ประวัติและปฏิปทา
พระครูสิริธรรมานุวัตร (หลวงปู่สิงห์ สิริธัมโม)
วัดศิริอุปถัมภ์
บ้านโพนพระ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย
พระครูสิริธรรมานุวัตร (หลวงปู่สิงห์ สิริธัมโม) “พระอริยเจ้าผู้มีธรรมอันเป็นมงคล” สมัยท่านเป็นฆราวาสท่านได้อุปัฏฐากและอบรมธรรมอยู่กับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี อยู่มาวันหนึ่งหลวงปู่เทสก์ ได้ถามท่านว่า “พ่อสิงห์ อยากบวชหรือเปล่า” ท่านจึงตอบว่า “อยากอยู่ครับ” หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จึงนำท่านมาพักที่วัดหินหมากเป้ง และให้นุ่งห่มขาวอยู่หลายเดือน ช่วงที่ท่านเป็นปะขาวอยู่นั้น ท่านได้หัดสวดมนต์บทต่างๆ จนคล่อง และฝึกปฏิบัติอดข้าว อดน้ำตามคำสอนของครูอาจารย์ แม้หลวงปู่สิงห์ ท่านบวชเมื่อวัยชรา แต่ท่านก็ได้เก็บเกี่ยวหลักธรรมวินัย จากพ่อแม่ครูบาอาจารย์อย่างเต็มที่ โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและย่อท้อ สิ่งเหล่านี้นี่เอง ย่อมเป็นเครื่องหมายอย่างดีที่บ่งบอกว่า ถึงแม้ท่านจะบวชยามแก่ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรม เจริญภาวนาตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์แม้แต่น้อย หลวงปู่สิงห์เป็นพระภิกษุผู้มีอายุยืนนานถึง ๑๐๑ ปี ก่อนที่จะมรณภาพลงเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
หลวงปู่สิงห์ สิริธัมโม นามเดิมชื่อ “สิงห์” เกิดในสกุล “ประไธสงค์” ถือกำเนิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ.๒๔๕๑ ณ บ้านกระนวน ต.นาโพธิ์ อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ บิดาชื่อ นายบุญ ประไธสงค์ มารดาชื่อ นางหลิ่ง ประไธสงค์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๕ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ ครอบครัวท่านมีอาชีพทำไรทำนา ขณะที่ท่านอายุได้ ๕ ขวบ ในตอนเช้าวันหนึ่งซึ่งเป็นฤดูหนาว ขณะที่ผิงไฟอยู่นั้น เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มารดาของท่าน อยู่ดี ๆ เกิดหงายหลังหมดสติและเสียชีวิตในตอนนั้น เหลือเพียงบิดาที่คอยดูแลเลี้ยงดูพี่น้องทุกคนในครอบครัวตลอดมา
เมื่อหลวงปู่สิงห์ สิริธัมโม ท่านมีอายุได้ ๑๕ ปี มีความปรารถนาที่จะออกบวช บิดาก็ไม่ขัดข้อง จึงให้บวชเป็นสามเณรที่วัดบ้านเกิดของท่าน คือวัดบ้านนาโพธิ์นั่นเอง หลังบวชเณรได้ ๔ ปี บิดาท่านได้เกิดเจ็บไข้ล้มป่วย ญาติพี่น้องจึงให้ท่านเข้าไปดูแล ท่านก็เข้าไปดูแลโยมพ่อตามที่ญาติพี่น้องต้องการ ขณะที่หลวงปู่ได้ดูแลโยมบิดาอยู่นั้น ทุก ๆ วันที่ท่านได้ไปบิณฑบาตกลับมา ท่านจะนำอาหารที่บิณฑบาตมาให้โยมบิดาทานทุกวัน และดูแลปฏิบัติอย่างดี ทำอย่างนี้ทุกวันไม่ได้ขาด จนเป็นเวลา ๑ ปี บิดาของท่านจึงเสียชีวิตจากไป แต่ตอนที่บิดาท่านจะเสียชีวิตลงได้สั่งเสียไว้ว่า ให้อุปสมบทก่อนนะ เพื่อตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ ท่านก็ได้รับปากโยมบิดาตามนั้น
ครั้นเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย ที่วัดบ้านเกิดท่าน คือวัดบ้านนาโพธิ์ ต.นาโพธิ์ อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ หลังอุปสมบทแล้วท่านได้ศึกษาธรรมวินัยกับครูบาอาจารย์ที่วัดนาโพธิ์ ในสมัยนั้น ๆ พระอาจารย์ท่านได้สอนให้นั่งสมาธิภาวนา กำหนดสติอานาปานสติ มีพระภิกษุ ๕ รูป ให้นั่งเป็นวงกลม แล้วจุดเทียนไว้ตรงกลาง ๑ เล่ม แล้วพระอาจารย์ก็สั่งว่า ถ้ามีอะไรเข้ามาในนิมิตไม่ต้องสนใจ ท่านนั่งไปเรื่อย ๆ จนเกิดนิมิตขึ้น มีตะขาบยักษ์ตัวเท่าฝ่ามือ ยาวประมาณ ๑ เมตร ๕๐ เซนติเมตร มารัดตัวท่านตั้งแต่เอวขึ้นมาจนถึงหน้าอก ในนิมิตท่านไม่ได้หวั่นไหวอะไรกับสิ่งที่นิมิตเห็น ครั้นออกจากสมาธิ ท่านอาจารย์ของท่านบอกกับท่านว่า ท่านได้ผ่านการทดสอบในครั้งนี้
ครั้นถึงอายุครบ ๒๒ ปี ท่านได้ไปจับฉลากทหารได้ใบแดง จึงขอลาพระอุปัชฌาย์ ลาสิกขาบทไปเป็นทหาร ท่านได้เป็นทหารกองประจำการที่กองทหารม้าจังหวัดนครราชสีมา และท่านได้เป็นทหารครบ ๒ ปี จึงได้ปลดประจำการ พอถูกปลดประจำการจากทหาร ท่านก็ได้มาทำไร่ทำนาต่อที่บ้านเพื่อช่วยป้าของท่านนั่นเอง
พอถึงฤดูทำนา ท่านต้องตื่นแต่เช้าไปทำนาเหมือนชาวนาทั่วไป ชีวิตลำบากมาก แต่ท่านไม่เคยท้อ ท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนตอนทำนาท่านมีควายอยู่หนึ่งตัว เป็นตัวผู้ ซึ่งเจ้าของเดิมไม่สนใจมันจะฆ่ามันอย่างเดียวเพราะขาหลังของมันเน่าเปื่อย ทำนาไม่ได้ ท่านจึงขอซื้อมาจากเจ้าของเดิมในราคา ๖ สลึง พอซื้อมาแล้ว ท่านได้ดูแลรักษามันจนหายเป็นปกติ ควายตัวนี้มีความกตัญญูและเชื่องมาก ควายตัวไหนจะเข้ามาใกล้ท่าน มันจะขวางทันทีไม่ให้เข้ามาหาท่านได้ มันจะใช้เขาขวิดไล่ให้ควายตัวอื่นออกไปจากท่าน
◎ อุปสมบท
ในช่วงที่ท่านมาทำงานที่บ้านโคกซาก อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านกลับมาจากการเผยแผ่ธรรมทางภาคใต้ และกำลังมาสร้างวัดหินหมากเป้ง ท่านจึงได้ไปช่วยสร้างเสนาสนะให้หลวงปู่เทสก์เป็นประจำไม่ได้ขาด มาวันหนึ่งหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้ถามท่านว่า “พ่อสิงห์ อยากบวชหรือเปล่า” ท่านจึงตอบว่า “อยากอยู่ครับ” หลวงปู่เทสก์ เทสรังสีจึงนำท่านมาพักที่วัดหินหมากเป้ง และให้นุ่งห่มขาวอยู่หลายเดือน ช่วงที่ท่านเป็นปะขาวอยู่นั้น ท่านได้หัดสวดมนต์บทต่าง ๆ จนคล่อง และฝึกปฏิบัติอดข้าวอดน้ำตามคำสอนของครูอาจารย์ จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๐ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จึงได้อนุญาตให้ท่านบรรพชาอุปสมบท ณ วัดป่าพระสถิต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๐ เมื่ออายุครบ ๕๙ ปี โดยมีหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ (พระครูสีลขันธ์สังวร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (ขณะดำรงตำแหน่งเป็นพระครูญาณปรีชา) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และได้รับฉายาว่า “สิริธัมโม” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีธรรมเป็นมงคล”
หลังจากอุปสมบท พระภิกษุสิงห์ ท่านก็จำพรรษาอยู่ที่วัดหินหมากเป้ง กับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัดไม่ได้ขาด แต่ในทางการศึกษาเล่าเรียนท่านก็ไม่เคยทิ้ง ท่านสอบได้นักธรรมชั้นตรีในพรรษาแรกของการอุปสมบทนั่งเอง และต่อมาอีก ๔ ปี ท่านก็สอบได้นักธรรมชั้นโท ในขณะนั้นที่ท่านจำพรรษาที่วัดหินหมากเป้งนี้เอง
ยามใดมีโอกาส ท่านก็จะไปกราบครูบาอาจารย์ต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้ธรรมมะจากพระเถระทั้งหลาย เช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู , หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดถ้ำขาม จ.สกลนคร , หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย และหลวงปู่วิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล กรุงเทพมหานคร เป็นต้น พระมหาเถราจารย์ที่ได้กล่าวมานี้ได้อบรมสั่งสอน และได้มอบธรรมชั้นสูงแด่ท่าน เพื่อนำไปปฏิบัติตามหลักคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เพื่อนำไปสู่พระนิพพาน และท่านพระอาจารย์สิงห์ เองก็ได้นำมาประพฤติปฏิบัติตามธรรมนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด โดยไม่ได้ทำให้ครูบาอาจารย์ผิดหวังในตัวท่านเลย
ท่านพระอาจารย์สิงห์ สิริธัมโม ได้จำพรรษาที่วัดหินหมากเป้งได้ ๘ พรรษา ท่านได้เก็บเกี่ยวหลักธรรมวินัย จากครูบาอาจารย์อย่างเต็มที่ โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและย่อท้อ สิ่งเหล่านี้นี่เอง ย่อมเป็นเครื่องหมายอย่างดีที่บ่งบอกว่า ถึงแม้ท่านจะบวชยามแก่ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรม เจริญภาวนาตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์แม้แต่น้อย
ออกพรรษา ปี พ.ศ.๒๕๑๘ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้ส่งท่านไปเป็นประธานสงฆ์ที่บ้านลุมพีนี เนื่องด้วยมีชาวบ้านนำที่ดินมาถวายเพื่อสร้างวัด ต่อมาปี พ.ศ.๒๕๑๙ วัดศิริอุปถัมภ์ ได้ขาดพระจำพรรษา เนื่องจากเจ้าอาวาสองค์เดิมได้มรณภาพลงนั่งเอง ชาวบ้านจึงรวมตัวเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่เทสก์ ที่วัดหินหมากเป้ง เพื่อขออนุญาตให้มีพระภิกษุมาจำพรรษาที่วัดศิริอุปถัมภ์ หลวงปู่เทสก์ จึงแนะนำให้ไปนิมนต์พระอาจารย์สิงห์ สิริธัมโม ที่วัดป่าลุมพีนี ชาวบ้านจึงไปกราบอาราธนานิมนต์ท่านพระอาจารย์สิงห์ ไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดศิริอุปถัมภ์ ท่านพระอาจารย์สิงห์รับคำชาวบ้านโพนพระ และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสนับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ เรื่อยมา ท่านพระอาจารย์สิงห์ อยู่กับชาวบ้านอย่างอดอย่างทน อาหารการขบฉันก็ตามมีตามเกิดไม่ยึดติดสิ่งใด ท่านเองรักษาข้อวัตรคอยปัดตาด ทำความสะอาด และทำกิจสงฆ์ด้วยตนเองมิได้ขาด เช้า-เย็นก็นำชาวบ้านไหว้พระสวดมนต์ คอยเมตตาอบรมสั่งสอนพระเณร และคอยพร่ำสอนชาวบ้านโพนพระ และหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงอย่างเมตตา หาได้หย่อนยานลงไปเลย หลวงปู่สิงห์ จึงเป็นที่รักใคร่ และเคารพศรัทธาต่อพระภิกษุสงฆ์ และฆราวาสญาติโยมทั่วสารทิศ
◎ หลวงปู่สิงห์ เป็นพระที่หลวงปู่เทสก์ไว้ใจ
ช่วงที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี อาพาธอยู่นั้น ท่านจะสั่งพระเณรอุปัฏฐาก ไม่ให้ใครเข้ามาเยี่ยมรบกวน แต่พอรู้ว่า ท่านพระอาจารย์สิงห์ มาเยี่ยมเยียน หลวงปู่เทสก์ก็ยินดีเรียกให้พระอาจารย์สิงห์เข้าพบได้ ท่านพระอาจารย์สิงห์ท่านจะจับฝ่าเท้าหลวงปู่เทสก์ ขึ้นใส่ศีรษะท่านเองเสมอ จากนั้นท่านก็จะสนทนาธรรมะกันซักพัก หลวงปู่สิงห์เป็นพระที่หลวงปู่เทสก์ ไว้ใจมาก หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี กล่าวยกย่องชมเชยหลวงปู่สิงห์ สิริธัมโม ต่อหน้าพระภิกษุว่า “ท่านสิงห์เป็นพระที่มีความพากความเพียร แม้บวชเมื่อยามแก่แล้วแต่ก็ไม่ได้ย่อหย่อน มีข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด และสวดปาฏิโมกข์ได้ตลอด ให้พระทั้งหลายเอาท่านสิงห์เป็นตัวอย่าง” หลวงปู่สิงห์ ท่านมาหยุดสวดพระปาฏิโมกข์ ตอนวัยชราภาพมากแล้ว คือเมื่ออายุได้ ๙๕ ปี
◎ การอาพาธ
หลวงปู่สิงห์ เริ่มมีอาการอ่อนแรงตามวัยมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมาปี พ.ศ.๒๕๔๗ ขณะนั้นหลวงปู่มีอายุ ๙๖ ปี อาการของหลวงปู่อ่อนแรงลงไปอย่างเห็นได้ชัด จนเป็นที่กังวลใจของลูกศิษย์ที่มาพบเห็น แต่หลวงปู่ไม่เคยบ่นหรือแสดงอาการใด ๆ ให้ลูกศิษย์เห็น นั่นเพราะหลวงปู่ท่านเป็นพระที่มีความอดทนต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ดีนั่นเอง และสติหลวงปู่ท่านยังดีมาก
วันหนึ่ง หลวงปู่ปรารภจะสร้างธาตุเจดีย์องค์เล็ก ๆ พอเพื่อเอาไว้ใส่อัฐิของท่าน ยามเมื่อท่านมรณภาพลงแล้ว จะได้ไม่เป็นภาระแก่ผู้อยู่ภายหลัง ลูกศิษย์ประชุมกันว่าหลวงปู่เป็นถึงพระเถระ และเป็นพระกัมมัฏฐานลูกศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จะไปสร้างธาตุเจดีย์เล็ก ๆ ได้อย่างไร มันไม่สมเกียรติสมฐานะของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทางคณะลูกศิษย์จึงได้ตกลงจะทำเป็นเจดีย์พิพิธภัณฑ์ เพื่อบรรจุอัฐิของหลวงปู่สิงห์ สิริธัมโม และเพื่อไม่ให้เป็นการลำบากต่อองค์หลวงปู่ ในการก่อสร้าง เจดีย์จึงมีลักษณะไม่ให้ใหญ่โตจนเกินไป อีกทั้งการก่อสร้างจะได้ไม่เป็นการกระทบต่อธาตุขันธ์ของหลวงปู่ด้วย งานก่อสร้างเจดีย์จึงใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณเพียง ๖ เดือน จึงแล้วเสร็จ และได้ทำพิธีมอบเจดีย์ถวายองค์หลวงปู่สิงห์ สิริธัมโม เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๘ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดครบ ๙๘ ปี ขององค์ท่าน
◎ การมรณภาพ
วันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลวงปู่สิงห์ มีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ลูกศิษย์จึงมีความเห็นว่า ให้พาหลวงปู่สิงห์ไปโรงพยาบาล เวลาประมาณ ๑๐.๓๐ น. จึงเตรียมตัวนำหลวงปู่ ไปโรงพยาบาล ขณะนั้นหลวงปู่ท่านมีสติดีมาก หลวงปู่ได้สั่งกับลูกศิษย์ไว้ว่า “ถ้ามีการผ่าตัด ไม่ให้ผ่า ถ้ามีการเจาะเลือด ไม่ให้เจาะเลือด ถ้ามีการใส่ออกซิเจน ไม่ให้ใส่ออกซิเจน” คณะลูกศิษย์ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะขัดหลวงปู่ไม่ได้ จึงรับปากกับหลวงปู่ ที่ให้ทำตามนั้น
พอถึงโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จ.หนองคาย คณะแพทย์ให้ความเห็นว่า ต้องทำตามวิธีการรักษาของแพทย์ แต่คณะลูกศิษย์ได้อธิบายเจตนารมณ์ของหลวงปู่ที่ได้สั่งไว้ตอนอยู่ที่วัด คณะแพทย์จึงได้ทำตามคำของหลวงปู่ เพียงแต่ให้ออกซิเจนเป็นบางครั้ง ขณะที่หลวงปู่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ จ.หนองคาย หลวงปู่ยังคงมีสติดีมาก
จนในวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓ เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. หลวงปู่ได้บอกกับลูกศิษย์ที่ดูแลอุปัฏฐากว่า “หลวงปู่จะละขันธ์แล้วนะ เมื่อหลวงปู่ละขันธ์ลงแล้ว ให้ทำบุญเลี้ยงพระพอสมควร และนำอัฐิเข้าบรรจุในเจดีย์ให้เป็นที่เรียบร้อย จนในเวลาประมาณเกือบสามทุ่ม หลวงปู่ได้ดึงสายออกซิเจนออกด้วยตัวท่านเอง ลูกศิษย์ใกล้ชิดพยายามเอาเข้าไปใหม่ แต่หลวงปู่ไม่ยอม ต่อมาหลวงปู่มีอาการหัวใจเต้นช้าลงเรื่อย ๆ จนถึงเวลา ๒๑.๑๒ น. หลวงปู่ก็ละสังขารลงด้วยอาการสงบ ตามแบบฉบับพระกัมมัฏฐานอย่างเรียบง่าย
หลวงปู่สิงห์ สิริธัมโม ละสังขารลงด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓ เวลา ๒๑.๑๒ น. สิริอายุรวม ๑๐๑ ปี ๕ เดือน ๒๒ วัน พรรษา ๔๓
โอวาทธรรม พระครูสิริธรรมานุวัตร (หลวงปู่สิงห์ สิริธัมโม)
“…ถ้า นรก สวรรค์ นิพพาน ไม่มีจริง
พระ พุทธเจ้า…มา จุติ ทำไม
พา…กัน ทำ สร้างบุญใว้ ตายไป…ไม่ไป อบายภูมิ…”
ที่มา : ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจ ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน