ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่อวน ปคุโณ
วัดจันทิยาวาส
อ.ปลาปาก จ.นครพนม
หลวงปู่อวน ปคุโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดจันทิยาวาส หมู่ ๑๐ ต.นามะเขือ อ.ปลาปาก จ.นครพนม พระเถระที่มีจริยวัตรอันน่าเลื่อมใส ลูกศิษย์ของ หลวงปู่กินรี จันทิโย
หลวงปู่อวน ปคุโณ มีนามเดิมว่า จันทร แก้วดวงตา เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๐ ที่บ้านนามะเขือ ต.นามะเขือ อ.ปลา ปาก จ.นครพนม โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายนวน และนางทองดี แก้วดวงตา มีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ๖ คน คือ
๑. หลวงปู่อวน ปคุโณ
๒. นายจวน แก้วดวงตา (ยังมีชีวิตอยู่)
๓. นายลวน แก้วดวตา (ถึงแก่กรรม)
๔. นางอ้วน แก้วดวงตา (ถึงแก่กรรม)
๕. นางอ้ม แก้วดวงตา (ยังมีชีวิตอยู่)
๖. นางเนียม แก้วดวงตา (ยังมีชีวิตอยู่)
ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา
ชีวิตในวัยเด็ก หลวงปู่อวน ปคุโณ เมื่ออายุ ๑๐ ขวบ ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านนามะเขือ ครั้นพออายุ ๑๔ ปี จึงได้ลาออก จนถึงวัยหนุ่มได้เข้ารับการเกณฑ์ทหารครั้นพ้นเกณฑ์ทหาร ได้ขออนุญาตพ่อแม่ บวชเป็นสามเณร ที่วัดดงขวาง อ.เมือง ก่อนกลับมาอยู่วัดบ้านเกิด ร่ำเรียนบทสวดมนต์ และอักษรธรรมจนชำนาญ
หลวงปู่อวน ปคุโณ ท่านได้ย้ายไปเรียนนักธรรมที่วัดบ้านกุดตาไก้ ก่อนย้ายไปเรียนที่วัดศรีเทพฯ ซึ่งเป็นสำนักธรรมยุตแห่งแรกของจังหวัดนครพนม โดยมี หลวงปู่จันทร์ เขมิโย เป็นเจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดนครพนม ท่านสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี ก่อนลากลับไปเยี่ยมพ่อแม่
กระทั่งอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดบ้านดงขวาง อ.เมือง โดยมีพระติ้น เป็นพระอุปัชฌาย์, พระบุญมี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระพรหมา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ปคุโณ หมายถึง ผู้มีความคล่องแคล่วชำนาญ
ภายหลังอุปสมบท ได้ชักชวนพระก่องและพระจันลา ออกธุดงค์ไปยังวัดป่าเมธาวิเวก ต.หนองฮี อ.ปลาปาก เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่กินรี จันทิโย เพื่อรับโอวาทแนวทางการปฏิบัติ ก่อนกราบลาออกไปธุดงควัตรไปประเทศลาว ผ่านแขวงคำม่วน ไปตามป่าเขาที่มีสิงสาราสัตว์
ท่านได้พบพระอาจารย์ทองรัตน์ กันตสีโล ที่ดอนผีป่าช้า และออกธุดงค์ไปภูสิงห์ ภูงัว ภูลังกา จ.หนองคาย ก่อนไปวัดศรีเวินชัย อ.ศรีสงคราม แวะนมัสการพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตโต สหธรรมิกรุ่นเดียวกับพระอาจารย์ทองรัตน์ ก่อนเดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดเดิม และอยู่กับหลวงปู่กินรี
พรรษาที่ ๖ จึงออกธุดงค์อีกครั้งไป จ.สกลนคร จ.ยโสธร แวะพักที่ภูกอยภูน้อยจำพรรษาอยู่กับ พระอาจารย์ชา สุภัทโท ในปี พ.ศ.๒๔๙๔ ก่อนร่วมตั้งวัดหนองป่าพง แล้วกลับมาวัดกันตศิลาวาสอีกครั้ง เพื่อนมัสการหลวงปู่กินรี
ชาวบ้านได้สร้างกุฏิขึ้น ๓ หลัง มีสามเณรโสมมาพักอยู่ด้วย เกิดความเลื่อมใสจึงขอติดตามธุดงค์ไป จ.เลย พักที่วัด หลวงปู่คำดี ปภาโส ก่อนธุดงค์ผ่านภาคเหนือ ๕ จังหวัดมุ่งสู่ อ.แม่สอด จ.ตาก เข้าสู่เขตพม่า แต่เกิดการสู้รบกัน จึงเปลี่ยนเส้นมา จ.นครสวรรค์ เข้ากรุงเทพฯ มุ่งสู่ปักษ์ใต้เข้าสู่ จ.สงขลา ไปจนถึง ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะ เดา เข้าสู่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย
หลังธุดงค์ไปภาคเหนือและภาคใต้นานร่วม ๘ ปี จึงกลับมาเยี่ยมบิดา-มารดา พักที่ป่าบ้านนามะเขือกับสามเณรโสม ได้หยุดเดินธุดงค์ เพื่อหาที่ตั้งวัดเผยแผ่ธรรมชาวบ้าน ๔ หมู่บ้าน จึงช่วยสร้างกุฏิขึ้น ๒ หลัง อีก ๓ ปีจึงสร้างศาลาไม้ ผ่านไป ๕ ปี ผู้คนเริ่มมีความศรัทธาเข้ามาบวชและปฏิบัติธรรมในวันพระจนล้นศาลา
ต่อมา พื้นที่ ๔ หมู่บ้านดังกล่าว ถูก ผกค.คุกคาม ชาวบ้านหนีหมด ทหารแนะนำให้ท่านย้ายหนี เกรงจะเกิดอันตราย แต่หลวงปู่อวนยืนยันไม่ย้ายหนีไปไหน ก่อนพัฒนาวัดเรื่อยมา
กระทั่งพระสารภาณมุนี (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) เจ้าคณะจังหวัดขณะนั้น แนะนำให้เขียนป้ายชื่อวัด โดยเอาฉายาหลวงปู่กินรีมาเป็นชื่อวัด นับแต่นั้นมา หลวงปู่อวน ได้อาพาธด้วยโรคไตมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๖ ก่อนเข้ารับการรักษาที่ ร.พ.ปลาปาก แพทย์วินิจฉัยว่าอาพาธด้วยโรคไตเรื้อรัง ถูกส่งตัวไปรักษาที่ ร.พ.ศรีนครินทร์ จ.ขอน แก่น แต่เครื่องฟอกไตไม่เพียงพอ จึงส่งตัวกลับมาฟอกไตสัปดาห์ละ ๒ ครั้งที่ ร.พ.ปลาปาก
หลวงปู่อวน ปคุโณ ได้มรณภาพลงอย่างสงบ ด้วยโรคไตวายเฉียบพลัน วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๗ เวลา ๐๙.๕๕ น. ท่ามกลางความโศกเศร้าของญาติโยมและลูกศิษย์ สิริอายุ ๗๖ ปี พรรษา ๕๖
คณะศิษย์ได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์สูง ๒ ชั้น เพื่อบรรจุอัฐิ ก่อนมีพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่อวน ณ เมรุชั่วคราววัดจันทิยาวาส ต.นามะเขือ อ.ปลาปาก จ.นครพนม เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๘ ภายในพิพิธภัณฑ์วัดจันทิยาวาส ได้จัดตั้งรูปเหมือนและเครื่องอัฐบริขารของหลวงปู่อวน โดยมีพุทธศาสนิกชนต่างเข้าไปกราบนมัสการเป็นจำนวนมาก