงปู่นึกว่าเป็นจริง ตื่นขึ้นมาจึงรู้ว่าเป็นความฝัน ต่อนั้นมาหลวงปู่ได้มีความคิดถึงเรื่องอาชีพของมนุษย์ที่กระทํากันอยู่ตั้งต้นแต่ฝนตกดินชุ่มฉ่ำ ลงมือทํานา และเรื่องอะไรจิปาถะ ตลอดถึงปีใหม่ ลงมือทํานาอีก อย่างนี้อยู่ตลอดชีวิต มาคิดเห็นว่าเกิดมานี้แสนทุกข์ลําบากจริงๆ ทํางานไม่มีเวลาหยุดยั้ง ซึ่งแต่ก่อนมาหลวงปู่ไม่เคยนึกคิดอย่างนี้เลยสักที มีแต่มัวเมาด้วยการเพลิดเพลินตามประสาคนชนบท

เมื่ออายุ ๑๖ ปี เจ้าคุณพระญาณวิสิษฐ์สมิทธิวีราจารย์ (พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม) ได้เดินรุกขมูล มาถึงวัดบ้านนาสีดา ตําบลกลางใหญ่ อําเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่อุปัฏฐากอยู่ จึงเป็นโอกาสดีที่หลวงปู่ได้มีโอกาสปฏิบัติพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม แต่เนื่องด้วยวัดเป็นป่าทึบไข้มาลาเรียชุกชุม พระอาจารย์สิงห์เป็นไข้อยู่ไม่ได้จึงได้ออกไปจําพรรษาที่อื่น และได้ชักชวนหลวงปู่ให้ไปจําพรรษากับท่านด้วย ออกพรรษาแล้วพระอาจารย์สิงห์ได้กลับเมือง อุบลฯ ซึ่งเป็นถิ่นเดิมของท่าน หลวงปู่ก็ได้ติดตามท่านไป โดยก่อนไปหลวงปู่ได้เอาดอกไม้ธูปเทียน ใส่ขันแล้วไปขอขมาโทษผู้เฒ่าผู้แก่ที่หลวงปู่คุ้นเคย ซึ่งท่านเหล่านั้นก็ให้ศีลให้พรให้สําเร็จตามความปรารถนาทุกประการ หลวงปู่เทสก์ได้ติดตามพระอาจารย์สิงห์ รอนแรมไปในป่าและบ้านเล็กบ้านน้อย บางครั้งผจญกับไข้ป่าซึ่งเมื่อเป็นไข้ก็พักนอนตามร่มไม้ ไข้ส่างแล้วก็เดินต่อไปพร้อมกันนั้นก็ ทําความเพียรภาวนาไปในตัว เป็นเวลาเดือนกว่าจึงถึงเมืองอุบลฯ หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเณรโดยมี พระอาจารย์ลุย บ้านดงเค็งใหญ่ เป็นพระอุปัชฌาย์ บรรพชาแล้วได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในปีที่มีอายุครบ ๒๐ และวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๖ จึงได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุ ณ วัดสุทัศน์ อําเภอเมืองอุบลราชธานี โดยมีพระมหารัฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ มี พระมหาปิ่น ปัญญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์

พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง

◎ ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่เทสก์ก็ได้จําพรรษาอยู่ที่วัดสุทัศน์นั้นเอง ในปีนั้น พระอาจารย์สิงห์ ได้กลับมาจําพรรษาที่เมืองอุบลอีก ออกพรรษาแล้วพร้อมด้วยพระมหาปิ่น ปัญญาพโล (น้องชาย ของท่านอาจารย์สิงห์) และพระอีกหลายรูปด้วยกันได้ออกเดินรุกขมูลไปในที่ต่างๆ เดินตัดลัดป่าดงมูลและดงลิงซึ่งเลื่องลือในสมัยนั้นว่าเป็นป่าช้าง ดงเสือ ผ่านจังหวัดร้อยเอ็ดและกาฬสินธุ์ ตลอดถึงจังหวัดอุดรธานี หลวงปู่เทสก์ได้ผจญภัยอันตรายและความยากลําบากต่างๆ แต่ก็ได้รับรสชาติ ของการออกเที่ยวรุกขมูล จนกระทั่งเดินทางถึงบ้านค้อ อําเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ได้พบท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต อยู่ ณ ที่นั่น ได้เข้าฟังธรรมเทศนาจากท่าน ได้รับความชื่นใจสงบสบายดี ได้พักอยู่กับท่าน ๒-๓ คืน จากนั้นท่านอาจารย์สิงห์ ได้พากลับไปจําพรรษาที่บ้านหนองลาด อําเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ในปีนั้นหลวงปู่เทสก์ได้ทําความเพียรอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีการทําความเพียรภาวนาตลอดวันค่ําคืนรุ่ง พร้อมกันนั้นก็ผ่อนอาหารฉันน้อย ที่สุดคือ ทําคําข้าวเหนียวเป็นคํา ๆ แต่ ๖๐ คํา ถอยลงมาโดยลําดับถึง ๓ คํา ฉันอยู่ ๓ วัน แล้วก็เพิ่มขึ้นโดยลําดับถึง ๕ คํา ฉันอยู่ได้ ๕ วัน ๑๐ คํา ฉันอยู่ได้ ๑๐ วัน ๑๕ คํา ฉันอยู่ได้ ๓ เดือน กับข้าวก็มีแต่พริกกับเกลือเท่านั้น ตลอดเวลา ๓ เดือน กิจวัตรเป็นต้นว่า บิณฑบาต ปัดกวาดลานวัด และหาบน้ํา ตลอดถึงอาจาริยวัตร ไม่ขาดสักวันจนกระทั่งออกพรรษาแล้วหลวงปู่มั่นได้เรียกตัวให้ไป พบเพื่อกิจของสงฆ์บางอย่าง หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ไม่ได้กลับไปจําพรรษากับพระอาจารย์สิงห์อีก

ในปี พ.ศ.๒๔๖๘ ซึ่งเป็นพรรษาที่ ๓ ของหลวงปู่ หลวงปู่ได้จําพรรษาที่บ้านนาช้างน้ํา ซึ่งไม่ไกลจากท่าบ่อที่ท่านอาจารย์มั่นอยู่ หลวงปู่เทสก์ได้หมั่นไปฟังเทศน์เสมอ ออกพรรษาแล้วท่านอาจารย์มั่น พร้อมด้วยคณะได้ออกเดินทางลงไปทางสกลนคร หลวงปู่เทสก์มีความคิดถึงโยมแม่ จึงได้กลับไปบ้านเพื่อสงเคราะห์โยมแม่และได้แนะนําให้ท่านนุ่งขาวรักษาศีล ๘ ซึ่งในครั้งนี้โยมป้าอาวผู้ชาย และพี่ชายก็เกิดศรัทธา ได้พากันนุ่งขาวรักษาศีล ๘ ด้วย หลังจากนั้นหลวงปู่เทสก์ได้รุกขมูลต่อไปอําเภอพรรณานิคม ซึ่งท่านอาจารย์สิงห์จําพรรษาอยู่ ณ ที่นั่น ต่อมาพระอาจารย์สิงห์ฯได้พาหมู่พระเณรไปตั้งสํานักสงฆ์ ที่บ้านอากาศอํานวยอยู่ไม่นาน ท่านพระอาจารย์มั่น ได้ตามไปถึง ท่านอาจารย์มั่นได้ให้หลวงปู่เทสก์ตามท่าน ไปตั้งสํานักสงฆ์ที่บ้านสามผง ที่นี้หลวงปู่ได้มีโอกาสถวายการปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่น โดยท่านได้ไปนอนที่ระเบียงกุฏิของท่านอาจารย์ คอยถวายการปฏิบัติท่าน และได้มีโอกาสปฏิบัติความเพียร เดินจงกรมทําความสงบฟังเทศน์จากพระอาจารย์มั่น ในพรรษาที่ ๖ พ.ศ.๒๔๗๑ โยมพ่อของหลวงปู่เทสก์ ซึ่งบวชเป็นชีปะขาวมาได้ ๑๑ ปี ได้มาอยู่จําพรรษากับหลวงปู่ที่ถ้ําพระนาฝักหอกทําให้เป็นโอกาสอันดีที่หลวงปู่เทสก์ได้มีโอกาสอุปการะโยมพ่อทางธรรม และโยมพ่อของท่านก็ได้ทําภาวนากรรมฐานอย่างสุดความสามารถของท่านและได้ผลอย่างยิ่ง จนโยมพ่อของท่านได้อุทานออกมาว่า

“ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตนี้พึ่งได้ซาบซึ้งในรสชาติของพระธรรมในครั้งนี้เอง”

โยมพ่อท่านนั่งภาวนากัมมัฏฐานได้นานเป็นเวลานานถึง ๓-๔ ชั่วโมงทีเดียว ซึ่งทําให้หลวงปู่ดีใจมากที่ได้สงเคราะห์ โยมพ่อสมเจตนารมณ์ ต่อมาในปีนั้นโยมพ่อของหลวงปู่เกิดอาพาธ หลวงปู่ได้คอยให้สติและอุบายต่าง ๆ จนเป็นที่พอใจ และถึงแก่กรรมด้วยอาการมีสติ สงบอารมณ์อยู่ตลอดจนหมดลมหายใจ หลังจากโยมพ่อของหลวงปู่ถึงแก่กรรม หลวงปู่ก็ได้อยู่คนเดียวได้วิเวกและได้กําหนดในใจว่า

“ชีวิต และเลือดเนื้อตลอดถึงข้อวัตรที่หลวงปู่ทําอยู่ทั้งหมด ขอมอบบูชาพระรัตนตรัยเหมือนกับบุคคลเด็ดดอกไม้บูชาพระฉะนั้น”

แล้วหลวงปูก็รีบเร่งปรารภความเพียรอย่างแรงกล้า ตั้งสติ กําหนดจิตมีให้คิดนึกส่งออกไปภายนอกให้อยู่ในความสงบเฉพาะภายในอย่างเดียว ตลอดวันยัง ค่ําคืนยังรุ่ง ก่อนจะนอนตั้งสติไว้อย่างไรตื่นมาก็ให้ได้อย่างนั้นหลวงปู่บอกว่า แม้บางครั้งนอนหลับ อยู่ก็รู้สึกว่าตัวเองนอนหลับ แต่ลุกขึ้นไม่ได้ พยายามให้กายเคลื่อนไหวแล้วจึงจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา โดยความเข้าใจในตนเองว่า จิตที่ไม่คิดนึกสงส่ายออกไปภายนอกสงบนิ่งอยู่ ณ ที่เดียวนั่นแล คือ ความหมดจดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ปัญญาก็เอามาใช้ชําระใจที่ส่งส่ายแล้วเข้ามาหาความสงบนั่นเอง ฉะนั้นจึงไม่พยายามที่จะใช้ปัญญาพิจารณาธาตุขันธ์อายตนะ เป็นต้น หาได้รู้ไม่ว่า

“กายกับจิตมัน ยังเกี่ยวเนื่องกันอยู่เมื่อวัตถุหรืออารมณ์อันใดมากระทบส่วนใดส่วนหนึ่งเข้าแล้ว มันจะต้องกระเทือนถึงกันทําให้ใจที่สงบอยู่แล้วนั้น หวั่นไหวไปตามกิเลสได้”

ออกพรรษาแล้วหลวงปู่เทสก์ได้ย้อนกลับไปหาพี่ชาย และ พระอาจารย์เสาร์ ที่นครพนม เนื่องจากได้ห่างจากหมู่เพื่อนและครูบาอาจารย์มาสองปีแล้ว ตั้งแต่พระอาจารย์เสาร์ และ ท่านอาจารย์มั่น พร้อมทั้งหมู่คณะจากท่าบ่อไป เมื่อไปอยู่ด้วยกับพระอาจารย์เสาร์ หลวงปู่เทสก์ก็ได้ช่วยท่านอบรมญาติโยม และในปีนั้นหลวงปู่ได้ขออาราธนาให้ท่านถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกทีแรกท่านก็ไม่ยอม พอหลวงปู่ อ้อนวอนอ้างถึงเหตุผลความจําเป็น เพื่อให้บรรดาศิษยานุศิษย์และลูกหลานยุคต่อไปได้มีโอกาสกราบไหว้เคารพบูชาท่านถึงได้ยอม ซึ่งนับเป็นประวัติการณ์ เพราะแต่ก่อนมาท่านไม่ถ่ายรูปเลย แต่กระนั้นหลวงปู่ก็ยังเกรงว่าท่านอาจารย์เสาร์ จะเปลี่ยนใจต้องรีบให้ข้ามไปตามช่างภาพมาจากฝั่งลาวมาถ่ายให้ หลวงปู่ดีใจมากถ่ายภาพท่านอาจารย์เสาร์ ได้แล้วได้แจกท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ และ ท่านพระครูสีลสัมปัน (ภายหลังได้เลื่อนเป็นเจ้าคุณธรรมสารมุนี) รูปท่านอาจารย์เสาร์ ที่หลวงปู่เทสก์ จัดการถ่ายครั้งนั้น ดูเหมือนจะเป็นรูปของท่านครั้งเดียวที่มีโอกาสถ่ายไว้ได้ แม้ท่านอาจารย์มั่น ก็เช่นเดียวกัน การถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกเป็นเรื่องที่ท่านปฏิเสธเสมอ เมื่อหลวงปู่อาราธนาอ้อนวอนบ่อย ๆ ท่านก็ว่า “ซื้อขนมให้หมากินดีกว่า” แต่เมื่อหลวงปู่อ้อนวอนชี้แจงเหตุผลหนักเข้า สุดท้ายท่านก็ใจอ่อน ทําให้เป็นบุญของคนรุ่นหลังๆ ที่ได้มีโอกาสมีรูปของท่านไว้กราบไหว้สักการะ

ปี พ.ศ.๒๔๗๕ นับเป็นพรรษาที่ ๑๐ ของหลวงปู่เทสก์ ท่านอาจารย์สิงห์ ได้เรียกให้ลูกศิษย์ที่อยู่ทางขอนแก่นลงไปโคราช หลวงปู่ซึ่งขณะนั้นได้ออกจากการจําพรรษาที่อําเภอพลและอยู่ที่อําเภอพล จึงได้ออกเดินทางพร้อมด้วยคณะไปพักที่สวนของหลวงชาญนิคม หลวงปู่ได้พาหมู่คณะจัดเสนาสนะชั่วคราวขึ้น ในเวลานั้นอากาศร้อนจัดมาก หลวงปู่ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ชอบอากาศร้อน แต่ก็ได้กัดฟัน อดทนต่อสู้ทําความเพียรไม่ท้อถอย สติที่อบรมดีแล้วของหลวงปู่สงบอยู่ตลอดทั้งกลางวัน และ กลางคืน วันหนึ่งจิตรวมอยู่อย่างน่าประหลาดใจ คือรวมใหญ่เข้าสว่างอยู่คนเดียว แล้วมีความรู้ชัดเจนจนสว่างจ้าอยู่ ณ ที่เดียวจะพิจารณาอะไรๆ หรือมองดูในแง่ไหนในธรรมทั้งปวงก็หมดความลังเลสงสัยในธรรมวินัยนี้ทั้งหมด คล้ายๆ กับว่า ถึงที่สุดแห่งธรรมทั้งปวงแล้ว แต่หลวงปู่ก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้น มีแต่ตั้งใจไว้ว่า “ไฉนหนอเราจะชําระใจของเราให้บริสุทธิ์หมดจด”

ในปี พ.ศ.๒๔๗๖ ซึ่งเป็นพรรษาที่ ๑๑ หลวงปู่ได้อยู่จําพรรษาที่วัดอรัญญวาสี ท่าบ่อ เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงปู่ได้ปรารภกับพระครูสีลขันธ์สังวร (หลวงปู่อ่อนสี) และชักชวนกันไปตามหาท่านอาจารย์มั่น ซึ่งขณะนั้นปลีกหมู่หนีความวุ่นวายไปอยู่จําพรรษาที่เชียงใหม่ หลวงปู่เทสก์กับพระครูสีลขันธ์สังวร (อ่อนสี สุเมโธ) ได้เข้าไปถึงพม่าไปถึงผาฮังฮุ้ง ซึ่งเป็นเขตแดนของเมือนปั่น ประเทศพม่า โดยเข้าใจว่า ท่านอาจารย์มั่น คงจะไปทางนั้น แต่ก็ไม่ปรากฏวี่แววว่าท่านได้ไปทางนั้น การเดินทางครั้งนั้นทําให้หลวงปู่ได้มีโอกาสไปไหว้พระธาตุปะหล่องซึ่งอยู่บนผาฮังกุ้ง ซึ่งหลวงปู่กล่าวว่า พระธาตุ นี้ขึ้นไปไหว้ยากที่สุด เพราะอยู่สูงบนผาฮังฮัง และทางขึ้นยากมาก หลังจากได้ไหว้พระธาตุปะหล่อง แล้วจึงได้กลับลงมาโดยเดินข้ามดอยอ่างขาง อําเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (ดอยอ่างขางนี้เดิมเขา เรียกว่า “ดอยมหาขาง” ซึ่งชาวบ้านเขาแปลว่า “ผีหวงที่สุด”) การเดินทางยากลําบากมากต้องเดินไปตามลําห้วยและหน้าผาชันมากจนได้เกิดอุบัติเหตุเดินพลาดก้อนหินล้มลง หินบาดฝ่าเท้าเป็นแผล เหวอะหวะ หลวงปู่ได้เอาผ้าอังสะพันแล้วเดินทางต่อไป จนกระทั่งถึงบ้านมโนราห์ มีชาวบ้านบอกว่า มีตุ๊เจ้าองค์หนึ่ง อยู่ที่ป่าเมียง, แม่ปั๋ง ชื่อตุ๊เจ้ามั่น หลวงปู่ได้ถามลักษณะท่าทีและการปฏิบัติก็แน่ชัด ว่าเป็นท่านอาจารย์มั่น แน่แล้วจึงได้ออกเดินทางต่อไปเพื่อพบท่านอาจารย์มั่น การเดินทางได้แวะ พักนอนที่ถ้ําดอกคําหนึ่งคืนแล้วเดินทางต่อจนถึงป่าเมียง แม่ปั๋ง ในเวลาบ่าย หลวงปู่เทสก์ และ พระครูสีลขันธ์สังวร (หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ) ตามไปถึงที่อยู่ของท่านอาจารย์มั่นราวบ่าย ๔ โมง ท่านกําลังเดินจงกรมอยู่พอท่านมองมาเห็นหลวงปู่เทสก์ท่านจําได้แม่นและเรียกชื่อหลวงปู่เลย หลังจากนั้นท่านอาจารย์มั่น ได้พักเดินจงกรมเดินเข้าไปนั่งในอาศรมของท่าน หลวงปู่เทสก์และพระครูสีลขันธ์สังวร (หลวงปู่อ่อนสี) ได้เข้าไปกราบนมัสการท่าน และกราบเรียนถามอุบายธรรมจากท่านอาจารย์มั่น ซึ่งท่านอาจารย์มั่นก็ได้เทศนาให้หลวงปู่ฟังเป็นใจความว่า

“ถ้าองค์ไหนดําเนินตามรอยของผมจนชํานิชํานาญมั่นคง องค์นั้นย่อมเจริญก้าวหน้า อย่างน้อยก็คงตัวอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าองค์ไหนไม่ดําเนินตามรอยของผม องค์นั้นย่อมอยู่ไม่ทนนาน ต้องเสื่อมหรือสึกไป ผมเองหากมีภาระมากยุ่งกับหมู่คณะการประกอบความเพียรไม่สม่ําเสมอ เพ่งพิจารณาในกายคตาสติไม่ละเอียด จิตใจก็ไม่ค่อยจะปลอดโปร่งการพิจารณาอย่าให้จิตหนีออกนอกกาย อันนี้จะชัดเจนแจ่มแจ้งหรือไม่ก็อย่าได้ท้อถอยเพ่งพิจารณาอยู่ ณ ที่นี้ละจะพิจารณาให้เป็นอสุภหรือให้เห็นเป็นธาตุก็ได้ หรือจะพิจารณาให้เห็นเป็นขันธ์หรือให้เห็น เป็นไตรลักษณ์ ได้ทั้งนั้น แต่ให้พิจารณาเพ่งลงเฉพาะเรื่องนั้นจริงๆ ตลอดอิริยาบททั้งสี่แล้ว ก็มิใช่ว่าเห็นแล้วก็จะหยุดเสียเมื่อไร จะเห็นชัดหรือไม่ชัดก็พิจารณาอยู่อย่างนั้นแหละ เมื่อพิจารณาอันใดชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยใจตนเองแล้ว สิ่งอื่นนอกนี้จะมาปรากฏชัดในที่เดียวกันดอก”

หลวงปู่เทสก์ได้น้อมนําเอาธรรมะนั้นมาปฏิบัติตาม ใช้เวลาปรารภความเพียรอยู่ด้วยความไม่ประมาท สิ้นเวลา ๖ เดือน โดยไม่มีความเบื่อหน่ายใจได้รับความสงบและเกิดอุบายเฉพาะตนขึ้นมาว่า

“ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นเพียงสักแต่ว่าเป็นธาตุสี่เท่านั้น แต่คนเราไปสมมติแล้วหลงสมมติตนเองต่างหาก มันจึงต้องยุ่งและเดือดร้อนด้วยประการทั้งปวง”

การได้อุบายครั้งนี้ทําให้ หลวงปู่เทสก์มีจิตหนักแน่นมั่นคงผิดปกติกว่าเมื่อก่อน ๆ มาก แล้วก็เชื่อมั่นในตัวเองว่า เดินถูกทางแล้ว แต่ก็ไม่ได้กราบเรียนท่านอาจารย์มั่น เพราะเชื่อในอุบายนี้ และคิดว่าจะกราบเรียนท่านอาจารย์มั่น เมื่อไรก็คงได้ในปีนั้นหลวงปู่ทั้งสามรูป (ท่านอาจารย์มั่น, หลวงปู่เทสก์, พระครูสีลขันธ์สังวร) ได้ อยู่จําพรรษา ณ ที่นั้น ในปีนั้นอากาศหนาวเย็นมากเป็นพิเศษ หลวงปู่จึงได้ทําโรงไฟให้ท่านอาจารย์มั่นนอน

พรรษาต่อมาหลวงปู่เทสก์ได้ลาท่านอาจารย์มั่นขึ้นไปจําพรรษาที่บ้านมูเซอร์ อําเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในที่นั้นไม่เคยมีพระไปจําพรรษาเลยสักที ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๘๑ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธัมมธโร) วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพฯ ได้สั่งให้หลวงปู่ไปเป็นสมภารที่วัดหมู่บ้านชาวมอญชื่อบ้านหนองดู่ เขตอําเภอปากบ่อง (อําเภอป่าซางปัจจุบัน) จังหวัดลําพูน ในพรรษานี้ หลวงปู่ได้เทศนาอบรมชาวมอญทั้งหมู่บ้านจนพวกเขาเลื่อมใสศรัทธาได้พากันสละผีมอญ เกือบทั้งหมดหมู่บ้านหันมานับถือพระไตรสรณคมน์ยังเหลืออีกก๊กหนึ่งจะหมดแต่หลวงปู่ไม่มีโอกาสอยู่ ได้ออกจากวัดบ้านหนองดู่ กลับมาภาคอีสาน ก่อนจะกลับได้ไปนิมนต์ท่านอาจารย์มั่น ให้กลับมาภาคอีสานอีกวาระหนึ่งซึ่งท่านอาจารย์มั่นได้บอกว่า “ดูกาลก่อน” หลวงปู่เทสก์ได้ลาท่านอาจารย์มั่นกลับ มาเพียงผู้เดียว ส่วนพระครูสีลขันธ์สังวร ยังอยู่ติดตามท่านอาจารย์มั่น ต่อไปหลวงปู่ได้เดินทาง กลับมาท่าบ่อ จังหวัดหนองคายและอยู่จําพรรษาที่วัดอรัญญวาสี

ระหว่างพรรษาที่ ๑๗-๒๕ (พ.ศ. ๒๔๘๒-๙๐) ณ ที่กลับมาอยู่วัดอรัญญวาสีได้ ๒ พรรษา คือระหว่าง ปี พ.ศ.๒๔๘๔-๒๕๕๕ หลวงปู่ ได้พาญาติโยมไปสร้างสํานักขึ้นที่ทิศตะวันตกของบ้านกลางใหญ่ ซึ่งยังคงเป็นสํานักถาวรมีพระเณรอยู่จําพรรษาตลอดมาทุกปีมิได้ขาดจนทุกวันนี้ ชื่อว่า “วัดนิโรธรังสี” ขณะที่หลวงปู่เทสก์อยู่จําพรรษาที่ วัดอรัญญวาสี ท่าบ่อ เป็นเวลานานครั้งแรกถึง ๕ ปี หลวงปู่ได้เล่าว่า เมื่อก่อนหลวงปู่ไม่สนใจในการก่อสร้างเพราะถือว่าเป็นเรื่องยุ่ง และไม่ใช่กิจของสมณะ ผู้บวชจําต้องประพฤติเฉพาะสมณกิจเท่านั้น แต่เมื่อมาอยู่ที่วัดนี้แล้ว มองดูเสนาสนะที่อยู่อาศัยล้วนแต่เป็นมรดกของครูบาอาจารย์ได้ทําไว้ให้อยู่ทั้งนั้น แล้วมาค้นคิดถึงพระวินัยบางข้อ ท่านอนุญาตให้บูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะได้ จึงเกิดความละอายใจว่า มานอนกินของเก่าเฝ้าสมบัติเดิมของครูบาอาจารย์แท้ๆ ต่อจากนั้นหลวงปู่จึงได้ เริ่มพาญาติโยมทําการก่อสร้างมาจนกระทั่งบัดนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ตามไม่ว่า ณ ที่ใด ๆ หลวงปู่เทสก์ไม่เคย ทําการเรี่ยไรมาก่อสร้างเลยด้วยละอายแก่ใจมีก็ทํา ไม่มีก็ไม่ทําแล้วก็ไม่ยอมติดในงาน ถึงงานไม่เสร็จ เมื่อทุนไม่มีก็ทิ้งได้โดยไม่มีเยื่อใย และขณะอยู่ที่วัดอรัญญวาสีที่อําเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ออกพรรษาเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๐ โยมมารดาของหลวงปู่ป่วยอยู่ที่บ้านนาสีดา ตําบลกลางใหญ่ หลวงปู่ก็ได้พยาบาลโยมมารดาด้วยธรรมโอสถและยาภายนอกจนสุดกําลังแต่เนื่องจากโยมมารดาอายุมากแล้ว ได้ ๘๒ ปี อาการจึงมีแต่ทรุดลง ๆ แต่ด้านจิตใจหลวงปู่ได้พยาบาลรักษาให้อยู่ในความสงบอย่างยิ่ง จนวาระสุดท้าย

ในปี พ.ศ.๒๔๙๑-๒๔๙๒ ซึ่งเป็นพรรษาที่ ๒๖-๒๗ หลวงปู่ได้ไปอยู่จําพรรษาที่เขาน้อย อ.ท่าแฉลบ จังหวัดจันทบุรี ซึ่งหลวงปู่ได้นิมิตเห็นภูเขาลูกนี้แล้วตั้งแต่อยู่วัดอรัญญวาสี ณ ที่นี้ หลวงปู่ได้ทําความเพียรและรู้สึกแปลกมาก คือได้ค้นธรรมที่ไม่เคยคิดและรู้ธรรมที่ยังไม่เคยรู้ลําดับ อุบายและแนวปฏิบัติได้ละเอียดถี่ถ้วน จนวางแนวปฏิบัติได้อย่างเชื่อตนเอง จึงได้เขียนหนังสือส่องทางสมถะวิปัสสนาเป็นเล่มแรก หลวงปู่ได้อยู่จําพรรษาที่เขาลูกนี้จนได้ข่าวอาพาธของท่านอาจารย์มั่น จึงได้ลาจากเขาน้อยไปเยี่ยมอาการไข้ของท่านอาจารย์มั่น จนท่านมรณภาพแล้วได้อยู่ทําฌาปนกิจศพของท่านจนเสร็จ หลังจากนั้นหลวงปู่ได้มาคิดถึงหมู่คณะว่าพระผู้ใหญ่ที่จะเป็นที่พึ่งของพระกรรมฐานไม่มีหลวงปู่จึงตั้งใจออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก เพื่อติดต่อกับพระผู้หลักผู้ใหญ่จนกระทั่ง ไปถึงจังหวัดภูเก็ต

ที่จังหวัดภูเก็ต หลวงปู่เทสก์ได้ผจญภัยอย่างร้ายแรง โดยพระท้องถิ่นเขาไม่อยากให้อยู่ ถูกเผากุฏิบางแห่ง จนกระทั่งถูกปาด้วยก้อนอิฐและขับไล่โดยประการต่างๆ ทางเจ้าคณะจังหวัดพังงาได้ขับไล่ให้หนีจากท้องถิ่นที่เขาปกครอง หลวงปู่ได้พยายามพูดความจริงให้ฟังว่า หลวงปู่มาเพื่ออบรมศีลธรรมและเผยแพร่ศาสนาอันเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง มิได้มาเบียดเบียนใคร ต่อมาผู้ช่วยสังฆมนตรีได้มีหนังสือไปต่อว่าเจ้าคณะจังหวัดพังงาด้วยประการต่าง ๆ เรื่องจึงสงบลง หลวงปู่ได้ไป อยู่จังหวัดพังงาหนึ่งพรรษา ต่อมาได้ขยับมาอยู่ที่เกาะภูเก็ต กระทั่งได้ ๑๕ พรรษา จึงได้ลาญาติโยม กลับมาภาคอีสาน การไปอยู่เกาะภูเก็ตเป็นเหตุให้พระท้องถิ่นและญาติโยมเปลี่ยนสภาพไปหลายอย่าง โดยเฉพาะการเทศนาและการบริหารนับว่าเป็นประโยชน์แก่พระท้องถิ่นมาก ตามประเพณีเดิม ชาวบ้านเขาเข้าหาพระและกราบพระต้องนั่งขัดสมาธิ (ขัด-สะ-หมาด) หลวงปู่ได้ไปสอนให้ทําความ คารวะโดยให้นั่งพับเพียบทําให้เรียบร้อยดีมาก หลวงปู่ได้สละทุกอย่างเพื่อประโยชน์แก่ชนชาวภูเก็ต และจังหวัดพังงาดังกล่าวแล้ว เมื่อกลับมาภาคอีสาน หลวงปู่พิจารณาเห็นว่าได้แก่ชรา เดินรุกขมูล มามากแล้ว ควรหาที่พักทําความเพียรภาวนาวิเวกเฉพาะตัว และเห็นว่าที่วัดหินหมากเป้ง เหมาะที่สุด จึงได้เข้ามาอยู่ที่วัดนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๘ เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้หลวงปู่ได้พัฒนาวัดให้เจริญไปเรื่อยๆ จนกระทั่งญาติโยมทางกรุงเทพฯ และหมู่บ้านใกล้เคียงรู้จักเข้าไปสนับสนุนช่วยกันทําถาวรวัตถุ จนสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงยกย่องให้เป็น “วัดพัฒนาตัวอย่าง การก่อสร้างวัดหรือถาวรวัตถุนี้ คําว่า “ขอ” หรือ “เรี่ยไร ไม่เคยออกจากปากของหลวงปู่แม้แต่คําเดียว สร้างอะไรขึ้นมาก็มีแต่ญาติโยมผู้มีศรัทธาบริจาคให้ทั้งนั้น นอกจากวัดหินหมากเป้งแล้ว ยังมี วัดสาขาของวัดหินหมากเป้งอีก คือ “วัดเทสรังสี” และวัด “ลุมพินี

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๐ หลวงปู่ได้ไปเผยแพร่ธรรมะที่สิงคโปร์ อินโดนีเซียและออสเตรเลีย พร้อมด้วยพระ ๓ องค์ ฆราวาส ๒ คน ตามคําชักชวนเป็นเวลา ๓ เดือนกว่า และได้กลับไปที่สิงคโปร์อีกครั้งหนึ่งและได้ไปพักที่เดิมอีกเป็นเวลานาน เพราะมีผู้อยากจะสร้างวัดที่นั่น แต่สถานที่ไม่เหมาะจึงไม่ได้สร้าง
หลวงปู่เทสก์ เทสร์สี ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆาธิการหลายตําแหน่ง เช่น เป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นเจ้าคณะอําเภอภูเก็ต-พังงา-กระบี่ (ธรรมยุต) และในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์ และในปี พ.ศ.๒๕๓๔ ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นชั้นราชฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฐ์ สถิต ณ วัดหินหมากเป้ง อําเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ปัจจุบันท่านมีอายุ ๙๑ ปี (นับถึงปี ๒๕๓๖) ดํารงตําแหน่งเจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

◎ ปัจฉิมบท
หลวงปู่เทสก์ เทสร์สี นับเป็นลูกศิษย์ ที่สําคัญยิ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต องค์หนึ่ง ท่านได้อุตสาหะปฏิบัติบําเพ็ญธรรมด้วยชีวิตเป็นเดิมพัน หลวงปู่เทสก์ ได้บําเพ็ญกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน และความเจริญมั่นคงแห่งพระศาสนา โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่าง ๆ และด้วยจิตใจที่แน่วแน่มั่นคง ผู้ที่ได้เคยกราบนมัสการท่านมักพูดในทํานองเดียวกันว่า ได้รับความอิ่มใจและเป็นบุญของเขาที่ได้มีโอกาสกราบนมัสการท่าน ทั้งนี้คงเป็นเนื่องจากบารมีธรรมที่หลวงปู่ได้ บําเพ็ญเพียรปฏิบัติมาและเมตตาจิต ที่หลวงปู่แผ่มายังบุคคลเหล่านั้นนั่นเอง หลวงปู่มักให้โอวาท และเทศนาธรรมแก่ญาติโยมอยู่เสมอมา หนังสือธรรมะที่หลวงปู่ เขียนขึ้นหรือหนังสือที่รวบรวม ธรรมเทศนาที่หลวงปู่แสดงในโอกาสต่าง ๆ เป็นหนังสือที่ให้คติธรรม เกร็ดธรรม แนะแนวทาง ปฏิบัติสําหรับผู้ฝึกหัดจิต และพระธรรมเทศนาสืบต่อตามคําสอนขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้อ่านแล้วสามารถปฏิบัติตามและสามารถเข้าใจศาสนาพุทธได้ดียิ่งขึ้น ผู้อ่านที่ปฏิบัติตามสามารถเห็น ธรรมได้ตามภูมิของตนอย่างแท้จริง ท่านสาธุชนทั้งหลายที่ตั้งใจจะกราบนมัสการท่าน สามารถ กระทําได้ ที่วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

◎ ธรรมโอวาท
หลวงปู่เทสก์ ให้ธรรมโอวาสแก่พุทธศาสนิกชนมากมาย เช่น

๑. ธรรม คือ ของจริงของแท้ เป็นแก่นของโลก ธรรม แปลว่า ของเป็นอยู่ทรงอยู่สภาพ ตามเป็นจริง เป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เรียกว่า ธรรมชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เป็นธรรม ทั้งนั้น เรียก ชาติธรรม ชราธรรม พยาธิธรรม มรณธรรม ทําไมจึงเรียกว่า ธรรม คือทุกๆ คน จะต้องเป็นเหมือนกันหมด (ธรรมเทศนาเรื่อง ธรรมะ)

๒. สมบัติที่มนุษย์ต้องการ ไม่ทราบว่าจะกอบโกยเอาไปถึงไหน ได้มาก็เพียงแต่เอาเลี้ยง ชีวิตเท่านั้น เลี้ยงชีวิตให้นานตายหน่อย นั่นละ ประโยชน์ของมนุษย์สมบัติเพียงแค่นั้นแหละ

๓. เราเกิดมาในโลกนี้ จะเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ต่าง ๆ ก็ตามเถอะ เรียกว่าอยู่ในแวดวงของมัจจุราชทั้งนั้น หรือเปรียบเหมือนกับอยู่ในคุกในตะราง (รอความตาย) ด้วยกันทุกคน จะทําอะไรอยู่ก็ตาม จะเป็นผู้ดีวิเศษวิโสเท่าไรก็ช่าง แม้แต่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า สรีระร่างกายของพระองค์ยังปล่อยให้พญามัจจุราชทําลายได้ แต่ตัวจิตของพระองค์เป็นผู้พ้นแล้ว ไม่ยอมให้มัจจุราชข่มขี่ได้เลย (ธรรมเทศนาเรื่อง มัจจุราช)

๔. ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นเพียงสักแต่ว่าเป็นธาตุสี่เท่านั้น แต่คนเราไปสมมติ แล้วหลงสมมติตนเองต่างหาก มันก็ต้องยุ่งและเดือดร้อนด้วยประการทั้งปวง (อัตตโนประวัติฯ)

๕. มนุษย์เราพากันสมมติ เรียกเอาตามความชอบใจของตนว่านั่นเป็นคน นั่นเป็นสัตว์ เป็นนั่นเป็นนี่ต่าง ๆ นานาไป แต่ก้อนธาตุนั้นมันก็หาได้รู้สึกอะไรตามสมมติของคนไม่ มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้นตามเดิม สมมติว่าหญิง ว่าชาย ว่าหนุ่ม ว่าแก่ ว่าสวย ไม่สวย ก้อนธาตุอันนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย หน้าที่ของมันเมื่อมาประชุมกันเข้าเป็นก้อนแล้ว อยู่ได้ชั่วขณะหนึ่งแล้วมันก็แปรไปตามสภาพของมัน ผลที่สุดมันก็แตกสลายแยกกันไปอยู่ตามสภาพเดิม ของมันเท่านั้นเอง (ธาตุ-ขันธ์ -อายตนะ สัมพันธ์)

๖. เมื่อเรามาฝึกหัดปฏิบัติธรรมจนเห็นเรื่องโทษของตนเองแล้ว ค่อยชําระสะสางให้มันหมดไป ๆ ก็จะเป็นคุณแก่ตนในอนาคตข้างหน้า ได้ชื่อว่าไม่เสียชาติที่เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ แล้วยังมาพบพระพุทธศาสนา และยังมาพบครูบาอาจารย์ที่สอนให้เราละกิเลสอีกด้วย (ธรรมเทศนาเรื่องแก่น ของการปฏิบัติ)

๗. แท้ที่จริงธรรมะคือตัวของเรานี้ทุกคนก็มีแล้วครบมูลบริบูรณ์ทุกอย่าง แต่เราไม่ได้สร้างสมอบรมให้เห็นธรรมะที่มันมีในตนของตน ธรรมะแทรกอยู่ในขันธโลกอันนี้ หากใช้อุบายปัญญา พิจารณากลั่นกรองด้วยวิธี ๓ อย่าง มีศีล สมาธิ ปัญญา ดังอธิบายแล้วธรรมะจะปรากฏในตัวของ ตน ๆ (ธรรมเทศนาเรื่องวิจัยธรรมออกจากโลก)

๘. การศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าจะให้เข้าใจถูกต้องแล้ว ต้องให้มีทั้งปริยัติคือ การศึกษา และปฏิบัติตามความรู้ที่ได้ศึกษามานั้นให้ถูกต้อง โดยเฉพาะการปฏิบัติ ถ้าไม่ยืนตัวอยู่ในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว จะไม่มีการถูกต้องอันจะให้เกิดความรู้ในสัจธรรมได้เลย มรรคปฏิปทา อันจะให้ถึงสัจธรรมนั้น ก็ต้องรวมศีล สมาธิ ปัญญา ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วปฏิเวธธรรม จึงจะเกิดขึ้นได้ (ธรรมเทศนา เรื่อง พุทธบริษัทจึงปฏิบัติตนเช่นไร)

๙. คนที่จะข้ามโอฆะได้ต้องมีศรัทธาเสียก่อน ถ้าไม่มีศรัทธาเสียอย่างเดียวก็หมดทางที่จะข้ามโอฆะได้ ศรัทธาจึงเป็นของสําคัญที่สุด เช่น เชื่อมั่นในกรรม เชื่อผลของกรรม ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว แต่ว่าศรัทธาอันนั้น เป็นเบื้องต้นที่จะทําทาน ถ้ามีศรัทธาแล้วไม่อดเรื่องการทําทาน อยู่ที่ไหนก็ทําได้ ทํามากก็ได้ ทําน้อยก็ได้ ไม่ต้องเลือกวัตถุในการทําทาน จะเป็นข้าว น้ํา อาหาร หมากพลู บุหรี่ ฯลฯ สารพัดสิ่งเป็นทานได้ทั้งหมด แม้แต่ใบไม้ ใบตอง ใบหญ้า ก็เป็นทานได้ เราทําด้วยความเชื่อมั่นว่า สิ่งนี้ทําไปแล้วจะเป็นประโยชน์แก่ผู้นั้น ๆ ก็อิ่มอกอิ่มใจขึ้นมาก็เป็นบุญ นั่นแหละ ศรัทธา มันทําให้อิ่มอกอิ่มใจ ทําให้เกิดบุญซาบซึ้งถึงใจทุกอย่างไม่ลืมเลย อันนั้นจึงเป็น เหตุเป็นปัจจัยให้ข้ามโอฆะ (ธรรมเทศนา เรื่องหลักการปฏิบัติธรรม)

๑๐. กายและจิตอันนี้เป็นบุญกรรมและกิเลสนํามาตกแต่งให้ เมื่อนํามาใช้โดยหาสาระมิได้ ถึงแม้จะมีอายุยืนนาน ก็ปานประหนึ่งว่าหาอายุมิได้ (คือไม่มีประโยชน์) สมกับพุทธพจน์ที่พระองค์ ตรัสว่า

โย จ วสฺสสตํ ชีเว อปสฺสํ อุทยพฺพยํ
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปสฺสโต อุทยพฺพยํ

แปลว่า บุคคลใดมีชีวิตอยู่ร้อยปี แต่เขามิได้พิจารณาเห็นความเกิดดับ (ของอัตภาพนี้) ผู้นั้นสู้ผู้เขามีชีวิตอยู่วันเดียว แต่พิจารณาเห็นความเกิดความดับไม่ได้ (ธรรมเทศนาเรื่องวันคืนล่วงไป ๆ)

๑๑. คนที่จะพ้นจากทุกข์ได้ พ้นจากโลกนี้ได้ พ้นจากกรรมได้ ก็เพราะใจอันเดียว จงยึดใจ ถือใจเป็นสําคัญ จะมาเกิดก็เพราะใจ เกิดแล้วจะมาสร้างกิเลสขึ้นก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ ถ้าใจไม่เป็นทุกข์ ใจไม่ยึดถือ ปล่อยทิ้งเสีย กายอันนี้ก็ไปตามเรื่องของกาย ใจก็เป็นตามเรื่องของใจ หมดเรื่องหมดราวกันที (ธรรมเทศนาเรื่องกรรม)

๑๒. หิริ โอตฺตปฺป นี้เป็นธรรมที่สําคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของศีล เป็นต้นตอของศีล ผู้จะมีศีลได้ ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือศีล ๒๒๗ ก็ตาม ต้องมีหิริ และโอตฺตปฺป ๒ อย่างนี้ เนื่องจากได้เห็นจิตของคน เห็นความนึกความคิดความปรุงของจิตของตน แล้วก็กลัวบาป ละอายบาป จึงไม่อาจจะทําความชั่วได้ ฉะนั้น ศีลก็บริสุทธิ์เท่านั้นเอง (ธรรมเทศนาเรื่อง เทวตานุสสติ)

๑๓. การภาวนา คือ การอบรมจิตใจให้มีความสงบ เป็นการชําระจิตใจให้สงบจากอารมณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นการละเอียดไปกว่าการรักษาศีลอีก จิตของเราถ้ายังไม่สงบตราบใดแล้วมันก็จะต้อง ยุ่งวุ่นวายอยู่ตราบนั้น เมื่อมาฝึกหัดภาวนา เห็นโทษ เห็นภัย ของความยุ่งความไม่สงบด้วยตนเองแล้ว เราก็จะพยายามทุกวิถีทางที่จะละความไม่สงบ เมื่อสิ่งใดที่ละได้แล้ว อารมณ์ใดที่วางได้แล้ว เราก็จะต้องรักษาไม่ให้สิ่งนั้น มันเกิดขึ้นมาอีก ไม่ใช่ว่าเราละได้แล้วก็แล้วไปเลยไม่ต้องคํานึงถึงมันอีก อย่างนั้นไม่ถูกต้อง เพราะมันอาจสามารถที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีก ถ้ามันเกิดมาทีหลังจะยิ่งร้ายกว่าเก่า (ธรรมเทศนาเรื่อง มาร)

๑๔. ฝึกหัดจิตให้เข้าถึงใจ วิธีปฏิบัติฝึกหัดกรรมฐานมีเท่านี้แหละ ใครจะฝึกหัดปฏิบัติอย่างไรๆ ก็เอาเถอะ จะภาวนาพุทโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ หรืออานาปานสติ ก็ไม่เป็นปัญหา คําบริกรรมเหล่านั้นก็เพื่อล่อให้จิตเข้ามาอยู่ในคําบริกรรม แต่คนที่เข้าใจผิดถือว่าตนดีวิเศษ โอ้อวดเพื่อนว่าของข้าถูกของเอ็งละผิด อย่างนั้นอย่างนี้อะไรต่าง ๆ นานา พุทธศาสนาแท้ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันต้องเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครผิดใครถูก เมื่อปฏิบัติถึงจิตรวมแล้ว จิตรวมเข้าไป เป็นอัปปนาแล้วหมดเรื่อง จิตรวมเข้าถึงอัปปนาแล้วถึงที่สุดของการทําสมาธิเท่านี้ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน (ธรรมเทศนาเรื่อง การปฏิบัติเบื้องต้น)

๑๕. การหัดภาวนาเบื้องต้น คือ หัดให้เข้าถึงจิตเป็นหนึ่ง หัดเบื้องต้นก็จริง แต่มันถึงที่สุดได้ คือ จิตที่สงบนิ่งเป็นหนึ่ง มันก็ถึงที่สุดแล้ว การฝึกหัดจิต หัดมากหัดน้อยเท่าไรก็ตาม ต้องการให้จิตเข้าถึงที่สุด คือ จิตเป็นหนึ่งเท่านั้น การฝึกหัดจิตไม่นอกเหนือไปจากจิตเป็นหนึ่ง ส่วนอุบายปัญญาที่จะเกิดขึ้น มันเป็นของเฉพาะบุคคล (ธรรมเทศนาเรื่อง แก่นของการปฏิบัติ)

๑๖. ขอจงตั้งใจทําให้จริงจัง และทําความเลื่อมใสพอใจในกัมมัฏฐานของตนให้แน่วแน่เต็มที่ ทํานิดเดียวก็จะเป็นผลยิ่งใหญ่ไพศาล เมื่อทําไปทุก ๆ วัน วันละนิดวันละหน่อย มันหากจะมีวันหนึ่งโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็น มันหากเป็นเอง คราวนี้ละเราจะประสบโชคลาภอย่างยิ่งอย่าบอกใครเลย ถึงบอกก็ไม่ถูกเป็นของรู้และซาบซึ้งเฉพาะตนเอง คําว่าภาวนาขี้เกียจและปวดเมื่อย แข้งขาจะหายไปเองอย่างปลิดทิ้ง จะมีแต่อยากทําภาวนาสมาธิอยู่ร่ําไป (ธรรมเทศนาเรื่อง ทุกข์)

๑๗. สติตัวนี้ควบคุมจิตอยู่ได้ ถ้าเผลอเวลาใดไปเวลานั้น ทําชั่วเวลานั้น จึงให้รักษาจิตตรงนั้นแหละ ควบคุมจิตตรงนั้นแหละ ให้มันอยู่นิ่งแน่วเป็นสมาธิภาวนา เข้าถึงในสงบนิ่งแน่วเฉยอยู่ ให้หัดตรงนี้แหละ พระพุทธศาสนาไม่ให้หัดอื่นไกล หัดตรงนี้แหละ ปฏิบัติศาสนาก็ปฏิบัติตรงนี้แหละ จะถึงศีล สมาธิ ปัญญา ก็ตรงนั้นแหละ… (ธรรมเทศนาเรื่อง เบื้องต้นของการปฏิบัติกัมมัฏฐาน)

๑๘. แก่นสารคือ จิตที่เป็นหนึ่ง จับเอาจิตที่เป็นหนึ่งให้ได้ ครั้นจับเอาจิตที่เป็นหนึ่งได้แล้วรักษาเอาไว้ให้มั่น ไม่ต้องเอาอื่นใดอีก เอาอันเดียวนั้นเท่านั้นเป็นพอแล้ว (ธรรมเทศนาเรื่อง แก่น ของการปฏิบัติ)

๑๙. จิตเป็นสมาธิแล้ว นั่นจึงจะมองเห็นธรรม คือ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และ ความตายได้ชัดเจน (ธรรมเทศนาเรื่อง ธรรมะ)

๒๐. จิตมันต้องเป็นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่หนึ่งแล้วก็ไม่ใช่จิต จิตเป็นหนึ่งกลายเป็นใจละ คราวนี้ ตัวจิตนั่นแหละกลายเป็นใจ อันที่นั่งเฉย ไม่คิดไม่นึก ไม่ปรุงไม่แต่ง ความรู้สึกเฉย ๆ นั่นแหละ มันกลายเป็นใจ จิตมันกลายเป็นใจ (ธรรมเทศนาเรื่อง วิธีหาจิต)

๒๑. ใครๆ ก็พูดถึงจิตถึงใจ จิตเป็นทุกข์ จิตเดือดร้อน จิตยุ่งวุ่นวายจิตกระวนกระวาย จิตกระสับกระส่าย มันเรื่องของจิตทั้งนั้นแหละ แต่ยังไม่เคยเห็นจิตสักที จิตแท้เป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ เมื่อไม่เห็นจิตไม่เห็นใจ มันก็ไม่มีโอกาสที่จะชําระได้ ต้องเห็นตัวมันเสียก่อน รู้จักตัวที่เราพูดถึงเสียก่อน พอเราเดือดร้อนเรายุ่งเหยิงหรือส่งส่ายเราก็แก้ตรงนั้นเอง (ธรรมเทศนาเรื่อง ความโง่ของคนโง่)

๒๒. นักฝึกหัดจิตทําสมาธิให้แน่วแน่ เป็นอารมณ์หนึ่งแล้ว จะมองเห็นกิเลสในจิตของตนเองทุกกาลทุกเวลาว่า มีกิเลสหยาบและละเอียดหนาบางขนาดไหนเกิดขึ้นที่จิต เกิดจากเหตุอะไร และจะต้องชําระด้วยวิธีอย่างไร จิตจึงบริสุทธิ์ผ่องใส ค้นหากิเลสของตนเองอยู่ทุกเมื่อกิเลสจะหมดสิ้นไป (ของดีมีในศาสนาพุทธ)

๒๓. การฝึกหัดสมาธิภาวนา คือ การตั้งสติอันเดียว ให้รู้ตัวอยู่เสมอ มันคิดมันนึกอะไร ก็ให้รู้ตัวอยู่เสมอ ยิ่งรู้ตัวชัดเจนเข้ามันยิ่งเป็นเอกัคคตารมณ์ นั่นแหละตัวสมาธิ (อนุสสติ ๑๐)

๒๔. รู้สิ่งอื่นไม่สามารถจะชําระจิตของตนได้ รู้จิตของเรานี่แหละจึงจะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ (อนุสสติ ๑๐)

๒๕. การฝึกหัดจิตนี้ ถ้าอยากเป็นเร็ว ๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็นมันก็ประมาทเสีย ไม่เป็นเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทําใจให้เป็นกลาง ๆ แล้วตั้งใจให้แน่วแน่ในกัมมัฏฐานที่เรายึดมั่นอยู่นั้น แล้วภาวนาเรื่อยไปก็จะถึงซึ่งความอัศจรรย์ขึ้นมาในตัวของตน แล้วจะรู้ชัดขึ้นมาว่าอะไรเป็นอะไร (อนุสสติ ๑๐)

๒๖. การเห็นจิตของเรานี่แหละดี มันคิดดีคิดชั่ว คิดหยาบ คิดละเอียด ก็รู้ดูจนกระทั่งมันวางลง ถ้าเห็นอยู่เสมอ ๆ แล้วก็วางหมด (อนุสสติ ๑๐)

๒๗. ปหานปธาน ให้เพียรดูที่จิตของเรานั่นแหละ การกระทําสิ่งใด ๆ ก็เกิดจากจิตเป็นคนบัญชา ถ้าจับจิตเห็นจิตอันนี้แล้ว จะรู้ได้ดีเห็นได้ชัด กายจะทําอะไรผิดหรือถูก ดีหรือชั่ว เป็นบุญ หรือเป็นบาป รู้ได้ดีทีเดียว เอาสติไปตั้งไว้ที่จิต คิดค้นอยู่ที่จิต เห็นใจเป็นผู้สั่งกายทําอะไรๆ เห็นอยู่ตลอดเวลา (ธรรมเทศนาเรื่อง เพียรละความชั่ว)

๒๘. ผู้ใดชนะข้าศึกคือ ตัวของเราคนเดียวได้แล้ว เป็นผู้ประเสริฐกว่าการชนะชนหมู่มาก นับเป็นพัน เพราะข้าศึกอันเกิดจากคนอื่นภายนอก เมื่อพ่ายแพ้ก็เลิกกันไปที แต่ข้าศึกภายในนี้จะแพ้หรือชนะอย่างไร ก็ยังต้องอาศัยกันอยู่อย่างนี้จนกว่าจะแตกดับจากกันไป ถึงแม้อายตนะภายใน มีตาเป็นต้นที่เราเห็น ๆ กันอยู่นี้ เมื่อหลับเสียแล้วก็ไม่เห็น แต่อายตนะของใจอีกส่วนหนึ่งนั้นซีตาบอดแล้ว หูหนวกแล้ว มันยังได้เห็นได้ยินอยู่ กายแตกดับแล้วใจยังมีอายตนะได้ใช้บริบูรณ์ดี ทุกอย่างอยู่ และนําไปใช้ได้ทุก ๆ สถานตลอดภพภูมินั้น ๆ ด้วย ฉะนั้น เมื่อเราจะเอาชัยชนะข้าศึก ภายในจึงเป็นการต่อสู้อย่างยิ่ง (ธรรมเทศนาเรื่อง พละ ๕)

๒๙. ผู้ที่ยอมตัวมารับเอาศีลไปไว้เป็นเครื่องปฏิบัติ จะเป็นศีล ๕-๘-๑๐-๒๒๗ ก็ตามได้ชื่อว่าเป็นผู้เริ่มต้นปฏิบัติศาสนะพรหมจรรย์ เข้าไปทําลายบ่อนรังข้าศึกอันมีอยู่ในภายในใจของตนแล้ว (ธรรมเทศนาเรื่อง สติปัฏฐานภาวนา)

๓๐. หากจะเรียกกายใจของคนเรานี้ว่า ตู้พระธรรมก็จะไม่ผิด (ธรรมเทศนาเรื่อง สติปัฏฐานภาวนา)

๓๑. ธรรมเทศนาที่ท่านพูดที่ท่านสอนธรรมะนั้น ท่านสอนตรงนี้ คือสอนให้พิจารณากายกับใจตรงนี้ ไม่ได้สอนที่อื่น สอนเข้าถึงตัว สอนให้เห็นของจริงในกายตนที่จะพ้นทุกข์ได้ก็เพราะ เห็นของจริงตรงนี้ จะถึงมรรคผลนิพพาน ฌาน สมาบัติ ก็ตรงนี้แหละ ไม่ใช่อื่นไกลเลย เห็นเฉพาะในตัวของเรา ถ้าไปเห็นของอื่นละไม่ใช่ (ธรรมเทศนาเรื่อง ธรรม)

๓๒. ตัวจิตหรือตัวใจอันนี้แหละไม่มีตนมีตัว ถ้าเรารู้เรื่องจิตเรื่องใจเสียแล้ว มันง่ายนิดเดียว ฝึกหัดปฏิบัติกัมมัฏฐานก็เพื่อชําระใจ หรือต่อสู้กับกิเลสของใจนี้ ถ้าไม่เห็นจิตหรือใจแล้วก็ไม่ทราบว่า จะไปต่อสู้กับกิเลสตรงไหน เพราะกิเลสเกิดที่ใจสงครามไม่มีสนามเพลาะ ไม่ทราบว่าจะรบอย่างไรกัน ต้องมีสนามเพลาะสําหรับยึดไว้เป็นที่ป้องกันข้าศึก มันจึงค่อยรู้จักรบ รู้จักแพ้ รู้จักชนะ ขอให้พากันพิจารณาทุกคน ๆ เรื่องใจของตน เวลานี้เราเห็นใจแล้วหรือยัง ใจหรือจิตของเรานั้นมันอยู่ที่ไหน มีอาการอย่างไร (ธรรมเทศนาเรื่อง กิเลส)

๓๓. ความจริงกิเลสไม่มีตนมีตัว ไม่ได้เอาไปละที่ไหน หรือเอาไปทิ้งให้ใคร เป็นการละออกจากใจของตนเอง (ธรรมเทศนาเรื่อง เพียรละความชั่ว)

๓๔. บ่วงของมารได้แก่อะไร อาการของจิตที่เที่ยวไปตามอารมณ์นั้น ย่อมมีทั้งอารมณ์ดี และอารมณ์ร้าย จึงต้องมีความสุขบ้างทุกข์บ้างเป็นธรรมดา ตามวิสัยของปุถุชนจิตที่เที่ยวไปนั้นจะ ต้องประสบของ ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ซึ่งเรียกว่า กามคุณ ๕ พระพุทธเจ้า ตรัสว่าเป็นบ่วงของมาร

จิตของปุถุชนทั้งหลายเมื่อเที่ยวไปประสบอารมณ์ทั้ง ๕ นั้นหรือเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งทําให้ เกิดความยินดีพอใจก็ดี หรือเกิดความเสียใจเป็นทุกข์ก็ดี เรียกว่าเข้าไปติดบ่วงของมารแล้ว คําว่า “ติด” ในที่นี้ หมายความว่า สลัดไม่ออก ปล่อยวางไม่ได้ บ่วงของมารผูกหลวม ๆ แต่แก้ไม่ได้ ถ้าดินก็ยิ่งแต่จะรัดแน่นเข้า

จิตที่สํารวมได้แล้วจะพ้นจากบ่วงของมารได้อย่างไร ปุถุชน เบื้องต้นเมื่อเห็นโทษภัยในการ เข้าไปติดบ่วงของมารแล้ว จึงต้องพึงสํารวมในอายตนะทั้งหลาย มีตา หู เป็นต้น พระทศพลสัมมา สัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ใครสํารวมจิตได้แล้ว จักพ้นจากเครื่องผูกของมารดังนี้

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นโคจรที่เที่ยวแสวงหาอารมณ์ของจิต เมื่อเราปิดคือ สํารวมมีสติระวังอย่าให้จิตหลงไปในอารมณ์ทั้ง ๖ นั้นได้แล้ว เป็นอันว่ามารผูกมัดเราด้วยบ่วงไม่ได้ (ธรรม เทศนา เรื่องสังวรอินทรีย์)

๓๕. ผู้ฝึกหัดปฏิบัติรู้เข้าใจเรื่องเหล่านี้ตามเป็นจริงว่า วิสัยของอายตนะทั้งหกนั้น มีชอบ กับไม่ชอบเท่านั้น แล้วปล่อยวางเสีย ไม่ไปยึดเอามาเป็นอารมณ์ จิตก็จะกลายมาเป็นใจเฉยอยู่กลางๆ นั่นแหละจึงเป็นธรรมเห็นธรรม ไม่เป็นโลกอยู่เหนือโลกพ้นจากโลก (ธรรมเทศนาเรื่อง จิตเหนือโลก)

๓๖. การทําจิตไม่ให้หมุนไปตามอายตนะหก คือ ปรุงแต่งส่งสายไปตามอารมณ์ต่างๆ นั้น เป็นการหักกงกําแห่งล้อของวัฏจักร นักปฏิบัติผู้ฝึกหัดได้อย่างที่อธิบายมานี้ ถึงหักกงกําแห่งวัฏจักร ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราว ก็นับว่าดีอักโขแล้ว ดีกว่าไม่รู้วิธีหักเสียเลย (ธรรมเทศนา เรื่อง จิตเหนือโลก)

๓๗. ผู้ฝึกจิต ถ้าทําจิตให้มีอารมณ์หลายอย่าง ก็จะสงบไม่ได้ และไม่เห็นสภาพของจิตตามเป็นจริง ถ้าทําให้จิตดิ่งแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียวแล้ว จิตก็มีกําลังเบ่งรัศมีแห่งความสว่างออกมาเต็มที่ มองสภาพของจิตตามเป็นจริงได้ ว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นกิเลส อะไรเป็นของควรละ (ธรรมเทศนาเรื่อง สมบัติอันล้ําค่า)

๓๘. ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ฉะนั้นผู้ถือว่าเราถึงธรรมได้ ธรรมชั้นนั้นชั้นนี้ ผู้นั้นยัง มีความอยากอยู่ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ถึงธรรมได้อย่างไร (ของดีมีในศาสนาพุทธ)

๓๙. คนเราเกิดมาเหมือนกับไปยืมของคนอื่นเขามาเกิด ตายแล้วก็ส่งกลับคืนมาเกิดอีกก็ ยืมมาใหม่ ดังนี้อยู่ไม่รู้จบรู้สิ้นสักที ขออย่าลืมผู้ไปยืมของเขามาเกิดยังมีอยู่ จึงต้องยืมของเขาร่ําไป ไม่มีที่สิ้นสุด (ของดีมีในศาสนาพุทธ)

๔๐. ความสละเด็ดเดี่ยว ปล่อยวางสิ่งสารพัดทั้งปวงหมดเหลือแต่ใจ อันนั้นเป็นของดีนัก ความสละความตายเลยไม่ตายซ้ํา เลยมีอายุยืนนาน ถึงเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรต่างๆ ก็ทอดทิ้งหมด เลยกลับเป็นของดี ที่เป็นห่วงทั้งนั้นอยู่ในเรื่องความเจ็บความป่วย อันนั้นป่วยก็ไม่หาย สมาธิก็ไม่เป็น นั่นแหละเป็นเหตุที่ไม่เป็นสมาธิ เราจะทําอะไรต้องทําให้จริงๆ ซี (อนุสสติ ๑๐)

๔๑. จิตของคนเราเป็นของใสสะอาดมาแต่เดิม เหตุนั้นขัดเกลากิเลสออกหมด มันจึงเห็นความใสสะอาด จึงเรียก ปภสฺสรมิทํ จิตฺต (ธรรมเทศนาเรื่องวิธีหาจิต)

๔๒. วิปัสสนาจริงแล้วไม่ต้องคิดต้องนึกไม่ต้องปรุงแต่ง มันเป็นเอง มันเกิดของมันต่างหาก เมื่อมันเกิดแล้วจะต้องชัดแจ้งประจักษ์ในพระไตรลักษณญาณด้วยตัวของตนเองต่างหาก

๔๓. เมื่อปัญญาวิปัสสนาเกิดขึ้นในขณะจิตเดียวนั้นสิ้นสงสัยในธรรมทั้งหลาย เห็นสรรพสัตว์ในโลกเป็นสภาพอันเดียวกันหมดเลย ไม่มีต่ํา ไม่มีสูง ไม่มีน้อย ไม่มีใหญ่ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย มีแต่ธาตุ ๔ เกิดขึ้นแล้วดับไปเท่านั้น (ธรรมเทศนาเรื่อง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร)

๔๔. ปัญญาวิปัสสนา คือเห็นสิ่งทั้งปวงหมด เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งเหล่านั้น เป็นของไร้สาระ เป็นโทษเป็นทุกข์ เป็นภัยอันตรายแก่จิตใจ จึงปล่อยวางทอดธุระในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น อันนี้เป็นปัญญาอันวิเศษสูงสุด เพราะคนจะพ้นจากโลกได้ก็เพราะเห็นที่สุดของโลก คือ ได้แก่เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ธรรมเทศนาเรื่อง หลักการปฏิบัติธรรม)

๔๕. ขอให้มีศรัทธา ทําทานไปเรื่อย ทั้งทานภายนอก ทานภายใน รักษาศีล คือรักษากาย วาจา และใจ ให้มันเป็นปกติ หรือรักษาจิตนั่นเอง คอยมีสติปกครองจิตใจ สิ่งใดไม่ควรคิดก็ไม่คิด สิ่งใดไม่ควรพูดก็ไม่พูด สิ่งใดไม่ควรทําก็ไม่ทํา เพราะเรามีสติรู้อยู่ว่าเราเป็นผู้มีศีล (ธรรมเทศนา เรื่อง สติควบคุมจิต)

๔๖. ผู้มีศรัทธา มีความเพียรด้วย และมีความอดทน กล้าหาญ ประกอบด้วยปัญญาประกอบ ด้วยความเพียร รักษาความดีนั้น ๆ ไว้ติดต่อกันอย่าให้ขาด นั่นแลจึงสามารถขจัดกิเลสสานสัยให้ หมดสิ้นไปได้ (อัตตโนประวัติฯ)

๔๗. ท่านผู้ที่หายจากโรคอันเกิดจากใจได้แก่ผู้สิ้นกิเลสแล้ว ถึงแม้โรคในกายของทานจะยังปรากฏอยู่ ก็เป็นแต่อาการความรู้สึก หาได้ทําใจของท่านให้กําเริบไม่ เพราะโรคใจของท่านไม่มีแล้ว สมุฏฐานคืออุปาทานของท่านได้ถอนหมดแล้ว ฉะนั้นท่านจึงมีความสุขและได้ลาภอย่างยิ่งในความ ไม่มีโรค (ธรรมเทศนาเรื่อง โรค)

๔๘. ทําทานมีมากมีน้อยก็ต้องทําด้วยตนเอง รักษาศีลก็โดยเฉพาะส่วนตัวแท้ ๆ ใครรักษา ศีลให้ไม่ได้ ทําสมาธิยิ่งลึกซึ้งหนักแน่นเข้าไปกว่านั้นอีก แต่ละคนก็ต้องรักษาจิตใจของตนๆ ให้มีความสงบหยุดวุ่นวายแส่ส่าย ถ้าเราไม่รู้จักวิธีทําสมาธิแล้วก็ทําสมาธิไม่เป็น จิตใจก็เดือดร้อนดิ้นรนเป็นทุกข์ เหตุนั้นจึงว่า การทําทาน รักษาศีล ทําสมาธินี้เป็นกิจเฉพาะส่วนตัว ทุก ๆ คนจะต้องทําให้ เกิดมีขึ้นในตน (ธรรมเทศนาเรื่อง หลักศาสนา)

๔๙. ความเป็นเศรษฐีมีจนคนอนาถา ก็มิได้เป็นอุปสรรคแก่การจับจ่ายอริยทรัพย์ของผู้มีศรัทธาปัญญา ฉะนั้นอริยทรัพย์จึงเป็นของมีคุณค่าเหนือกว่าทรัพย์ทั้งปวง (อัตตโนประวัติฯ)

๕๐. บุญกุศลที่สร้างสมถึงที่แล้วมันจะหมดเรื่อง ไม่มีอะไรอีก และไม่เอาไปด้วย บาปก็ไม่เอา บุญก็ไม่เอา ผู้ที่ยังเอาอยู่จึงได้บุญได้บาป เป็นภพเป็นชาติขึ้น ผู้ทอดธุระแล้ว ไม่มีบุญและบาปแล้ว จึงได้เรียกว่า โลกุตระ เหนือโลก (ธรรมเทศนาเรื่องจิตที่ควรช่ม-ควรข่มขู่-ควรละ)

เจดีย์พิพิธภัณฑ์อัฐบริขารหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ณ วัดหินหมากเป้ง
เจดีย์พิพิธภัณฑ์อัฐบริขารหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ณ วัดถ้ำขาม บ้านคำข่า ตำบลไร่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
อัฐิธาตุหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
งานบำเพ็ญกุศลครบรอบ ๒๖ ปี หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วันที่ ๑๗-๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๓ ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย