วันพุธ, 2 เมษายน 2568

หลวงปู่อุทัย สิริธโร วัดเขาใหญ่ญาณสัมปันโน ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง นครราชสีมา

ประวัติ และปฏิปทา หลวงปู่อุทัย สิริธโร วัดเขาใหญ่ญาณสัมปันโน ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง นครราชสีมา

หลวงปู่อุทัย สิริธโร วัดเขาใหญ่เจริญธรรมญาณสัมปันโน

หลวงปู่อุทัย สิริธโร มีนามเดิมว่า นายอุทัย บุญทศ ซึ่งเป็นนามสกุลฝ่ายคุณยาย

ท่านหลวงปู่อุทัย เกิดเมื่อ วันที่ ๑๒ มี.ค. ๒๔๗๙ ณ บ้านหนองบก ต.หนองหิน อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันขึ้นกับ จ.ยโสธร)

โยมบิดาชื่อ นายเสาร์ กาประจง โยมมารดาชื่อ นางพันธ์ บุญทศ

มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๓ คน ท่านหลวงปู่อุทัย เป็นบุตรคนโต คนรองเป็นชาย และคนสุดท้องเป็นหญิง

การศึกษาท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ นับว่าสูงสุด ในชนบทสมัยนั้น

เมื่อเรียนจบแล้ว ท่านออกมาทำงานช่วยบิดามารดา เช่น ทำนา ทำสวน เป็นต้น จนอายุครบ ๒๑ ปี จึงได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ณ วัดสำราญนิเวศน์ ต.ปุ่ง อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันนี้ขึ้นอยู่กับ จ.อำนาจเจริญ) มี พระครูทัสสนะประกาศ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระใบฎีกาอ่อน เป็นพระกรรมวาจาจารย์

พระอาจารย์อุทัย สิริธโร

เมื่ออุปสมบทแล้วท่านมาจำพรรษา ณ วัดป่าบ้านหนองบก จ.ยโสธร ซึ่งเป็นวัดสาขาของ หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก เป็นเวลา ๓ พรรษา (พ.ศ. ๒๕๐๒) แล้วออกแสวงหาครูบาอาจารย์ มาพักจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร และ หลวงปู่แว่น ธนปาโล ณ วัดสันติสังฆาราม จ.สกลนคร เป็นเวลา ๒ พรรษา (๒๕๐๒-๒๕๐๓)

พระอาจารย์อุทัย สิริธโร ได้มีโอกาสพบ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลังจากนั้นเป็นต้นมาท่านได้ติดตามศึกษาปฏิบัติธรรมและอุปัฎฐากหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดถ้ำขาม จ.สกลนครเรื่อยมา โดยได้รับอุบายธรรมจากหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ว่า

” หากคิดถึงบ้าน ให้หันหลังไปทางบ้าน แล้วสะพายบาตรเดินขึ้นเขาไป”

พระอาจารย์อุทัย สิริธโร มีโอกาสได้รับอุบายธรรมจากหลวงปู่ฝั้น อาจาโร อยู่เสมอๆ จนเกิดความซาบซึ้งใจในธรรม จิตตั้งมั่นในคำสอนของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร โดยท่านจะเน้นเรื่องของศีล สมาธิและคำสอนของพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังได้รับอุบายธรรมในเรื่องการอดอาหาร และการกวาดตาด จากหลวงปู่ฝั้น อาจาโร อีกด้วย พระอาจารย์อุทัย สิริธโร ได้ศึกษาธรรมกับ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร จวบจนท่านหลวงปู่ฝั้น อาจาโรละสังขารในปี ๒๕๒๐

พระอาจารย์อุทัย สิริธโร

หลังจากหลวงปู่ฝั้น อาจาโรละสังขาร พระอาจารย์อุทัย สิริธโร และ พระอาจารย์เสถียร คุณวโร ได้ชวนกันไปปลีกวิเวกที่สำนักสงฆ์ถ้ำพระภูวัว ต.โสกก่าม อ.เซกา จ.หนองคาย (ปัจจุบัน จ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นที่ปฏิบัติธรรมขององค์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร มาก่อนจนถึงเป็นวัดสมบูรณ์จวบจนมาถึงปัจจุบัน) ซึ่งเป็นสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การเจริญธรรมศึกษาธรรม ซึ่งพระอาจารย์อุทัย สิริธโร ได้พัฒนาสำนักสงฆ์แห่งนี้จนสามารถตั้งเป็นวัดได้สำเร็จในที่สุด

เมื่อครั้นเสร็จงานพระราชทานเพลิงศพ ขององค์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๑ องค์หลวงปู่อุทัยก็จำพรรษา อยู่ที่ถ้ำพระภูวัวเรื่อยมา

ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ได้ทราบข่าวการการปฏิบัติพระกรรมฐานของพระอาจารย์อุทัย สิริธโร ณ.สำนักสงฆ์ถ้ำพระภูวัว จึงได้เมตตาและมีโอกาสมาเยี่ยมพระอาจารย์อุทัย สิริธโร อยู่เสมอ ๆ จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ได้รับการบริจาคที่ดินบริเวณเขาใหญ่ พระอาจารย์อุทัย สิริธโร ท่านได้รับความเมตตาจากองค์หลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด ให้มาช่วยพัฒนา วัดเขาใหญ่ญาณสัมปันโน เพื่อให้เป็นที่เผยแพร่ธรรมะขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นที่ฝึกสอนเหล่าพระนักปฏิบัติทั้งหลาย ที่ตั้งใจฝึกปฏิบัติเพื่อพระพุทธศาสนา สามารถสืบทอดคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้าให้มั่นคง คือ ปฏิบัติดีและปฏิบัติตรง เพื่อให้รู้แจ้งในธรรมอันเป็นเครื่องพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย ทั้งปวง เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบัน หลวงปู่อุทัย สิริธโร มีอายุครบ ๘๔ ปี (วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓)

พระอาจารย์อุทัย สิริธโร

สติเป็นเครื่องระงับอารมณ์ที่ไม่ดี

ให้สังเกตดูว่า เราฝึกทุกวัน ฝึกตั้งใจทุกวัน ใจของเรา ตั้งได้ดีมากน้อย ขนาดไหน ฝึกตั้งสติทุกวัน กำลังสติของเรา ตั้งได้มากน้อยขนาดไหน อันนั้นก็คือ เอาอารมณ์ของกิเลสตัณหามาเป็นเครื่องวัดว่า ตัวเราเองระงับ อารมณ์ประเภทนั้นได้ และปล่อยวางอารมณ์ประเภทนั้นได้มากน้อยขนาด ไหน ไม่ใช่ปล่อยวางแบบเห็นทุกข์เห็นโทษนะ ถ้าปล่อยวางแบบเห็นทุกข์ เห็นโทษ มันเป็นลักษณะของปัญญา การปล่อยวางแบบสมาธิ เพียงแต่เอา กำลังของสติ เอากำลังของสมาธิ ที่มีความหนักแน่น ระงับกลบมันไว้เฉยๆ ปิดมันไว้เฉยๆ แต่เรื่องกิเลสตัณหาอันนั้น มันยังมีโอกาสที่จะกลับขึ้นมาใหม่ พุ่งขึ้นมาใหม่ได้อีก

ฉะนั้น จึงให้พิจารณาให้เข้าใจให้รู้แจ้งตามสภาวธรรมความเป็นจริงอันนั้น คือ ใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งนั้นๆ ที่จะให้เกิดปัญญารู้ตามสภาวะความเป็น จริงได้ ก็เรียนรู้จากร่างกายของตัวเอง เรียนรู้จากอารมณ์ฝ่ายเหตุคือกิเลส ตัณหาภายในใจของตัวเอง ดูสิว่า รูปร่างกายของคนเรา ส่วนไหนมันเป็น สาระแก่นสารบ้าง ที่เราไปให้ความหมายว่า เป็นสิ่งที่เป็นสาระ แล้วไปหลง ยึดมั่นในรูปนั้นว่า เป็นสาระแก่นสาร ความจริงแล้ว รูปร่างกายอันนี้ ทุกสิ่ง ทุกอาการที่ปรากฏ มันล้วนแล้วแต่จะผุพังไปตามสภาวธรรม คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วสลาย กลายไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ กันทั้งนั้น หรือจะพิจารณาไปในแง่ “อสุภะ” ความไม่สวยไม่งาม ความ ปฏิกูลโสโครก ความสกปรก ในโลกอันนี้ คำว่าสกปรกโสโครกนั้น มันไม่มี อะไรจะสกปรกโสโครกมากไปกว่ารูปร่างของมนุษย์นี้หรอก