ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่สุข สุจิตโต
วัดป่าเหล่าหลวง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด
พระครูสุธรรมงคล (หลวงปู่สุข สุจิตฺโต) ท่านเป็นพระมหาเถระที่เคร่งครัดซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย และธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาก ปกติวิสัยเป็นคนพูดน้อยแต่ต่อยหนัก พูดแต่เนื้อธรรมตามเป็นจริง เป็นผู้หนักแน่นในธรรมวินัย เป็นหลักเป็นแกนอยู่แบบเรียบง่ายสมถะ ไม่จำเป็นท่านจะไม่รับนิมนต์ไปไหนง่ายๆ หมู่คณะศิษย์ในองค์หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง หากมีเรื่องอะไรให้ท่านตัดสินท่านก็ตัดสินโดยธรรม จะหาพระแบบนี้ในยุคสมัยนี้เป็นอันว่าหาได้ยากแท้
๏ ชาติภูมิ
หลวงปู่สุข สุจิตฺโต นามเดิมชื่อ “สุข จันทมาลา” เกิดเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๒ ตรงกับเดือนสาม ปีเถาะ ณ บ้านเหล่าล้อ ตำบลขอนแก่น อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด บิดาชื่อ “นายบุญมี จันทมาลา” และมารดาชื่อ “นางสีดา จันทมาลา” มีพี่น้องทั้งหมด ๘ คน เป็นชาย ๓ คน เป็นหญิง ๕ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๕ แต่เป็นบุตรชายคนแรกใบรรดาพี่น้อง
มีโยมน้องชายและโยมพี่สาวที่มาบวชพระกับบวชชีกับท่าน ๓ คนคือ หลวงปู่ทองสา จนฺทูปโม (จันทมาลา) แม่ชีทองคำ จิตพรมมา ซึ่งเป็นพี่สาวคนโต และแม่ชีอ้วน สุขวันดี ซึ่งทั้งสามท่านก็ได้เสียชีวิตในสมเพศที่วัดป่าเหล่าหลวง
๏ ชีวิตฆารวาส
ท่านได้มีอาชีพทำนาเป็นหลักหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวในหน้าแล้งท่านก็จะไปค้าขายยาเส้นตามหมู่บ้านต่างๆ ท่านได้แต่งงานกับ นางนาก จันทมาลา (จันนะรา) ภายหลังได้บวชเป็นแม่ชีแล้วไปอยู่ที่วัดวาปีปทุมและได้เสียชีวิตในสมนเพศที่นั้น
๏ มูลเหตุแห่งการออกบวช
ภายหลังจากแต่งงานครองเรือนมาระยะหนึ่ง แต่ท่านก็ยังไม่มีบุตรและท่านก็ได้ไปฟังเทศนาธรรมกับ หลวงปู่ศรี มหาวีโร เสมอๆ ครั้งหนึ่งท่านได้เรียนถาม หลวงปู่ศรี มหาวีโร ว่าทำยังไงถึงจะไม่ทุกข์และมีวิธีที่จะหนีจากทุกข์ไหม หลวงปู่ศรีท่านจึงตอบว่า “ก็พอมีวิธีอยู่” หลวงปู่สุข ท่านจึงเก็บคำตอบนี้ไว้ในใจตลอดมา และท่านก็คุยกับนางนาก ซึ่งเป็นภรรยามาตลอดว่าจะมาทนทุกข์ไปทำไมในเมื่อลูกก็ไม่มีจะเพียรหาเงินทองไปเพื่ออะไร ทำไมเราไม่ไปบวชเพื่อหาทางพ้นทุกข์เสีย จนมาวันหนึ่งท่านได้ทำการ ตีข้าว (เป็นการนวดข้าวโดยใช้ไม้หนีบที่มัดข้าวแล้วฟาดลงพื้นให้เม็ดข้าวหลุดจากรวงข้าว)
ท่านได้ทำอย่างนั้นตั้งแต่สี่ทุ่มจนจวนจะตีสาม ท่านรู้สึกเหนื่อยมาก แล้วท่านก็นั่งพักแล้วมองไปที่กองข้าวที่ท่านตี พรางคิดว่าตัวเองทำไมถึงทุกข์อย่างนี้ อะไรคือความสุขที่แท้จริง เงินที่หามาก็ใช้ไปหมด ลูกก็ไม่มีแล้วท่านก็คิดถึงคำพูดของ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ถึงทางที่ทำให้พ้นทุกข์ จึงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะออกบวชเพื่อหนีจากทุกข์ เมื่อตัดสินใจแล้วท่านได้เดินมาที่วัดป่ากุงในตอนนั้นเลย พอเดินไปถึงวัดป่ากุงก็ไปเจอกับหลวงปู่ศรีที่หน้าประตูวัด
หลวงปู่ศรีถามว่า “มาทำไม”
หลวงปู่สุขตอบว่า “จะมาบวชครับ ถ้าหลวงปู่ไม่บวชให้จะเดินเท้าไปบวชกับหลวงปู่ขาวครับ”
แล้วหลวงปู่ศรีก็ให้ท่านเข้าบวชนาคในตอนเช้านั้นเลย …
หลวงปู่สุข องค์ท่านได้เสียสละครอบครัวเหย้าเรือนออกไปอุปสมบท หลังจากม่านเข้านาคที่วัดป่ากุงในปี พ.ศ.๒๕๑๒ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้พานาคโฮม (หลวงปู่โฮม ปญฺญาพโล วัดป่าขวัญเมือง อ.เสลภูมิ จ.น้อยเอ็ด) และนาคสุข (หลวงปู่สุข สุจิตฺโต วัดป่าเหล่าหลวง) ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๒ เวลา ๑๒.๓๕ น. ณ วัดวชิราลงกรณวราราม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยมี พระเทพสุทธาจารย์ (หลวงปู่โชติ คุณสมฺปนฺโณ) เป็นพระอุปัชฌาย์
ภายหลังอดีตภรรยาของท่านก็ได้สละโลกไปบวชชีที่วัดป่ากุง และมาอยู่จำพรรษาที่สำนักชีวัดมหาวีระสามัคคยาราม แม่ชีท่านนี้คือคุณแม่ชีนาก จันนรา หัวหน้าแม่ชีวัดมหาวีระสามัคคยาราม (ละขันธ์ปี พ.ศ.๒๕๕๖)
หลวงปู่สุข สุจิตฺโต องค์ท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่เป็นศิษย์ยุคต้นๆ ของ หลวงปู่ศรี มหาวีโร โดยมีสหธรรมมิกที่สำคัญคือ หลวงปู่โฮม ปัญญาพโล วัดป่าขวัญเมือง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด และหลวงปู่สิงห์ สิริปุณโณ วัดมหาวีระสามัคคยาราม อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม
๏ มรณภาพ
พระครูสุธรรมมงคล (หลวงปู่สุข สุจิตโต) เมื่อท่านอาพาธ ก็ขอรับการรักษาตามอาการเท่านั้น ได้สั่งกับลูกศิษย์ว่าไม่ให้เจาะ หรือผ่าตัดใดๆ ทั้งสิ้น ให้เป็นไปตามวัตรปฏิบัติของพระสายกัมมัฏฐาน หลวงปู่อาพาธหนักเพียงไม่กี่เดือน
หลวงปู่สุข สุจิตฺโต วัดป่าเหล่าหลวง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ท่านได้มรณภาพลงเมื่อ วันอังคารที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๐ สิริอายุรวมได้ ๗๘ ปี พรรษา ๔๘
๏ โอวาทธรรมของหลวงปู่สุข สุจิตฺโต
“..สิปฏิบัติเอาหรือบ่ปฏิบัติเอาเพิ่นบ่ได้บังคับดอก บัดยามสิไปแล้วจั่งมาคอยซาวเอา มันบ่ใกล้กันดอกมันบ่คุ้น คือจั่งเงินนี่แหม่ แม่นมีเต็มถุงมีนกะบ่มีค่าหยังเด้ คั่นแม่นมันออกจากร่างไปแล้ว มันกะบ่มีประโยชน์ คั่นแม่นมันยังอยู่มันกะมีประโยชน์ในด้านต่างๆ มีประโยชน์ในพระพุทธศาสนา มีประโยชน์ในผู้นั้นๆ..”
“..ถ้าขาดศีลธรรมแล้วมันก็เป็นไปได้ทุกอย่างในทางต่ำ แทนที่จะแก้ไขพิจารณาตัวเอง บอกให้ถือศีลๆก็พากันพูดตามพระเฉยๆทั้ง ๕ ข้อก็พากันพูดตามพระเฉยๆ ข้องด ข้อเว้น ข้อหัก ข้อห้ามมันไม่มี บุญกุศลมันจะได้มาจากไหน ถ้าไม่มีอรรถมีธรรมในใจ สมบัติของมนุษย์มันยิ่งไปกว่านั้นน่ะ
ออกจากมนุษย์ก็ไปเป็นเทพเทวดา เป็นพรมก็ยังได้ ถือว่าเป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์มาอยู่บนโลกนี้ก็ไม่ได้เสียที..”
“..ศีลธรรมมันเป็นของตายโตเด้ คือสัจธรรมมันกะเป็นของตายโต มันแก้บ่ได้ นี่เพิ่นจั่งว่ามาจากกษัตริย์ตรัสแล้วบ่คืนคำ จั่งได๋จั่งสั้น แต่หมู่เฮานี่มันหลายแนวมันเทียบเพิ่นบ่ได้ คือสร้างบาปกะสร้างแต่บาป สิไปหาสร้างความเจริญใส่เจ้าของมันบ่มี กะคือจั่งเว้าไปมันบ่ได้ยินแม่นได้ยินกะได้ยินแต่หูส่วนใจมันบ่ได้ยิน สิไปแก้ไขหยังกะบ่เอา จั่งสั่นมันสิผิดกันบ่ไผ๋กะว่าไผ๋นั่นล่ะ ทางได๋กะว่าทางได๋มันบ่ยอมลดจักทาง กะสั่นเขาสิมีกฏหมาย สิมีติชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ มันมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ มีมาหลายพระพุทธเจ้าแล้ว มีมาก่อนศาสดาเพิ่นสิมาอีก..”
“..ทำดีทำไปเถอะ ทำบาปอย่าไปทำ เข้าใจมั้ย?..”
“..คือพระเว้าให้ฟังมันมีนำทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่มาขัดมาล้างบ่ต้องเชื่อผู้เว้าดอก ให้เจ้าของทำเบิ่งมันจั่งสิเข้าใจ ให้ปฏิบัติเบิ่ง ตั้งสัจจะเบิ่ง ก่อนอื่นกะให้ผ่านเวทนาเจ้าของก่อนเลยก่อนอื่น คือผ่านเวทนาแล้วกะสัญญาแล้วกะสังขารแล้วกะวิญญาณที่คลองร่าง อยู่นี่คือกันคั่นเห็นแล้วมันปุ๊บปั๊มโลดเด้ คือมันใช้บ่ได้แล้วเขาจั่งทิ้งเขาจั่งไปเด้ เขาใช้ปฏิบัติก่อนเด้ร่างนี่ แล้วแต่หมู่เฮาสิปฏิบัติเอาบ่ คือว่าเป็นแม่หญิงบวชบ่ได้กะสิบ่ปฏิบัตินี่แหมะ บวชบ่ได้กะบ่ต้องบวชกะได้ ไปแล้วกะบ่น้อยคือกันเด้ไปเป็นเศรษฐี คหบดี ไปไกลได้คือกัน ไปได้ฮอดขั้นพรหม ขึ้นสูงปั๊บกะไปได้คือกัน บ้านเฮาคั่นมีจักคนกะสิดีคือกันอยู่นี่มันบ่มีผู้สนใจปานนั้น มันกะยากอยู่ กะคือเฮาอยากฮางอยากมีอยากดิบอยากดีไผ่มันกะอยากทุกคน แต่เหตุมันบ่มี เหตุมันดีผลมันกะดี บ่ต้องบอกยากดอก..”