วันอังคาร, 26 พฤศจิกายน 2567

หลวงปู่ลือ ปุญโญ วัดป่านาทามวนาวาส อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ลือ ปุญโญ

วัดป่านาทามวนาวาส (วัดป่าภูน้อย)
อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร

หลวงปู่ลือ ปุญโญ วัดป่านาทามวนาวาส (วัดป่าภูน้อย) อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร

พระครูคัมภีร์ภาวนาจารย์ (หลวงปู่ลือ ปุญโญ) วัดป่านาทามวนาวาส (ภูเขาน้อย) บ้านนาทาม ต.ป่าไร่ อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร

ชาติภูมิ

หลวงปู่ลือ ปุญโญ เกิดที่บ้านป่าไร่ ตําบลดอนตาล อําเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม (ในขณะนั้น) เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๔๒ ขึ้น ๑๐ ค่ํา เดือน ๑๐ ปีระกา มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด ๔ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๓ คน ท่านเป็นคนที่ ๒ บิดาชื่อ นายจันทร์ ใจทัศน์ มารดาชื่อ นางพัน ใจทัศน์ หลวงปู่ลือ ปุญโญ เกิดที่บ้านป่าไร่ ตําบลดอนตาล อําเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม (ในขณะนั้น) เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๔๒ ขึ้น ๑๐ ค่ํา เดือน ๑๐ ปีระกา มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด ๔ คน เป็นชาย ๑ คน หญิง ๓ คน ท่านเป็นคนที่ ๒ บิดาชื่อ นายจันทร์ ใจทัศน์ มารดาชื่อ นางพัน ใจทัศน์

ลูกคนที่ ๑ ชื่อ นางสาวล้อม ใจทัศน์ อายุ ๑๗ ปี จึงได้เสียชีวิต

ลูกคนที่ ๒ ชื่อ นายลือ ใจทัศน์ (หลวงปู่ลือ) อายุ ๘๙ ปี จึงได้ มรณภาพ

ลูกคนที่ ๓ ชื่อ เด็กหญิงเหล่ ใจทัศน์ อายุ ๑๐ ปี จึงได้เสียชีวิต

ลูกคนที่ ๔ ยังไม่ได้ตั้งชื่อก็เสียชีวิตก่อน

ในสมัยเด็ก หลวงปู่ลือ ป่วยอยู่เรื่อยๆ ประมาณ อายุ ๑๔ ปี ท่านป่วยมาก แม่ท่านก็เลยบนไว้ว่าถ้าลูกชายหายป่วยจะให้ลูกชายบวช แต่พอลูกชายหายป่วยแล้ว แม่ท่านก็ไม่ได้ให้บวช ต่อมาหมู่บ้านป่าไร่เกิดมีคนตายมากมาย จึงได้พากันอพยพไปอยู่บ้านใหม่ได้ ๑ ปี ก็กลับมาตั้งบ้านใหม่ ชื่อบ้านป่าชาด ต่อมาโยมพ่อของท่านก็เลยบวชที่อําเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม แล้วก็จําพรรษาอยู่นั่นเลย ส่วนหลวงปู่อยู่ทางนี้ ท่านก็ป่วยอีก แม่ท่านว่าจะให้ท่านบวชอีก พอท่านหายดีแล้ว แม่ก็ไม่ได้ให้ท่านบวช พออยู่ต่อมาอายุได้ ๑๘ ปี ท่านก็ป่วยอีก แม่ก็บนว่าจะให้ท่านบวชอีก พอหายดีแล้วพ่อ ใหญ่เพชรก็มาพูดกับแม่ท่านว่า ถ้าไม่ให้บวชในคราวนี้ลูกชายต้องตายแน่ๆ ก็พอดีผู้ใหญ่บ้านมาบอกว่า อายุครบคัดเลือกทหาร ให้ไปคัดเลือกทหารที่ มุกดาหาร หลวงปู่จึงไปคัดเลือกทหาร แต่ก็ไม่ติดทหาร เพราะว่าท่านตัวเล็ก

เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์

หลังจากกลับไปบ้านก็เลยได้บวชที่บ้านนาป่า บวชเณรกับหลวงพ่อชัยบุตร บวชเสร็จแล้วก็มาจําพรรษาที่บ้านป่าไร่ ออกพรรษาแล้วจึงไปเรียน หนังสือที่วัดบ้านเหล่า เพราะสมัยนั้นบ้านป่าไร่ยังไม่มีโรงเรียน จึงไปเรียนที่วัดบ้านเหล่า เรียนทุกอย่าง เรียนตัวธรรม เรียนได้ ๓ ปี จึงไปจําพรรษาที่บ้านแวง แล้วเรียนต่อที่วัดบ้านแวงอีก ๑ ปี พอดีมหาแก้ว ซึ่งเป็นหลานไปพาท่านมาบวชพระที่วัดช้าง (วัดศรีสุมังค์วนาราม) มุกดาหาร พอหลวงปู่บวชเป็นพระแล้ว พระมหาแก้วพาท่านมาอยู่กับ หลวงปู่ดี ฉันโน ที่วัดป่าศิลาวิเวก ซึ่งกําลังก่อสร้างอยู่ในขณะนั้น หลวงปู่ท่านได้มาช่วยสร้างศาลา กุฏิ และอยู่จําพรรษาฝึกอบรมภาวนาอยู่กับหลวงปู่ดี ฉันโน พอจะเข้าพรรษาอีก ทางวัดกุดน้ําใส ส่งข่าวมาบอกว่าโยมพ่อของหลวงพ่อสายไม่สบาย พระอาจารย์ ดี ฉันโน ก็เลยมอบหมายให้หลวงปู่ลือ ไปกับหลวงพ่อสาย เพื่อไปดูแล พ่อของหลวงพ่อสาย ก็เลยได้ไปจําพรรษาอยู่ที่วัดกุดน้ําใส พอออกพรรษาโยมพ่อของหลวงพ่อสายก็เสียชีวิตลง เลยจัดงานศพโยมพ่อของหลวงพ่อสายเสร็จแล้ว จึงได้กลับมาที่วัดป่าศิลาวิเวก พระอาจารย์ดี ฉันโน จึงพาไปจําพรรษาที่แขวงสุวรรณเขต (สะหวันนะเขต) ประเทศลาว ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร พระอาจารย์ดี ท่านต้องการให้ไปหัดขานนาค เพื่อจะเปลี่ยนญัตติเป็นธรรมยุต พอออกพรรษาแล้วจึงพาพระธุดงค์ไปไหว้พระธาตุอิงฮัง แล้วจึงกลับมาฝั่งไทยเป็นพระธรรมยุต ที่วัดหัวเวียง อําเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม โดยมี พระสารภาพมุนีศรีพนมเขต เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทอง อโสโก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ตรงกับวันที่ ๕ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๘ บวชเป็นนาคคู่กับ หลวงปู่ถิร ธิตธัมโม วัดบ้านจิก จ.อุดรธานี เมื่อบวชเป็น พระธรรมยุตแล้ว ก็ไปจําพรรษาที่วัดป่าสุพรมย์ บ้านน้ําก่ำพอออกพรรษาก็ธุดงค์ไปถ้ําพระเวส อยู่ภาวนาที่ถ้ําพระเวสได้ประมาณ ๒ เดือน ก็เป็นไข้มาลาเรีย เลยลงมารักษาตัว เมื่อหายแล้วก็ธุงค์ต่อไปที่ภูพาน แล้วกลับมามุกดาหาร มาเยี่ยมมารดาที่บ้านป่าชาด

เกิดนิมิตเห็นภูน้อย ว่าสมัยอดีตชาติก่อน เคยเป็นฤาษีอยู่ที่ภูน้อย (ในปัจจุบัน ท่านยังชี้ให้ดูรอยเท้าของท่านที่อธิษฐานฤทธิ์ เหยียบลงบนก้อน หินไว้ ๒ รอยเป็นรอยลึกยาวประมาณ ๗๐ ซ.ม. ซึ่งทางวัดได้สร้างมณฑป ครอบไว้ ๑ รอบ) ท่านจึงได้เดินธุดงค์มาภูน้อย และได้อยู่ที่ภูน้อยหลายวัน ต่อมาทางชาวบ้านนาทามได้มานิมนต์ให้ท่านอยู่ต่อ หลวงปู่จึงบอกชาวบ้าน ให้ไปขอทางราชการ ทางราชการเลยให้ตั้งวัดได้ มีชื่อว่า วัดป่านาทามวนาวาส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ หลวงปู่อยู่จําพรรษา ๑ พรรษา

ออกพรรษาก็เดินธุดงค์ต่อไปถึงบ้านน้ําก่ํา อําเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ก็พักอยู่ที่บ้านป่าสุพรมย์ ท่านพระอาจารย์อุ่น ธัมมธโร ท่านอุเทน มาชวนท่านไปธุดงค์ที่จังหวัดอุดรธานี ไปด้วยกันหลายรูป ไปอยู่ที่วัดพระพุทธบาทบัวบก พักวิเวกอยู่ชั่วคราวประมาณครึ่งเดือน พระอาจารย์อุ่น ก็พาไปธุดงค์ต่อที่บ้านลาน เป็นวัดร้างมานาน สภาพของวัดเป็นวัดโบราณ ได้ชํารุดเสียหายลงไปมาก ชาวบ้านเล่าว่า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใครไปตัดไม้ ที่วัดจะต้องมีอันเป็นไปทันที เพราะในบริเวณวัดมีพระพุทธรูปใหญ่อยู่ในสถูปองค์หนึ่ง นั่งอยู่อย่างโดดเด่น เทวดาได้มารักษาดูแลวัตถุโบราณในโบสถ์ ซึ่งมีพระพุทธรูปทองคําที่เขาฝังไว้ด้วย เขาไม่ให้ขุด เมื่อมาอยู่วัดก็ทําความสะอาด บําเพ็ญภาวนาจิตใจสงบดีแล้ว ก็ธุดงค์ต่อไปยังภูเขา มีโยมทําแคร์ให้พักภาวนา หลวงปู่อยู่ได้ประมาณ ๕ วัน ตรงกับวันพระ ซึ่งตอนเย็นก็ได้มาร่วมกันทําวัตร สวดมนต์ โดยพระอาจารย์อุ่น เทศน์อบรมแล้วบอกให้ภาวนาให้ดีคืนนี้จะมีงูเหลือมออกมาหากิน ตกกลางคืนได้ยินเสียงงูร้องสักพักก็เห็นงูเหลือม ๒ ตัว ออกมาดูพระองค์นั้น องค์นี้ แล้วก็ไปหากินของมันต่อ ในตอนเช้าพระอาจารย์อุ่นก็บอกว่าจะมีเรื่อง ต่อมาโยมบ้านกะลืมมานิมนต์ว่าอีก ๓ วันจะมารับ พอโยมคนนั้นกลับไปบอกชาวบ้าน มีชาวบ้านบางพวกไม่พอใจ จึงได้ไปยิงพระ แต่ยิงปืนไม่ถูกพระ ต่อมาชาวบ้านกะลืมล้มป่วยตายไปประมาณ ๗๐ คน โยมบ้านลานบอกให้ชาวบ้านกะลืมมาขอขมาถ้าไม่มาขอขมาจะต้องตายทั้งหมดในหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเลยพาลูกบ้านมาขอขมากับท่านพระอาจารย์อุ่น พอขอขมาแล้วคนที่ป่วยก็หายป่วย ท่านพระอาจารย์อุ่นพาหลวงปู่ลือธุดงค์ต่อไปเรื่อยๆ พอจะเข้าพรรษาก็มาจําพรรษา ที่วัดป่าบ้านจิก โดยถือธุดงค์วัตรไม่นอนตลอดพรรษา

การบุญบารมี

หลวงปู่ลือ ท่านได้เปิดเผยถึงเรื่องปฏิบัติธรรมของท่านว่า ท่านอยู่ที่จังหวัดอุดรธานีนี้ มีเหตุการณ์มหัศจรรย์มากมาย เช่น มีเทวดามาคอยปัดกวาดทําความสะอาดบนกุฏิเป็นประจํา เห็นไม้กวาดกวาดไปมาแต่ไม่เห็นคนกวาด หลวงปู่ลือเล่าต่ออีกว่า ได้มีโยมคนหนึ่งชื่อ โยมทิพย์ รู้เรื่องนี้ด้วย เพราะเขามาปฏิบัติธรรมอยู่ด้วย โยมทิพย์ได้นําเอาผ้าใบมาทําเปลให้พระเณรนอน แต่ถูกท่านพระอาจารย์อุ่น พูดว่า ถ้าอยากนอนก็อย่าให้โยมเขาเห็นนะ ต้องปิดประตูเสียก่อน กุฏิหลวงปู่ลืออยู่ใกล้กับกุฏิท่านพระอาจารย์อุ่น พระอาจารย์อุ่นท่านจึงเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบนกุฏิหลวงปู่ลือ ท่านพระอาจารย์อุ่น ถามหลวงปู่ลือว่า “เป็นคนอย่างไรที่มาปฏิบัติท่านอาจารย์” อาตมาตอบไปว่า “ไม่รู้จักหรอก” ท่านว่าไม่รู้จักได้อย่างไร ก็อยู่ด้วยกันนี้ อาตมาก็บอกท่านว่า “ไม่รู้จักครับครูบาอาจารย์ หลวงปู่ลือเล่าว่า ท่านพระอาจารย์อุน ท่านเลยเรียกขึ้นไปคุยกันสองต่อสองบนกุฏิท่าน ท่านว่า “ไม่เห็นหรือ” “ไม่เห็นหรอก” หลวงปู่กล่าวตอบ แล้วถามท่านอาจารย์อุ่นว่า “ พระเดชพระคุณท่านรู้จักเขาหรือครับ” ท่านพระอาจารย์อุ่นตอบว่า “รู้จักแต่เขาไม่พูดด้วย? เขาปัดกวาด ทําความสะอาด โดยไม่พูดไม่จา แต่เห็นกันอยู่” หลวงปู่ลือเล่าว่า ผ้าจีวรของท่านถ้าใช้แล้วไม่พับเก็บไว้ เขาจะมาพับเก็บให้จนพระอาจารย์อุ่นแปลกใจที่มีเทวดามาปฏิบัติรับใช้หลวงปู่ลือเช่นนี้ตลอดระยะเวลา ๓ ปี ต่อมาหลวงปู่ลือ เกิดอาพาธหนัก ไอเป็นเลือดออกมาเป็นกระโถน โยมทิพย์ ให้ลูกชาย (ที่ขอเอามาเลี้ยง) ช่วยพาหลวงปู่ลือไปหาหมอที่อุดรธานี หมอบอกคนที่พาไปว่าไม่รอดแน่อีก ๗ วันก็จะตาย แต่ไม่ยอมบอกหลวงปู่ลือ หลวงปู่ก็ถามโยมที่พาท่านไปว่า หมอเขาว่าอย่างไร โยมเขาก็ไม่ยอมบอก หลวงปู่ลือเลยบอกว่า ถ้าไม่บอกก็จะไม่ยอมกลับไปกับโยม โยมเลยบอกว่า หลวงปู่ไม่รอดแน่ใน ๗ วันนี้ หลวงปู่เลยกลับมากับโยม พอมาถึงวัดป่าหนองจิก มีโยมทวนไปหายาสมุนไพรมาให้ท่านฉันอยู่ประมาณ ๓ หม้อ ก็ หายป่วยเป็นปรกติ แล้วกลับจากอุดรธานี มาที่มุกดาหาร จึงมาจําพรรษา อยู่ที่วัดป่าศิลาวิเวก เทวดาก็ตามมาปฏิบัติท่านอีกจนกระทั่งออกพรรษา ในพรรษาก็มีพระเณรพากันมาแอบดู ก็ไม่เห็นคน เห็นแต่ไม้กวาด กวาดไปกวาดมา ทําให้พระเณรกลัวกันมาก ท่านจึงพูดกับเขาว่า “ท่านเป็นใคร” เขาถาม กลับมาว่า “อาจารย์อยากเห็นผมหรือ” หลวงปู่บอกว่า “อยากเห็นสิ” เขาว่า “มองด้วยตาเนื้อไม่เห็นผมหรอก ผมไม่แสดงฤทธิ์ให้เห็นก็ไม่เห็นผมหรอก” หลวงปู่ก็เลยไปทํากิจวัตรของท่านต่อ

ในพรรษานี้เกิดสงครามอินโดจีน พอออกพรรษาก็ธุดงค์ไปภูผักกูด จําพรรษาอยู่ที่วัดหนองแต้กับอาจารย์ครุฑ เทวดาก็ตามมาปัดกวาดกุฏิ พับผ้าให้อีก เมื่อนอนพัก ถ้าไม่ได้ห่มผ้าเทวดาก็มาห่มผ้าให้ พอออกพรรษาแล้วเทวดามาบอกว่า จะไปเกิดแล้วนะ หลวงปู่ก็ได้ให้ศีลให้พรกับเขาไป กลับมามุกดาหาร ก็ธุดงค์ต่อไปอีกที่ภูหินขันกับเณร อากาศหนาวมาก เณรเลยก่อไฟผิง ก็มีเสือลายพาดกลอนมาผิงด้วย เณรก็กลัวมาก หลวงปู่เลยให้มีดไว้ บอกเณรว่าถ้าเสือวิ่งเข้ามาให้เณรฟันหัวมันเลย เสือก็มาผิงไฟด้วยหลายคืน ในคืนสุดท้ายก่อนจะจากไปมันคุ้ยดินใส่หลวงปู่ หลวงปู่เลยพูดว่า เสือตัวนี้มันบาป อีกไม่เกิน ๓ วัน เสือตัวนี้จะตาย” อีก ๓ วันต่อมา ก็มีโยม มาบอกว่าได้ยิงเสือตัวนั้นตายแล้ว เพราะมันมากินควายชาวบ้าน หลังจากนั้นท่านก็ได้ธุดงค์ต่อมาที่บ้านเหมืองบ่า และจําพรรษาอยู่บ้านเหมืองบ่า ๑ พรรษา ออกพรรษาแล้วมาอยู่ที่มุกดาหาร โยมบ้านน้ําก่ำมานิมนต์ไปจําพรรษาที่บ้าน

น้ําก่ํา พอออกพรรษามารับโยมแม่ไปบวชอยู่ที่บ้านน้ําก่ํา มีเณรบ้านน้ํากํา มาปฏิบัติอยู่ด้วย เลยให้เณรปลูกผักผลไม้ไว้

พบพระอาจารย์กรรมฐาน

ต่อมาหลวงปู่มั่นจะไปงานศพหลวงปู่เสาร์ มาพักที่วัดเกาะแก้ว หลวงปู่ลือจึงไปต้อนรับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ขณะนั้นท่านอาจารย์มั่น อายุประมาณ ๗๐ ปี หลวงปู่ลือประมาณ ๓๐ กว่าปีเห็นจะได้ หลวงปู่มั่นท่านให้ โอวาทเทศน์เรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา ท่านให้พิจารณาในสังขาร และเตือนว่าแก่เฒ่าแล้วให้กลับไปตายที่บ้านดีกว่า อยู่ต่อมาไม่นานท่านพระอาจารย์มั่นก็มรณภาพ หลวงปู่กล่าวถึงหลวงปู่มั่น และเล่าต่อไปว่า อาตมาได้ฟังเทศน์กับหลวงปู่มั่น แต่ไม่ได้จําพรรษากับท่าน ส่วนหลวงปู่เสาร์ท่าน ไปหาที่บ้านน้ําก่ำ ท่านมีพรรษาแก่กว่าหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเรียกท่านว่า อาจารย์ หลวงปู่ลือได้เล่าถึงหลวงปู่มั่นว่า ท่านมีอุบายสอนศิษย์ดีเลิศ ซึ่งใครๆ เมื่อได้รับฟังโอวาทจากท่านแล้ว มักจะติดใจอยากจะฟังเทศน์จากท่านเป็นประจํา ซึ่งโดยมากท่านจะเทศน์เรื่องอริยสัจ ๔ ให้ฟัง ส่วนหลวงปู่เสาร์ ท่านมาจากอุบลราชธานี ท่านชวนไปพบหลวงปู่มั่น จึงไปกับท่าน ไปนวดแข้งนวดขาให้ท่าน และรับฟังโอวาทจากท่าน ซึ่งพระอาจารย์ทั้ง ๒ องค์นี้ ท่านไปมาหาสู่กันเป็นประจํา อาตมาเห็นท่านแล้วก็เกิดศรัทธามาก หลวงปู่ลือ ท่านเล่าว่า หลังจากหลวงปู่เสาร์ไปพบหลวงปู่มั่น ที่อําเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี แล้วท่านก็เดินกลับไปอุบลราชธานีซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน คือ บ้านข่าโคม ส่วนหลวงปู่มั่นอยู่บ้านหนองหิน จังหวัดอุบลราชธานีเช่นกัน อาตมาพบท่านอีกครั้งหนึ่งเมื่อท่านจะไปงานศพหลวงปู่เสาร์

หลวงปู่เสาร์ ท่านไปถึงเมืองอุบลราชธานี ไปอยู่บ้านดอนธาตุ ฯ ท่านจะไปหาอุปัชฌาย์ของท่าน ปรากฏว่าอุปัชฌาย์ของท่านได้มรณภาพ วิญญาณไปเกิดเป็นเต่าในไหใส่กระดูก เรื่องพระอุปัชฌาย์ไปเกิดเป็นเต่านั้น หลวงปู่ลือเล่าว่า ได้รับการเปิดเผยจากพระอาจารย์ดี ฉันโน ซึ่งท่านได้ไปกับหลวงปู่เสาร์ด้วยได้ประสบเหตุการณ์มาด้วยตัวเอง หลวงปู่เสาร์ท่านนิมิตเห็นวิญญาณอุปัชฌาย์เป็นเต่าอยู่ในไหกระดูกที่ฝังอยู่ใต้ต้นไม้ ท่านจึงให้ผู้ใหญ่ทองและชาวบ้านขุดคู ท่านสั่งว่าขุดเร็วๆ อุปัชฌาย์อยู่ในไหนี้ ชาวบ้านขุดไปไม่นานก็พบไหใบใหญ่ใบหนึ่ง จึงสั่งให้เอาไหขึ้นมา พอเปิดดูปรากฏว่า มีเต่าตัวหนึ่งอยู่ในไหนนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ อุปัชฌาย์เกิดเป็นเต่าจริงๆ พระอาจารย์ดีเล่าให้ฟัง อาตมาไม่ได้ไปด้วยหรอก ผู้ใหญ่ทองถามว่าจริงหรือ หลวงปู่เสาร์ ตอบว่าจริงสิ เพราะจิตมันยังข้องอยู่ในโลก ตายแล้ว จึงมาเกิดเป็นเต่า แล้วจะไปไหนเล่า ก็ไปนรกน่ะสิเพราะยังไม่หมดกรรม หลวงปู่ลือกล่าวต่อไปว่า ในยุคนั้นพระธรรมยุตมีมาก หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น เป็นหัวหน้าหลัก ส่วนอาตมาปฏิบัติธรรมอยู่บ้านน้ําก่ํา อําเภอธาตุพนมเป็นหลักเช่นกัน จิตก็ คิดปรารถนาบําเพ็ญธรรมเพื่อให้พ้นกิเลส พระก็มา โยมก็มาปฏิบัติธรรม ด้วยกัน ไม่เหมือนสมัยนี้ เด็กก็บอกยากสอนยาก ผู้ใหญ่ก็บอกยากสอนยากไปทั่ว เถียงคําไม่ตกฟาก พูดมากก็ไม่ได้ หลวงปู่กล่าวอย่างท้อแท้ หลวงปู่ลือ กล่าวถึงหลวงปู่มั่นว่า ท่านสั่งสอนให้ตั้งอกตั้งในปฏิบัติธรรม เพราะเราเกิดมาในพระพุทธศาสนาแล้วให้ตั้งอยู่ในลมหายใจเข้าออก อย่าไปถือเอาสมมุติโลก มันสมมติทุกสิ่งทุกอย่างไป อย่าไปถือเอานะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ถือเอา ท่านจึงเข้าสู่พระนิพพาน เราทําให้ได้จะได้ไปสวรรค์นิพพาน

ท่านไม่ได้ไปงานศพหลวงปู่เสาร์ในครั้งนั้น เพราะหลวงปู่มั่นท่านให้อยู่ ดูแลรักษาโยมแม่ซึ่งกําลังป่วยมีอายุมากแล้วนั่นเอง หลวงปู่มั่นท่านรู้ใจอาตมาดีว่าใจเด็ดมาก นั่งอยู่หน้าผาถ้าง่วงนอนก็ให้ตกหน้าผาไปเลย หลวงปู่มั่น ท่านเป็นห่วงมาก ท่านจึงเตือนสติว่า อย่าไปนั่งภาวนาใกล้หน้าผา จะทําให้คนอื่นเขาเดือดร้อนด้วย หลวงปู่ก็รับปากว่าจะไม่ทําอีก นั่งภาวนาอยู่กับท่าน ท่านก็แอบดู กลัวอาตมาจะนั่งภาวนาหันหลังลงเหวอีก ท่านบอกว่า ตัวใครตัวมันก็จริงอยู่ แต่จะเดือดร้อนพวกเพื่อนๆ ที่ไปนั่งภาวนาด้วยกัน เพราะครูบาอาจารย์ตาย ญาติโยมจะไปพูดเล่นไม่ได้นะ อาตมาก็ตอบท่านว่า ให้มันตายเสียกิเลสตัวนี้ หลวงปู่ท่านเทศน์ให้ฟังว่า อย่าทําอย่างนี้อีกต่อไป ถ้าทําตายแน่ๆ ท่านถามว่ากลางคืนทําหรือเปล่า อาตมาก็ตอบว่า ทําครับผม ท่านบอกว่า อย่าทําอีกนะ อาตมาตอบว่า ผมเกลียดกิเลส เกลียดมันจะตาย เรื่องอาจารย์ใหญ่เทศน์ให้อาตมาฟังก็เป็นเรื่องของธรรม ๘ ท่านว่าอยู่ในใจนี้ แหละ เรื่องที่หลวงปู่มั่นท่านห้ามอาตมาก็มาทําอีก ที่วัดป่านาทามวนาวาส แห่งนี้ หลังจากหลวงปู่มั่นท่านมรณภาพแล้ว ทําอยู่องค์เดียว คือวันนั้น โยมมาบอกว่า อาจารย์วันนี้ไม่ต้องไปบิณฑบาต เพราะวันนี้เป็นวันพระ เขาไม่ให้ไปก็ไม่ไป จึงไปนั่งภาวนาหันหน้าลงเหวอีก ถ้าง่วงก็ให้ลงเหวไปเลย แต่คราวนี้อาตมาก็เกิดนิมิตขึ้นมา มองเห็นพระเดินอยู่ตรงหน้า มีเสียงเรียกว่า อาจารย์มาทางนี้ มาทางนี้ อาตมาก็บอกไปว่า ไปไม่ได้หรอก ถ้าไปก็ตายนะสิ อาตมามีสติอยู่อย่ามายุให้ตาย เป็นพระอย่างไรชวนให้ไปตาย เป็นพระชนิดไหน อาตมาพูดต่อว่า พระรูปนั้นหายวับไป

อยู่บ้านน้ําก่ำ ๒๒ พรรษา พอดีก็เกิดเรื่องขึ้นมา ได้มีหนุ่มบ้านน้ำก่ำ มาขโมยผลไม้ไปกิน หลวงปู่เห็นเข้า เลยเดินไปบอกว่ามันเป็นบาปนะ ถ้าอยากกินก็ให้มาขอพระเณรก่อน พวกหนุ่มๆไม่พอใจเลยเอาก้อนหินมาปาใส่หลวงปู่ แล้วก็ไล่ให้หนี ถ้าไม่หนีจะเอาปืนมายิง หลวงปู่เลยไปปรึกษา อาจารย์ทอง อาจารย์ทองเลยบอกให้หนี หลวงปู่เลยกลับมาอยู่ที่มุกดาหาร ที่วัดป่าศิลาวิเวก อยู่ที่วัดป่าศิลาวิเวก ๖ พรรษา ออกพรรษา ญาติโยมบ้านป่าชาดไปนิมนต์มาอยู่ที่วัดบ้านป่าชาด โยมแม่ป่วยหนักจึงอยู่ที่บ้านป่าชาด ๒ พรรษา โยมแม่ก็ตาย ญาติโยมมาเผาโยมแม่ทําบุญให้ท่านแล้ว

หลังจากออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์สมพร ผู้เป็นหลาน ได้มารับหลวงปู่กลับไปจําพรรษาที่วัดบ้านป่าชาด ชาวบ้านในบ้านป่าชาดนี้บางส่วน ที่ยังนับถือผีอยู่ มีอยู่คนหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับเขา กล่าวคือ พรานจ้ำ เขากลัวท่านมาก ขนาดอยู่ในหมู่บ้านไม่ได้ เขาพูดกับชาวบ้านว่า เขากลัวหลวงปู่มาก ชาวบ้านถามว่ากลัวท่านจะทําอะไร เขาตอบว่า ท่านไม่ได้ทําอะไรก็กลัว เขานอนบ้านไม่ได้ อยู่ในบ้านก็ไม่ได้ มันร้อนรุ่มกลุ้มใจ ถึงกับปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ชาวบ้านต้องขึ้นไปดึงลงมา ถามเขาว่า ขึ้นไปทําไม เขาตอบว่าขึ้นไปติดจักจั่นที่วัดของท่าน พรานจ้ำได้วิ่งหนีเข้าไปในหมู่บ้านอีก หลวงปู่จึงได้เทศน์ให้เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเสียจะได้เป็นสุข ในที่สุดพรานก็ เชื่อฟังหลวงปู่เป็นอย่างดี

ออกจากบ้านป่าชาดมาจําพรรษาที่บ้านนาป่า ๑ พรรษา อยู่ที่ภูกระแต ออกพรรษามาจําพรรษาที่บ้านห้วยทราย ๒ พรรษา มาอยู่วัดป่านาทามวนาวาส ๑ พรรษา พอออกพรรษาธุดงค์ไปจําพรรษาที่บ้านโนนสวาท ๑ พรรษา ช่วง ต้นปี พ.ศ.๒๕๒๒ ได้มีทหารมานิมนต์ให้เข้าวังถึง ๓ ครั้ง หลวงปู่ไม่รับนิมนต์ การไม่รับนิมนต์ในครั้งที่ ๓ นี้ หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า เกิดนิมิตเห็นไฟไหม้เครื่องบิน เลยไม่ไป ทหารกลับไป ต่อมาก็เกิดเครื่องบินตกในวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๒๓ มีท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านอาจารย์จวน ท่านอาจารย์วัน อาจารย์สุพัฒน์ หลวงปู่บุญมา และผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ขึ้นเครื่องบินไปด้วยกัน เครื่องบินตกตายเหลือแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม

หลวงปู่ธุดงค์มาอยู่ภูน้อย บ้านนาทาม สมัยนั้นบ้านนาทามเป็นป่าดงดิบอยู่ หลวงปู่อยู่องค์เดียว เกิดอาพาธหนักมากถึงขนาดไม่รู้กลางวันกลางคืน เป็นไข้มาลาเรียถึง ๗ ปี เทวดามาฉีดยาให้ มาบีบเส้นให้ เขานุ่งผ้าขาว เหมือนหมอ เขาลงบันไดไปก็หายไปเลย เขาพูดว่า “อาจารย์ผมมาถึงที่อยู่แล้ว” ได้ยินเสียงเปิดประตู เขาเอายามาฉีดให้เป็นยาจากเยอรมัน ให้โยมลองไปหาซื้อที่อํานาจเจริญก็ไม่มี ต่อมาก็หายเป็นปกติ เวลากลางคืนเทวดามาฟังเทศน์ เช้ามาใส่บาตรให้ ข้าวของเขามีสีขาวเหลืองอ่อนหอม ฉันแล้วหอมไปทั้งตัว โยมที่มาจังหันก็ได้กินกันหมดทุกคน บังบดมาใส่บาตรให้เป็นประจํา ต่อมาพวกสหายมาไล่ไม่ให้อยู่ หลวงปู่ถามว่า ทําผิดอะไรถึงไม่ให้อยู่ เขาบอกแต่เพียงว่าไม่ให้อยู่ หลวงปู่เลยพูดว่า “ไม่ไปไหนจะอยู่ที่นี้” เขาเลยขู่ว่าไม่กลัวปืนหรือ หลวงปู่ตอบ “ไม่กลัว” เขาเลยยิงหลวงปู่ ๑ ครั้ง ยิ่งไม่ออก ครั้งที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ออกอีก เขาเลยจากไป ต่อมามีทหารมาปราบพวกสหาย พวกสหายที่มายิงหลวงปู่ตายหมดทั้ง ๗ คน ทหารมาตั้งค่ายอยู่กับหลวงปู่ สหายเลยยิงปืนคอมาตกใส่วัด ๒ ลูก แต่ไม่แตกทหารเลยกู้ลูกปืนคอไว้ พอทหารเลิกค่ายกลับไป หลวงปู่เรียกสหายขึ้นมาบอกให้มอบตัว เพราะอยู่ป่ายังไงก็สู้พวกทางการไม่ได้ เทศน์สั่งสอนหลายอย่างจนสหายเข้ามอบตัวเมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๒๕ เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๒๖ หลวงปู่ไปจําพรรษาที่วัดป่าคําอาฮวน

กลับคืนมาตุภูมิ

ปลายปี ๒๕๒๖ กลับมาอยู่บ้านนาทาม ปี พ.ศ.๒๕๒๗ ไปงานศพ หลวงปู่บุญทัน ที่กบินทร์บุรี แล้วไปอินเดีย กลับมาจําพรรษาที่บ้านนาทาม ปี พ.ศ.๒๕๒๘ โยมที่ฉะเชิงเทรามานิมนต์ไปภาคใต้ เพราะอาจารย์จําเนียร ให้มานิมนต์ไปที่ถ้ําเสือ จังหวัดกระบี่ อาจารย์จําเนียร พาท่านไปชมเขาห้ายอด ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกบังบดอาศัยอยู่มากมาย กลับมาบ้านนาทามเริ่มสร้างถาวรวัตถุภายในวัด

ปี พ.ศ.๒๕๒๗ สร้างศาลาไม้

ปี พ.ศ.๒๕๒๘ สร้างกุฏิ ๔ กุฏิ

ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ สร้างกุฏิ ๒ กุฏิ , ศาลาโรงฉัน

ปี พ.ศ.๒๕๓๓ สร้างโบสถ์

ปี พ.ศ.๒๕๓๕ สร้างกุฏิ ๒ ชั้น

กาลเวลาที่หลวงปู่จําพรรษา

ที่อุดรธานี ๓ พรรษา บ้านนาโป่ง ๑ พรรษา

บ้านน้ําก่ำ ๒๓ พรรษา อ.ม่วงสามสิบ ๑ พรรษษ

วัดป่าศิลาวิเวก ๖ พรรษา บ้านป่าไร่ ๒ พรรษา

วัดหนองแต้ ๑ พรรษา บ้านห้วยทราย ๒ พรรษา

วัดเหมืองบ่า ๑ พรรษา บ้านโนนสวาท ๑ พรรษา

บ้านภูน้อย ๑ พรรษา บ้านคําอาฮวน ๑ พรรษา

วัดป่านาทาม (ภูน้อย) ๒๐ พรรษา รวม ๖๓ พรรษา

วันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๖ ฉลองอุโบสถเสร็จแล้วหลวงปู่ได้บอกไว้ว่า “อีก ๕ ปี ก็จะไป” ต่อมาหลวงปู่ก็เริ่มอาพาธมาเรื่อยๆ ไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นโรคถุงลมโป่งพอง พอกลางปี พ.ศ.๒๕๔๐ เกิดนิมิตมีเทพมาบอกให้หารากยาชาตรีขาว กับ รากเอ็นอ้าขาวมาต้มกิน อาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พอถึงวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๑ หลวงปู่เรียกพระในวัดมา แล้วก็บอกมอบกุฏิให้พระในวันดูแลต่อไปพร้อมกับบอกว่า ท่านจะไปแล้ว

อรหันต์ดับแล้วที่ภูน้อย

หลวงปู่ลือ รูปร่างท่านเล็กแต่แข็งแรงใจเด็ดเดียว กล้าหาญไม่กลัว อะไรเลย หลวงปู่ลี วัดเหวลึก เล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่เคยเที่ยวธุดงค์อยู่ด้วยกันที่ถ้ําพันวา บนเทือกเขาภูพาน ถ้ํานี้มีพวกโจรอาศัยอยู่ในถ้ํา ไม่มีใครกล้าเข้าไป แต่หลวงปู่ลือไม่กลัว หลวงปู่ลีพูดว่า “บุญลือซะอย่างไม่เคยกลัว” ท่านเข้าไปข้างในโจรก็ไม่กล้าทําอะไรท่าน ที่ไหนผีดุ เสือดุ หลวงปู่ลือ ต้องไป หลวงปู่เริ่มอาพาธหลังจากงานฉลองพระอุโบสถ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ ท่านเริ่มมีอาการถุงลมโป่งพอง หายใจไม่สะดวก เหนื่อยหอบ เริ่มเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมุกดาหาร จากนั้นรับการรักษาต่อมาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ นขอนแก่น โรงพยาบาลวิชัยยุทธ จ.กรุงเทพฯ รักษามาเรื่อยๆ ตามอาการ มีอาการหนักประมาณ ๕-๖ ครั้ง บางครั้งที่ท่านมีอาการหนัก ท่านจะพูดลอยๆ ออกมาให้ผู้ดูแลฟังว่า เขามานิมนต์ท่านแต่ท่านไม่รับ เพราะไปแล้วต้องกลับมาเกิดอีกเราไม่ไป เราจะไปพระนิพพาน ต่อมาครั้งสุดท้าย ประมาณ ๑ อาทิตย์ ก่อนที่ท่านจะละสังขาร ท่านพูดว่า “อาจารย์เรามานิมนต์ เรารับ เราจะไปพระนิพพาน ถ้าเราตายเช้าให้เผาเย็น” ท่านอาจารย์จงกับท่านอาจารย์เชื่อม ก็กราบเรียนว่า “ทําอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าพวกผมทําอย่างนั้นตํารวจจะจับเอา” ท่านบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นไปเอาเทปมา อัดเสียงท่านไว้ว่าเราสั่งไว้อย่างนี้ ถ้าใครไม่ทําตามให้เป็นบาปกรรม ถือว่าละเมิดครูอาจารย์ อาจารย์ทั้งสองเอาเทปมาอัดคําพูดท่าน แต่ขอไว้ว่า ถ้าทําอย่างนั้นไม่ทันขอเวลา ๓ วัน ท่านก็อนุญาต หลังจากนั้นประมาณ ๑ อาทิตย์ อาการของท่านก็ทรุดหนัก

วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เวลาประมาณสองทุ่ม พระกําลังไปทําวัตรอยู่ หลวงปู่อยู่กับลูกศิษย์ที่เป็นฆารวาสอยู่กันสองคน ท่านสั่งให้ลูกศิษย์ไปเอาเสื่อมาปู หาน้ําเย็นมา ๒ ที่ ท่านว่า “อาจารย์เราจะมา” ลูกศิษย์ไม่ทําตาม โดยคิดว่าท่านพูดลอยๆ อยู่กับท่านมาตั้งนาน อายุของหลวงปู่ก็มากขนาดนี้ไม่เคยเห็นอาจารย์ของหลวงปู่ที่ไหนเลย หลวงปู่เห็นว่าเขาไม่ทําตาม ท่านหยิบไฟแช็คได้ท่านขว้างมาลูกศิษย์หลบทัน ท่านคว้าไม้เท้าทําท่าจะขว้าง ลูกศิษย์เลยบอกว่า “ปูแล้วๆ” รีบหาเสื่อหาน้ํามาตามที่ท่านสั่ง หลังจากนั้นพอดีพระทําวัตรเสร็จกลับมานั่งคุยกับท่าน ท่านพูดคุยด้วยอารมณ์แจ่มใส ยิ้มแย้มอาการเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนหน้านี้อย่างผิดสังเกต เหมือนมีอาจารย์ของท่านมานั่งอยู่ด้วย อาจารย์ทั้งสองของท่านเป็นที่รู้กันอยู่ ท่าน พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เวลาผ่านไปประมาณ ครึ่งชั่วโมง ท่านบอกว่า “เราจะถ่าย” พระก็เตรียมอุ้มท่านไปเข้าห้องน้ํา ท่านบอกว่า “เราจะถ่ายตรงนี้” พระก็เลยเอากระโถนมาให้ท่านนั่ง มีเสียง ดังเหมือนมีอะไรหล่นลงมา ๒ เม็ด จากนั้นท้องท่านก็มีเสียงลั่นดังโอ๊กได้ยินกันทั่ว แล้วตัวท่านก็อ่อนลง พระช่วยกันอ้มท่านไปนอน ตรงกับวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๑ เวลาประมาณ ๒๑.๐๙ น.หลวงปู่ก็จากไปด้วยอาการสงบ ท่านก็ได้ละสังขารไปแล้ว ตอนนั้นก็ไม่ได้มีใครสนใจของในกระโถน เพราะกําลังวุ่นวายอยู่กับอาการของท่าน ต่อมามีลูกศิษย์อยู่นอกวัดเมื่อทราบข่าว ก็รีบมาที่วัดเพราะท่านเคยพูดไว้ว่า “เราตายวันไหนเหล็กไหลออกวันนั้น” พวกเขารีบไปดูกระโถนก็ไม่เห็นเสียแล้ว ไม่รู้ว่ามันหนีไปไหนแล้ว หลวงปู่ลี เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ลือเคยพูดเป็นนัยๆ กับหลวงปู่ลี เหมือนจะยกให้ แต่หลวงปู่ลีทําเป็นไม่ได้ยินเพราะท่านว่า ไม่รู้จะเอาไปทําอะไร ตอนเผาศพ หลวงปู่ลือ หลวงปู่ลีไม่ได้ไปเพราะท่านไม่ค่อยสบายคอยฟังข่าวอยู่

เมื่อท่านละสังขารแล้วมันฉุกละหุกไปหมด เตรียมการหาของอะไรก็ไม่สะดวก ต้องรีบทําให้เสร็จใน ๓ วัน ตามที่รับปากท่านไว้ท่านอาจารย์เชื่อม รีบทํางานศพของท่านอย่างเร่งรีบ ที่เผาศพท่านยังหาแผ่นเหล็กมารองไม่ได้เลย เอาทรายมาเกลี่ย เอาฟืนมากอง เอาหีบศพท่านวางบนกองฟืน อาจารย์จงท่านว่าไฟมันแรงมากลืมไปว่าตัวท่านเล็ก ไฟลุกมากจนนึกว่าจะเป็นขี้เถ้าหมด แต่แปลกเมื่อเผาเสร็จแล้วเก็บอัฐิธาตุอย่างอัศจรรย์ สมแล้วกับคําว่า “พระอรหันต์แห่งภูน้อย