ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร
วัดประชาชุมพลพัฒนาราม
บ้านหนองใหญ่ อ.เมือง จ.อุดรธานี
พระกรรมฐานยุคก่อนโน้น ในสายของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แล้ว นับได้ว่า..มีความกว้างขวางและออกประกาศธรรมะได้ผลเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ถ้าแม้เป็นการเผยแพร่โดยลําพัง หลวงปู่มั่นเพียงองค์เดียวก็คงยากแก่การนําความ สําเร็จมาสู่วงการพระพุทธศาสนา
ก็ด้วยเหตุนี้ เราผู้เกิดมาที่หลัง จึงต้องสดับตรับฟังจากคณะศิษย์ของท่าน ซึ่งได้มีบทบาท สําคัญในการแจกแจงธรรมะ และเผยแพร่พระธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้า
ด้วยการกระทําให้เกิดทานบารมีให้การรักษาศีล เพื่อความบริสุทธิ์เป็นบารมี
ให้กระทําสมาธิ จิตใจจะได้ แน่วแน่ มีความมั่นคง และให้กระ ทําขั้นวิปัสสนาเกิดปัญญาธรรม
ครูบาอาจารย์ทั้งปวง จึงเป็นทั้งที่พึ่งและผู้ชี้แนะแก่เราท่านทั้งหลายมาด้วยดีตลอดเวลา
ลูกศิษย์ในสายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เราจะมีความรู้จักน้อยกว่าองค์อื่น ๆ ก็เห็นจะได้แก่ หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโม แห่งวัดป่าบ้านหนองใหญ่ จังหวัดอุดรธานี
หลายครั้งที่คณะชาวกรุงเทพฯ ได้เดินทางไปกราบนมัสการ และได้สนทนาธรรมกับท่านนั้นหลวงปู่อ่อนสา จะพูดน้อย หรือที่เราพูดว่า “ถามค่าตอบคําเลยทีเดียว”
หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโม ท่านเป็นพระกรรมฐาน ที่มีอัธยาศัยใจคอมีเมตตามาก มีความเอื้ออารีเมตตาด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เป็นกันเองเสมอ
ส่วนธรรมปฏิบัตินั้น ท่านจะไม่ตอบให้ยืดยาว ท่านมีธรรมะโดยอุบายสั้นๆ ใช้คําพูดน้อยที่สุด แล้วนําไปบําเพ็ญภาวนาให้เกิดเป็นธรรมสมบัติของตน ครั้งท่านได้อบรมลูกศิษย์ที่ไปกราบท่านว่า
“การที่มาขอธรรมะ นโยบายปฏิบัตินั้น ในสมัยพระอาจารย์ใหญ่ ท่านก็ให้ ถ้าได้มาขอท่านก็บอกอุบายอันแยบคายให้ แต่นั่นก็เป็นธรรมะที่ออกมาจากจิตใจของท่าน มันยังไม่ใช่ ธรรมะที่ออกจากจิตใจเราโดยแท้
แม้จะเอาของดีไปก็ไม่สามารถรักษาให้อยู่กับตัวได้ บางทีขอไปวันนี้ พรุ่งนี้ก็ลืมวางไว้ที่ไหน ก็ไม่รู้นะ
ก็ไม่ใช่ของเรานั่นเอง ถ้าเป็นของเราแล้วจะอยู่กับเราตลอด จําได้แม่นยํา
เราตื่นก็มีอยู่ เราหลับก็มีอยู่ เราตายไปธรรมนั้นก็ตามไปกับ จิตเราด้วยเสมอ
ก็เหมือนกับสภาวะปัจจุบัน ไหนใครลองบอกมาหน่อยซิว่า วันนี้เป็นโชคของเรา…
ไม่มีใช่ไหม ?
ถ้าเป็นของเราละก็ มันต้องอยู่กับเราตลอดไป ถ้ากลางวันก็ต้องอยู่อย่างนี้ จะมืดค่ำไม่ได้ต้อง อยู่กับเรา
ฉะนั้น ธรรมะก็เช่นกัน ทุกวันนี้พวกเราชาวพุทธนักปฏิบัติ เขาว่าอย่างนั้นนะ เที่ยววิ่งขอ ธรรมะแต่ไม่ยอมปฏิบัติเลยสักที
เหลาะ ๆ แหละ ๆ เดี๋ยวน้ำ เดี่ยวแห้ง ไม่เอาจริงสักที
ระวังเน้อ สะสมธรรมะมาก ไม่ดีพุงจะแตกเอา ต้องนําออกมาระบาย คือการพิจารณาแยกเหตุ แยกผลของธรรมะบ้าง เราเรียกว่า วิปัสสนาก็ได้ เอาลองดูซี…
ความจริงธรรมะนั่น ไม่มีใครเขาให้มากหรอก มันจะฟุ้งซ่าน บางทีเกิดลังเลสงสัย ต้องแสดงเลยความลังเลจึงจะหมด แล้วจะคลายสงสัยได้เด็ดขาดเลย…”
หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโม ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในรุ่น หลวงตาบัว ญาณสัมปันโน
ท่านเป็นชาวอีสานโดยกําเนิด เมื่อได้บวชเป็นสงฆ์แล้ว ก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น และท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม
ส่วนท่านเจ้าคุณจูม พันธุโล ท่านจะต้องไปมานมัสการอยู่เสมอ ซึ่งท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ (พระธรรมเจดีย์จูม)
ชีวิตแห่งสมณเพศ ท่านถือแนวทางเพื่อความหลุดพ้นเท่านั้น ท่านเป็นพระผู้สละทุกอย่าง มีความสันโดษ พอใจตามอัตภาพของตน หรือวาสนาของตน ไม่ลุ่มหลงกับสิ่งภายนอก ไม่ขอเพิ่มภาระแก่ตนให้เสียเวลาปฏิบัติธรรม
ท่านเคยให้เหตุผลว่า…
“เหตุที่ไม่ยอมสร้างอะไรเลย นั้นก็เพราะว่า “ไม่มีเงิน”
อีกอย่างหนึ่งไม่อยากเอาทุกข์ มาสุมหัว และไม่อยากให้ญาติโยมลําบาก แค่ข้าวน้ำที่ญาติโยมทําทานมา ก็ดูว่าเหลือเข็ญอยู่แล้ว
ปัจจุบันแย่งกันกิน แย่งกันนอน แย่งกันหายใจ จะให้สร้างอะไรอีก มิเป็นการเบียดเบียนละ หรือ
เคยอยู่ป่า มีกลด มีบาตร กาน้ำก็อยู่ได้แล้ว พระพุทธเจ้าของเรานะ ท่าน ร่ำรวยมหาศาลเห็นไหม ทําไม พระองค์ท่านจึงสละเสียหมด เอาป่าดงเป็นที่อยู่เฉย
ดังนั้นหลวงปู่ก็มีความคิดอย่าง นี้คือ ไม่ติดอะไรเลยดีกว่า…”
สาธุ..สาธุ..สาธุ พระสงฆ์ ผู้เจริญฯ
หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโม สหธรรมิก “หลวงตามหาบัว” ศิษย์ “หลวงปู่มั่น” ท่านได้ละสังขารแล้ว เมื่อ วันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ เวลา ๑๖.๑๗ น. สิริอายุ ๙๕ ปี พรรษา ๗๕
◎ โอวาทธรรมหลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร
ความมีมิตรไมตรี “ปิยวาจา” นี่แหละสำคัญที่สุด
วันทั้งวันทำหน้าทำตาเป็น ”ยักษ์ซดน้ำร้อน”
พูดจาไม่เข้าหูคน แล้วจะไปเป็นมิตรกับใครได้
เช่นเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม ยิ้มแย้มแจ่มใส เกื้อหนุนกัน
ไม่นานก็กลายเป็นมิตร และมหามิตรในที่สุด