ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ลี ตาณังกโร
วัดป่าหัวตลุกวนาราม
อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์
หลวงปู่ลี ตาณํกโร ท่านเคยได้ศึกษาอบรมธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์หลายรูป เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี , หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ , หลวงปู่ทอง อโสโก , หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร , หลวงปู่แว่น ธนปาโล เป็นต้น หลวงปู่ลี ท่านมีปฏิปทาและวัตรปฏิบัติที่เรียบง่าย สันโดษ ทำอะไรทำจริง รวดเร็ว กระชับฉับไว มุ่งมั่น กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และเปี่ยมด้วยเมตตาอย่างที่สุดไม่มีประมาณ
◎ ชาติภูมิ
หลวงปู่ลี ตาณํกโร มีนามเดิมว่า ลี นามสกุล ถุวัตถี เกิดเมื่อ วันเสาร์ที่ ๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๙ ตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๒ ปีฉลู ณ บ้านเลขที่ ๒๔ หมู่ที่ ๒ บ้านนาฝายเหนือ ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โยมบิดาชื่อ นายเคน ถุวัตถี โยมมารดาชื่อ นางอ่อนจันทร์ ถุวัตถี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด ๘ คน เป็นชาย ๕ คน และหญิง ๓ คน ดังนี้
๑. นางอบมา บูรพันธ์ (ถุวัตถี) ถึงแก่กรรม
๒. นายบุญตา ถุวัตถี ถึงแก่กรรม
๓. นางคำภา ม่องคำหมื่น(ถุวัตถี) ถึงแก่กรรม
๔. นายบุญเส็ง ถุวัตถี ถึงแก่กรรม
๕. นายอังคาร ถุวัตถี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อ-สกุลเป็น นายวิธาน สุชีวคุปต์และเป็นข้าราชการบำนาญมหาวิทยาลัยรามคำแหง)
๖. หลวงปู่พุฒ ฐานิสฺสโร มรณภาพ
๗. หลวงปู่ลี ตาณํกโร สำนักสงฆ์ป่าหัวตลุก
๘. นางบุญนาง ทองสงคราม อาชีพทำนา ปัจจุบันอาศัยที่บ้านนาฝายเหนือ
◎ ปฐมวัย
เด็กชายลีต้องกำพร้าบิดาในขณะที่อายุได้เพียง ๓ ขวบ ซึ่งยังเล็กมาก จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของโยมมารดาและพี่ๆ ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลครอบครัว และอบรมสั่งสอนเด็กชายลีมาโดยตลอด จนเมื่ออายุครบเกณฑ์ที่จะต้องเข้าโรงเรียน
เด็กชายลีเริ่มต้นเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล ๑๙ วัดบ้านนาฝายเหนือ หมู่ที่ ๒ ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีนายสมาน พินิจมนตรีเป็นครูใหญ่ในขณะนั้น จนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จึงได้ออกจากโรงเรียนแล้วมาช่วยครอบครัวทำนา
เด็กชายลีเป็นเด็กที่ชอบเล่นสนุก ชอบพูดจาหยอกเย้าเพื่อนฝูง แต่ไม่เคยรังแกเพื่อนหรือทำร้ายใคร แต่กลับเป็นเด็กที่ไม่ชอบพูดจาโอ้อวด ไม่ชอบมีเรื่องชกต่อยและเป็นเด็กที่รู้จักกลัวในบาปบุญคุณโทษ โดยเฉพาะเรื่องการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการฟังนิทานสอดแทรกคำสอนจากหลวงปู่จันดี ซึ่งเป็นตาของเด็กชายลี ทำให้เด็กชายลี ซึมซับธรรมะมาโดยไม่รู้ตัว หล่อหลอมให้เด็กชายลีมีจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรมและยังได้คอยชี้แนะเพื่อนๆ ไม่ให้ทำบาปอีกด้วย
เหมือนโชคชะตากำหนดให้เด็กชายลีต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนา ทำให้แคล้วคลาดจากเหตุการณ์ที่เกือบคร่าชีวิตไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น
วันหยุดเรียนวันหนึ่ง เพื่อนๆได้ชักชวนเด็กชายลีไปยังทุ่งนาเพื่อเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก และอาจจะได้กบหรือเขียดไปประกอบอาหารเป็นของแถม ขณะที่กำลังเดินอยู่บนคันนานั้น สายตาของเด็กชายลีก็เหลือบไปเห็นรูบนพื้นดิน ด้วยความสงสัยว่าจะมีกบหรือเขียดอยู่ในรู จึงเอามือขวาล้วงเข้าไป แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อสัตว์ที่อยู่ในรูนั้นไม่ใช่กบหรือเขียด หากเป็นงูเห่าที่ฉกกัดนิ้วกลางของเด็กชายลีทันที
ในสมัยนั้นยังไม่มีโรงพยาบาล ครอบครัวจึงต้องให้หมอยาพื้นบ้านมาทำการรักษา แต่พิษงูเห่าแผ่ซ่านทำให้เด็กชายลีเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว แต่เหมือนปาฏิหาริย์ เด็กชายลีมีอาการทุเลาดีขึ้นและหายเป็นปกติในที่สุด เหลือเพียงนิ้วกลางที่หงิกงอไม่สามารถเหยียดตรงได้เหมือนนิ้วอื่นเป็นร่องรอยมาจนถึงปัจจุบันนี้เท่านั้น การรอดชีวิตดังกล่าวจึงเหมือนเป็นการสะสมบารมีธรรมมาเพื่อบวชเรียนในพระพุทธศาสนา ดังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ว่า “สัตว์ผู้มีภพในที่สุด จะไม่เป็นอันตรายใดๆทั้งสิ้น ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผลนิพพานเสียก่อน
◎ เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
ออกจากบ้านมุ่งหน้ามาสู่วัด
เพราะวัดดัดอารมณ์ที่งมโง่
ยอมเป็นวัวเขาหลุดดุจคนโซ
หมดพยศ หมดโก้ หมดเกียรติงาม
ออกจากบ้านเข้าป่าสงบเงียบ
เพื่อฝึกจิตให้เรียบดังมุ่งหมาย
ออกจากบ้านไปหาที่ไม่มีตาย
จิตกับกายก็ต้องพรากจากกันเอย
เมื่อเติบใหญ่และเจริญวัยจนอายุสมควร เด็กชายลีจึงได้ตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุประมาณ ๑๙ ปีเพื่อศึกษาธรรมะและพระปริยัติธรรม ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาฝายเหนือ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน โดยมีพระอาจารย์บุญมา กลฺลญาโณ น.ธ.เอก เป็นเจ้าอาวาสและเป็นครูผู้สอนพระปริยัติธรรม
สามเณรลีได้ศึกษาหลักสูตรนักธรรมตรี ต่อเนื่องถึงนักธรรมโทแต่ตัดสินใจไม่ศึกษาต่อในชั้นนักธรรมเอก
เนื่องจากต้องการที่จะศึกษาวิปัสสนากรรมฐานมากกว่าการเรียนปริยัติธรรมและภาษาบาลีที่กำลังตื่นตัวกันมากในสำนักเรียนวัดโพธิ์ชัย ดังนั้นในปี พ.ศ.๒๕๐๒ สามเณรลีในขณะนั้นจึงได้ออกเดินทางจากวัดโพธิ์ชัยไปอยู่ที่ป่าช้าบ้านหนองโนเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมตามแนวทางของตัวเอง
◎ การปฏิบัติธรรม
พระราชาในกลดน้อย
กลดหนึ่งคันนี้หรือคือปรางค์มาศ
แม้เสื่อขาดเปรียบที่นอนอันอ่อนนุ่ม
มีมุ้งห้อยย้อยยานต่างม่านคลุม
มีบาตรอุ้มเปรียบเช่นเป็นโรงครัว
การเบนเข็มชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์สู่พระนักปฏิบัติไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล สืบเนื่องจากวันหนึ่งหลังจากที่เสร็จสิ้นจากการเรียนการสอบนักธรรม สามเณรลีได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว และได้รับรู้ข่าวร้ายที่สะเทือนจิตใจเป็นอย่างมาก นั่นคือ พี่สาวได้เสียชีวิตจากการคลอดลูก ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักโดยมิได้คาดฝัน ทำให้สามเณรลีคิดถึงสัจธรรมของชีวิตข้อหนึ่งว่า “สิ่งใดมีเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา”
หลังจากนั้นสามเณรลีได้เดินทางด้วยเท้าเปล่ากลับวัดโพธิ์ชัยด้วยระยะทางประมาณ ๑๖ กิโลเมตร เป็นการเริ่มต้นสละภาระของชีวิต และได้ออกเดินทางสู่ป่าช้าบ้านหนองโนในปี พ.ศ.๒๕๐๒
ก่อนที่จะออกเดินทางนั้น สามเณรลีได้พูดกับโยมมารดาและญาติพี่น้องอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เบิ่งดูหน้าข้อยให้คักๆเด้อ ครั้นข้อยบ่ได้เห็นธรรม สิบ่มาให้พวกเจ้าเห็นหน้าอีก” คำพูดนี้เป็นเหมือนการให้สัจจะปฏิญาณเพื่อที่จะเริ่มต้นศึกษาและปฏิธรรมอย่างจริงจังของหลวงปู่ลี
หลวงปู่ลี ท่านได้เดินทางมาอยู่ที่ป่าช้าบ้านหนองโน ห่างจากบ้านนาฝายเหนือประมาณ ๓ กิโลเมตรและได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อทองสุข สิริจนฺโท วัดป่าบ้านหนองโน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น
หลวงพ่อทองสุขเป็นพระปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ป่าช้าฉันเอกามื้อเดียว นั่งสมาธิ เดินจงกรมภาวนาเป็นหลัก เป็นที่รู้จักและเคารพนับถือของชาวบ้านโดยทั่วไป เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ อำเภอเมือง จังหวัดเลย ซึ่งเป็นศิษย์สายบูรพาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
ภายหลังหลวงปู่ลีได้ขาดการติดต่อกับญาติพี่น้อง และไม่มีใครทราบว่าท่านได้บวชเป็นพระภิกษุตั้งแต่เมื่อใด แต่ญาติพี่น้องก็มิได้เป็นห่วงเนื่องจากเห็นว่าท่านได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและงดงามดีแล้ว รับรู้แต่เพียงว่าหลวงปู่ลีได้เดินธุดงค์ไปจำพรรษาตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดป่าบ้านไร่ย็อก อำเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี และอีกหลายแห่งในจังหวัดนครพนม ท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่ออกเดินทางจาริกแสวงบุญไปเรื่อยๆ ไม่อยู่อาศัยประจำที่ อันแสดงถึงความไม่ยึดติด ดังที่ท่านได้เคยเล่าให้บรรดาศิษยานุศิษย์ฟังดังนี้
ปี พ.ศ.๒๕๐๓ หลวงปู่ลีซึ่งมีอายุได้ ๒๑ ปีได้ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนได้มีโอกาสกราบศึกษาธรรมะจากหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีอายุประมาณ ๕๙ ปีในขณะนั้น
ปี พ.ศ.๒๕๐๔ เมื่อหลวงปู่ลีเดินธุดงค์จนถึงอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีโยมถวายปัจจัย แต่หลวงปู่ลีไม่รับ เนื่องด้วยหลวงปู่มีปฏิปทาไม่จับเงินทอง โยมจึงถวายเป็นตั๋วรถไฟ หลวงปู่ลีจึงขึ้นรถไฟเดินทางไปถึงเพียงจังหวัดอุตรดิตถ์เท่านั้น
หลังจากนั้นก็เดินธุดงค์ต่อไปจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ และจำพรรษาที่ถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับถ้ำผาปล่อง ในอำเภอเชียงดาว โดยในหนังสือบูรพาจารย์ได้บันทึกถึงความสำคัญของถ้ำปากเปียงเอาไว้ว่า..
“เมื่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้พักบำเพ็ญธรรมที่ถ้ำเชียงดาวพอควรแล้ว ท่านได้จาริกผ่านมาบริเวณวัดถ้ำปากเปียง ต่อมาท่านได้ปรารภกับหลวงปู่แหวนว่า ถ้ำปากเปียงเป็นถ้ำที่เป็นมงคล มีพระอรหันต์มาดับขันธ์ที่นี้”
หลวงปู่ลีได้จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำปากเปียงอยู่แต่เพียงรูปเดียว ท่ามกลางสภาพที่เป็นป่าเขา เงียบสงัดและเหมาะสมแก่การภาวนายิ่งนัก และท่านได้ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นพระป่ากรรมฐานสายบูรพาจารย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่แว่น ธนปาโล (วัดถ้ำพระสบาย อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง) ขณะที่หลวงปู่ลีมีอายุได้ ๒๔ ปี หลวงปู่สิมมีอายุได้ประมาณ ๕๙ ปี และหลวงปู่แว่นมีอายุได้ประมาณ ๕๐ ปีเศษ
หลวงปู่ลี มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมและรับใช้หลวงปู่สิมอย่างอดทน ไม่เห็นแก่ความยากลำบากของการเดินทางสู่ถ้ำผาปล่องที่ต้องปีนป่ายเชิงเขา เมื่อฝนตกทำให้พื้นลื่น ก็ทำให้ไถลลงมา สองข้างทางก็เป็นป่าเขารกชัฏ ไม่ได้มีไฟฟ้าส่องสว่างหรือเป็นทางคอนกรีตสะดวกสบายอย่างเช่นทุกวันนี้
หลวงปู่ลีจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำปากเปียงและศึกษาพระธรรมจากหลวงปู่สิมและหลวงปู่แว่นได้ ๑ ปี โดยหลวงปู่สิมได้กล่าวแก่หลวงปู่ลีอันมีนัยยะเป็นปริศนาธรรมเอาไว้ในคราวที่หลวงปู่ลีสรงน้ำถวายหลวงปู่สิมว่า..
“คุณลี ภาวนาดีๆ ปฏิบัติตัวให้เหมือนพระพุทธรูป”
ปี พ.ศ.๒๕๐๕ ปฏิบัติธรรมที่อำเภอหนองบัวโคก จังหวัดชัยภูมิ
ปี พ.ศ.๒๕๐๖ ปฏิบัติธรรมที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี
ปี พ.ศ.๒๕๐๗ ปฏิบัติธรรมที่เขาช่องลม จังหวัดลพบุรี
ระยะเวลาหลังจากนี้ไม่มีใครทราบว่าหลวงปู่ลีได้ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ใดบ้าง เนื่องจากปกติแล้วหลวงปู่ลีไม่ค่อยได้อธิบายประวัติส่วนตัวมากนัก ด้วยอุปนิสัยที่ไม่ชอบพูดจาโอ้อวดนั่นเอง
ปี พ.ศ.๒๕๑๑-๒๕๑๒ หลวงปู่ลีได้เดินทางไปหาพระพี่ชาย (พ่อใหญ่วิธาน) ซึ่งได้บวชเป็นพระสงฆ์อยู่ในขณะนั้นที่วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องขอญัตติเป็นธรรมยุติกนิกาย ซึ่งพระพี่ชายได้แนะนำไปว่าให้ไปญัตติเป็นธรรมยุติกนิกายที่วัดสุรพิมพาราม ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เนื่องจากมีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายโยมแม่ซึ่งได้แก่คุณน้าอาจารย์โฮม เป็นผู้อุปถัมภ์วัดอยู่ รวมทั้งมีพระอุปัชฌาอาจารย์ที่เคร่งครัด เคารพพระธรรมวินัย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ดังนั้นในวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๒ เมื่อหลวงปู่ลีมีอายุได้ ๓๒ ปีเศษ จึงได้ขอญัตติจตุตถกรรมใหม่เป็นพระสงฆ์ในธรรมยุตินิกาย ที่วัดสุรพิมพาราม ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี โดยมี พระครูสารเมธากร (ลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณประสาทสารคุณ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์ชน เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระครูคุณสารวิจิตร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า “ตาณํกโร” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ต่อสู้เอาชนะซึ่งกิเลส”
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อใหญ่วิธานได้ให้ข้อมูลอีกว่า ภายหลังจากที่ท่านได้ลาสิกขามาใช้ชีวิตเป็นฆราวาสในทางโลก มีครอบครัว ประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ลี แล้วก็ได้รับคำตักเตือนให้สติจากหลวงปู่ลีว่า “พี่กำลังหลงระเริงไปตามวิถีโลก” คำเตือนนี้พ่อใหญ่วิธานได้จดจำไม่รู้ลืมมาจนถึงทุกวันนี้
ปี พ.ศ.๒๕๑๖ ปฏิบัติธรรมที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นพื้นที่สีแดง ในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังปราบปรามผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์
ปี พ.ศ.๒๕๒๐ – พ.ศ.๒๕๒๔ ปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย และได้ปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆ ในละแวกใกล้เคียงวัดหินหมากเป้ง เช่น ถ้ำฮ้าน ถ้ำพระบท วัดลุมพินี เป็นต้น โดยเมื่อถึงวันลงอุโบสถ ท่านก็จะมาลงอุโบสถที่วัดหินหมากเป้ง โดยมีเพียงแคร่ไม้ กระท่อมพอกันแดด กันฝน ไม่มีไฟฟ้าให้แสงสว่าง ใช้น้ำฝน หากอยู่ในป่าช้าก็ใช้น้ำที่ขังตามหลุมบ่อในป่าช้านั้นเอง แตกต่างจากกุฏิที่พักอาศัยในทุกวันนี้ที่เหมือนพระเศรษฐี ดังที่หลวงปู่ลีมักกล่าวแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเสมอ
ปี พ.ศ.๒๕๒๓ ปฏิบัติธรรมพักอาศัยที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง ได้ฝันไปว่ามีไฟไหม้พระพุทธรูป เมื่อรุ่งเช้าญาติโยมที่มาทำบุญได้นำหนังสือพิมพ์มาถวาย จึงได้ทราบข่าวเรื่องพระสงฆ์สุปฏิปันโนสายบูรพาจารย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้แก่ หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ , หลวงปู่วัน อุตฺตโม , หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร พระเถระและพระนวกะรวม ๗ รูป ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกมรณภาพทั้งหมด ที่ตำบลคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งหลวงปู่ลีเคยได้มีโอกาสกราบหลวงปู่จวนมาแล้ว
บางครั้งในระหว่างการธุดงค์จากภาคเหนือสู่ภาคอีสานนั้น หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล จนค่ำมืดแล้วไม่พบหมู่บ้าน ท่านจึงปักกลดพักแรมข้างทางซึ่งเป็นป่าทึบ พอรุ่งเช้าได้ยินเสียงไก่ขันจึงรู้ว่ามีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ จึงได้ออกบิณฑบาต และถามถึงสถานที่แห่งนั้น จึงได้รู้ว่าท่านได้ปักกลดที่สี่แยกหนองบัวโคก อำเภอจตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งต่อมาโยมก็ได้นิมนต์ให้หลวงปู่ลีจำพรรษาอยู่ที่นี่ด้วยความศรัทธา และหลวงปู่ก็รับนิมนต์ อันแสดงถึงคุณลักษณะของการเดินธุดงค์ที่ไม่ยึดติดในสถานที่ใดๆของหลวงปู่ลีนั่นเอง
ปี พ.ศ.๒๕๒๔ ร.ต.อ. กัมปนาท ทองคำพันธ์ สภ.อ.ลานสัก จังหวัดอุทัยธานี (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้จัดซื้อที่ดินมา ๑ แปลงเพื่อจัดสร้างวัด โดยได้ปรึกษากับพระเถระผู้ใหญ่เกี่ยวกับการที่จะกราบนิมนต์พระสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติดีงามมาจำพรรษา ในที่สุดก็ได้รับคำแนะนำให้นิมนต์หลวงปู่ลี ตาณํกโร และหลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ (วัดป่าศรีอุดมรัตนาราม ตำบลทมนางาม อำเภอโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี) มาจำพรรษา โดย ร.ต.อ. กัมปนาท ทองคำพันธ์ได้เดินทางไปนิมนต์ด้วยตนเอง แต่หลวงปู่ทั้งสองรับนิมนต์มาจำพรรษาได้ไม่นานนัก ก็แยกย้ายกันเดินธุดงค์ต่อไป โดยหลวงปู่ลี ได้เดินธุดงค์มาปักกลดพักอาศัยที่ป่าหัวตลุก อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ในช่วงเวลาก่อนเข้าพรรษา ๑๖ วัน สภาพป่าหัวตลุกในขณะนั้นเป็นพื้นที่แน่นขนัดไปด้วยป่ามะพร้าว แต่หลวงปู่ลีก็ตั้งจิตมั่นที่จะปักกลดปฏิบัติเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่นี่ ณ บริเวณต้นมะม่วงใหญ่ (ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบันในบริเวณด้านหลังกุฏิของหลวงปู่ลี) ซึ่งป็นที่ดินในกรรมสิทธิ์ของนายเล็ก ชื่นสุขุม
ต่อมาเมื่อญาติโยมชาวบ้านทราบข่าวว่ามีพระธุดงค์มาปักกลด จึงได้ร่วมกันปลูกสร้างกระท่อมมุงหลังคาแฝกให้หลวงปู่ลี ในช่วงแรกที่หลวงปู่ลีมาปักกลดที่ป่าหัวตลุก ได้มีพระผู้ปกครองเขตตำบลลาดยาว เดินทางมาตรวจสอบโดยสอบถามชาวบ้านว่าหลวงปู่ลีได้เรี่ยไรเงินทองจากชาวบ้านหรือไม่ มีการกระทำผิดกฏของสงฆ์ประการใดบ้างหรือไม่ เพราะในขณะนั้นสภาพสังคมเต็มไปด้วยผู้ไม่ประสงค์ดีต่อประเทศชาติแอบแฝงมาในรูปแบบต่างๆ เป็นความจำเป็นที่พระผู้ปกครองจะต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่คำตอบที่ได้รับจากชาวบ้านคือ หลวงปู่ลีดำรงตนเป็นพระสงฆ์ที่มีวัตรงดงามและน่าศรัทธา
โดยหลวงปู่ลีได้เคยจดบันทึกถึงเหตุการณ์ในขณะนั้นเอาไว้ว่า…
“การมาสร้างวัดครั้งแรกก็มีปัญหามากมาย บางคนเขาก็ว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ก็มี พวกญาติโยมเขาก็พูดไปตามกิเลสของเขานั้นเอง ญาติโยมเขาเห็นเราเป็นของแปลก เป็นคนแปลก เขาว่าพระอะไรไปอยู่ป่า พระต้องอยู่วัด ตอนแรกๆสถานที่อาตมาอยู่นี้เป็นป่า ญาติโยมปลูกกระท่อมให้อยู่ พอหลายปีไปญาติโยมเขาก็ค่อยรู้ไปเอง ครั้งแรกญาติโยมเขายังไม่รู้ ถ้าเขารู้เขาก็มีความภูมิใจที่เขาได้อุปัฏฐากเรา เขาว่าหลวงพ่อมาอยู่ทางนี้เป็นโชคดีของผม เป็นโชคดีของฉัน คนเราจะรู้ว่าคนร้ายคนดี ต้องอยู่ไปนานๆจึงรู้ ครั้งแรกก็ย่อมไม่รู้ คนเห็นกันครั้งแรกจะว่าดีเลยใช้ไม่ได้”
ต่อมาหลวงปู่ลีได้ตั้งสำนักสงฆ์ป่าหัวตลุกขึ้นบนเนื้อที่เพียงประมาณ ๒ ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน ญาติโยม ศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันทำบุญจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมจนมีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น ๓๘ ไร่ ๑ งาน ๔๔ ตารางวา และอยู่ในระหว่างขั้นตอนขอจัดตั้งเป็นวัดจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
◎ ตอกย้ำความเป็นพระนักปฏิบัติที่มากด้วยบารมีและมุ่งมั่นเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
ท่านพระอาจารย์อุทัย ฌานุตฺตโม (พระอาจารย์ติ๊ก) วัดป่าบ้านห้วยลาด อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ได้เมตตาเล่าประวัติการปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่ลี ตาณํกโร เมื่อครั้งเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่โดยผ่านจังหวัดนครสวรรค์ ให้กับคณะศิษย์ได้ฟังเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ณ ภัตตาคารเล่งหงส์ว่า
ประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๐ หลวงปู่ลีได้ปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชีงใหม่ จังหวัดหนองคาย โดยได้ศึกษาปฏิบัติก่อนหน้าท่านพระอาจารย์อุทัย
ในช่วงที่อยู่ในวัดหินหมากเป้งนั้น มีหลายครั้งที่หลวงปู่ลีออกเดินจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดลุมพินี วังน้ำมอก วัดป่าราชนิโรธเทสรังสี ถ้ำฮ้าน ถ้ำพระบท ฯลฯ จนเมื่อหลวงปู่เทสก์จะรื้อศาลาไม้เพื่อก่อสร้างเป็นศาลาคอนกรีต หลวงปู่ลีก็ได้ไปกราบลาขออนุญาตหลวงปู่เทสก์ออกธุดงค์ไปยังป่าเขาต่างๆ หลวงปู่เทสก์ก็ได้อนุญาต
ตั้งแต่นั้นมาท่านพระอาจารย์อุทัย ก็ไม่ได้เจอกับหลวงปู่ลีอีกเลย รู้แต่เพียงว่าหลวงปู่ลีเคยปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพลอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคีรีวิหาร อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย เป็นต้น
ท่านพระอาจารย์อุทัยยังได้เล่าอีกว่า.. ปกติหลวงปู่ลีเป็นพระสงฆ์ที่พูดน้อย ไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องอะไร เยือกเย็น ไม่ชอบมีปากเสียงกับใคร ไปเร็ว มาเร็ว ไม่ยึดติด ชอบวิเวก มุ่งมั่นปฏิบัติละกิเลส ไม่สะสม มุ่งเน้นการพิจารณากายและจิต เพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เมื่อครั้งที่ร่วมปฏิบัติธรมกับหลวงปู่ลี เคยฉันข้าวลิงด้วยกัน กล่าวคือมีข้าวนิดเดียวเท่านั้น แล้วต้องนำน้ำเปล่าเทลงไปให้ผสมกับข้าวในบาตรให้ข้าวพองจะได้มีปริมาณมากขึ้น จะได้อิ่มท้องไม่เกิดทุกขเวทนาขณะปฏิบัติธรรม จากที่เคยอยู่ร่วมกันก็ต่างคนต่างอยู่ กุฏิใครกุฏิมัน ไม่มีการพูดคุยสุงสิงนินทาใคร ต่างมุ่งปฏิบัติรีบเร่งความเพียรแต่เพียงอย่างเดียว จากกันไปนานเกือบ ๓๐ ปี มาพบกับหลวงปู่ลีอีกครั้งเมื่อคราวก่อนสร้างศาลาใหญ่ วัดป่าบ้านห้วยลาด อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย เมื่อปีพ.ศ.๒๕๔๙ นี้เอง
หลวงปู่เถื่อน กนฺตสีโล วัดพระธาตุหินเทิน อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ได้เมตตาให้สัมภาษณ์แก่นายประทิน พรมชาติ เจ้าของอู่ศุภชัยรุ่งเรืองการช่าง อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และนายวิสุทธิ สินเพ็ง รองปลัดเทศบาลนครสวรรค์ เมื่อวันที่ ๙ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ วัดพระธาตุหินเทิน ซึ่งได้เรียบเรียงจากการถอดเทปคำสัมภาษณ์ได้ดังนี้ว่า ท่านเคยนิมิตเห็นหลวงปู่ลีขณะกำลังปฏิบัติธรรม
“ในปี พ.ศ.๒๕๔๕ ซึ่งเป็นปีแรกที่อาตมามาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้เจอท่านหรอก เพราะตัวเองประสบการณ์ก็ยังมีน้อยก็เลยมาปฏิบัติ ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในเวลาประมาณ ๓ ทุ่ม ตอนอาตมาเดินจงกรม (ณ ป่าที่วัดพระธาตุหินเทิน) เห็นเป็นลำแสงพุ่งขึ้นมาจากในป่า มองเห็นด้วยตาเปล่า อาตมาก็ว่าเอ๊ะ! มีอะไรมาทำให้เกิดขึ้นนะ
ปี พ.ศ.๒๕๔๗ ก็เลยมานิมิตขึ้นมาอีกว่าไปเจอพระรูปร่างสูงขาว เห็นท่านเดินจงกรมอยู่รอบเขา อาตมาก็ไม่ได้ใส่ใจ ท่านก็เดินไปเดินมา พอเห็นเป็นพระท่านก็หายตัวไปในก้อนหินที่ในป่า ในนิมิตนะ คืออาตมาก็ไม่ได้พูดอะไร เหมือนหลวงปู่ลีท่านแสดงอยู่ หรือมาสอนอะไรก็ไม่รู้นะ ท่านก็เดินไปเดินมาแล้วหายเข้าไปนั่งสมาธิในก้อนหิน ท่านก็ไม่พูดอะไร ท่านก็นั่งดู เราก็ดูท่าน ท่านก็เลยนอน ในนิมิตท่านเป็นอัมพาตนะ ท่านเป็นอัมพาตนี้ท่านก็ดูสดใสดี อาตมาก็คิดว่าท่านเป็นอัมพาตยังไงเดินจงกรม หายไปหายมาได้ อาตมาก็เลยเกิดศรัทธาก็เลยเข้าไปกราบแล้วนมัสการพูดคุยกับท่าน
หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อเป็นอีหยัง”
หลวงปู่ลี “ผมพิการ เป็นมานานแล้ว”
หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อไม่มีคนดูแลแล้วหลวงพ่ออยู่ยังไง”
หลวงปู่ลี “ผมก็อยู่ยังงี้ของผมก็อยู่อย่างสบายๆ ผมไม่ได้ยึดมั่นในสังขารผมก็ สบายดี”
หลวงปู่เถื่อน “เวลากินอาหาร ฉันอาหารล่ะ ใครเอามาให้”
หลวงปู่ลี “ก็ฉันเท่าที่มี บางทีก็ไม่ฉัน ผมก็อยู่อย่างงี้ของผม” (แล้วท่านก็พูดในเรื่อง ธรรมะว่าสังขารร่างกายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้)
หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อปฏิบัติธรรมไปถึงไหนแล้วล่ะ”
หลวงปู่ลี “ผมสามารถรู้นะ”
หลวงปู่เถื่อน “รู้อะไรล่ะหลวงพ่อ”
หลวงปู่ลี “รู้ว่าคนจะไปสวรรค์น่ะ”
หลวงปู่เถื่อน “อ้าว รู้ได้อย่างไร”
หลวงปู่ลี “คนที่จะไปสวรรค์น่ะต้องผ่านผม”
หลวงปู่เถื่อน “งั้นผมจะรู้ได้ไงว่าที่ไปสวรรค์ต้องมาผ่านหลวงพ่อ”
หลวงปู่ลี “มีอยู่ ๒ คนในหมู่บ้านที่ท่านไปอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ จะได้ไปสวรรค์” (แล้วท่านก็ได้บอกชื่อคนที่จะได้ไปสวรรค์)
หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อรู้ได้ยังไง”
หลวงปู่ลี “เขามาหาผม”
อาตมาได้ถามในนิมิตต่อว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าเป็นคนขอนแก่น ท่านมีรูปร่างสูงขาว เห็นท่านก็ยังไม่รู้หรอกว่าเป็นหลวงพ่อลี ก็เกิดนิมิตอันนี้แหละ ว่าเอ้อ! นิมิตเราต้องมีพระมาหาเรา ไม่รู้ว่าเป็นดวงจิตหลวงพ่อมาหาอาตมาบ่อยมาก มาครั้งแรกบอกว่ามาเที่ยวดูเห็นเธอ อาตมาก็ถามว่าหลวงพ่ออยู่วัดไหน ท่านก็ตอบว่าวัดหัวตลุกนั่นแหละ หลวงพ่อมาดูเธอนั้นแหละ มาดูวัดทุ่งหินเทิน….
หลวงพ่อลีมาให้ธรรมะ เมื่ออาตมาได้เห็นท่านองค์จริงๆก็เห็นว่าร่างที่เห็นกับในนิมิตเหมือนกันกับท่าน จึงถามท่านว่าหลวงพ่ออยู่ขอนแก่นหรือ ท่านก็บอกว่าหลวงพ่ออยู่ขอนแก่น ได้เห็นมหัศจรรย์ก็เห็นหลวงพ่อลีนี่แหละมาปรากฏให้เห็นในนิมิตก่อน
อาตมาได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อลีเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๗ ตอนนั้นยังอยู่กุฏิเก่า โดยโยมพาไป ไปเจอท่านท่านก็ไม่ค่อยพูด ไปนั่งรออยู่ ๑-๒ ชั่วโมงกว่าท่านจะออกมาจากกุฏิ อาตมาก็กราบท่าน ก็เป็นองค์เดียวกับในนิมิตเลย แล้วก็บอกว่าจะมาปฏิบัติธรรมะกับหลวงพ่อ และเล่านิมิตให้หลวงพ่อฟังอย่างที่เล่ามานี่แหละ ถ้าอาตมาไม่นิมิตก็ไม่รู้ ตั้งแต่มาก็ไม่ได้นิมิตถึงใครเลย ได้กราบหลวงพ่อลีคนเดียวนี่แหละ หลวงพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ บอกว่าไม่มีใครมาพูดอย่างอาตมา แล้วบอกว่าอาตมาพูดถูกแล้ว ไม่ได้สอนอะไรมาก
อาตมาได้นิมิตถึงหลวงพ่อลี ก็ป็นสิ่งดี เพราะอาตมาก็ห่างจากครูบาอาจารย์มานาน สิ่งที่เห็นในนิมิตทำให้เห็นถึงสัจธรรม หลวงพ่อลีได้แสดงให้เห็นว่าเดินจงกรม นั่งสมาธิ เห็นตอนแรกก็ไม่ศรัทธา เพราะคิดว่าเป็นพระธรรมดา พอท่านแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติก็รู้สึกศรัทธาท่าน เชื่อมั่นว่าพระองค์นี้ต้องมีอะไรดีแน่ๆ จึงเข้าไปกราบแล้วถามท่านถึงร่างกายว่าเป็นอะไร ท่านตอบว่ามันเป็นสภาพของสังขาร เราไม่มีอำนาจเหนือมัน ท่านพูดในนิมิตอย่างนี้”
ปัจจุบัน หลวงปู่ลี ตาณังกโร ท่านเป็นพระมหาเถระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแห่งวัดหัวตลุกวนาราม ตำบลสระแก้ว อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ท่านมีอายุ ๘๕ ปี พรรษา ๕๑ (พ.ศ.๒๕๖๔)
◎ ส่วนหนึ่งของเหตุการณ์มหัศจรรย์จากการพบเห็นของศิษยานุศิษย์
๏ เรื่องของนายดาว
๐ เรื่องที่ ๑
นายดาว เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ ได้นำรถอีต๊อกมาช่วยขนดินพัฒนาสำนักสงฆ์ป่าหัวตลุก เมื่อขนดินขึ้นรถได้พอสมควร หลวงปู่ก็ได้บอกแก่นายดาวว่า พอแล้ว นายดาวได้ตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไรครับหลวงปู่ รถผมเคยบรรทุกมากกว่านี้ยังไม่เป็นไรเลย แต่เมื่อนายดาวขับรถออกมาได้หน่อยเดียว เหล็กสาลีรถอีต็อกก็เกิดขาดกลาง ทำให้นายดาวแปลกใจมาก เพราะเหล็กสาลี่นั้นมีขนาดใหญ่มาก ไม่น่าขาดได้
๏ เรื่องที่ ๒
หลวงปู่ลีได้ให้นายดาวเดินสายไฟและติดหลอดไฟ ๔-๕ จุดบนกุฏิไม้หลังหนึ่งเพิ่มเติม (ปัจจุบันได้รื้อถอนไปแล้วเนื่องจากปลวกกินจนผุ) ซึ่งมีการเดินสายไฟไว้แต่เดิมบ้างแล้ว นายดาวเดินไปถอดสายไฟที่เชื่อมกับสายไฟแรงต่ำเพื่อตัดไฟเข้าตัวกุฏิ แล้วนายดาวก็เดินสายไฟพร้อมกับต่อหลอดไฟ ในขณะที่ต่อสายไฟเข้ากับหลอดไฟนั้น นายดาวถอดปลอกฉนวนที่สายไฟออก แล้วใช้มือเปล่าจับบิดเกลียว พันด้วยเทปกาวพันสายไฟ ทำอย่างนี้ทุกจุดที่ต่อเข้ากับหลอดไฟจนเสร็จ ขณะที่เดินสายไฟนั้นหลวงปู่จะยืนดูใกล้ๆตลอดเวลา เมื่อเสร็จหลวงปู่บอกให้ไปลองตรวจดูว่าไฟฟ้าติดหรือยัง นายดาวจึงออกไปเพื่อจะไปต่อไฟ แต่พอมองกลับมาที่กุฏิกลับพบว่าไฟฟ้าติดทุกหลอด โดยที่นายดาวยังไม่ได้ต่อไฟ นายดาวแปลกใจและตกใจ เพราะนั่นเท่ากับว่าตัวเองต่อไฟด้วยมือเปล่าโดยที่มีไฟอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย นี่เป็นเพราะบารมีของหลวงปู่แท้ๆ
๏ เรื่องที่ ๓
นายดาวและนายจิ๊ ได้ทำการต่อสายไฟจากเสาไฟฟ้ามายังกุฏิโดยติดแล็คที่เสากุกิอย่างแน่นหนา พอเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่จึงถามว่า แน่นไหม นายดาวและนายจิ๊ตอบหลวงปู่ว่า เอาช้างมาฉุดก็ไม่หลุดครับ
หลวงปู่จึงเดินไปจับสายไฟแล้วลองดึงดู แล็คที่ติดยึดเอาไว้กลับหลุดลงมา จากนั้นหลวงปู่ก็หันมาบอกนายดาวและนายจิ๊ว่า อย่าคุย
๏ อย่าประมาทครูบาอาจารย์
มีชายคนหนึ่งมาทำบุญที่สำนักสงฆ์ป่าหัวตลุกโดยมากับเพื่อนที่เคยมาทำบุญที่นี่ พอทำบุญเสร็จก็กลับบ้านไป และได้กล่าวถึงหลวงปู่ว่า หลุกหลิกเหมือนลิง หลังจากนั้นประมาณ ๑ ปี ชายคนเดิมได้กลับมาทำบุญที่สำนักสงฆ์และได้เข้าไปกราบหลวงปู่ ขณะที่ก้มลงกราบ หลวงปู่ได้กล่าวยิ้มๆกับชายคนนั้นว่า ลูกลิงกราบพ่อลิงซะ ชายคนนั้นถึงกับตกตะลึงที่หลวงปู่ล่วงรู้ว่าได้เคยพูดถึงหลวงปู่ไว้อย่างไร จึงรีบกราบขมาหลวงปู่ทันที
◎ หลวงปู่ช่วยลูกศิษย์
๏ เรื่องที่ ๑
นายณรงค์ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของหลวงปู่เล่าว่า ได้ช่วยหลวงปู่ซ่อมฐานพญานาค ขณะที่กำลังทำงานอยู่หลวงปู่ได้บอกกับนายณงรค์ว่าให้ไปเอาเชือกมาผูกพญานาคเอาไว้ พอนายณงรค์เดินพ้นไปจากจุดที่ทำงาน พญนาคก็ล้มลงตรงนั้นพอดี คำสั่งของหลวงปู่ทำให้นายณรงค์แคล้วคลาดไปได้อย่างหวุดหวิด
๏ เรื่องที่ ๒
นายณรงค์เล่าว่านายจิ๊ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ ได้ช่วยหลวงปู่ทุบผนังกั้นห้องภายในกุฏิต้อนรับอาคันตุกะ ขณที่กำลังทุบผนังอยู่นั้น หลวงปู่ก็ได้เรียกนายจิ๊ให้ออกมาให้พ้นจากผนังที่กำลังทุบ พอนายจิ๊เดินพ้นตรงนั้น ผนังที่เหลืออยู่ด้านบนก็ร่วงลงมาพอดี
ก่อนที่หลวงปู่จะพูด หลวงปู่คิดทุกคำ
นายณรงค์เล่าว่าเมื่อตอนสร้างศาลาใหม่ๆวันนั้นเป็นวันตั้งแบบเทเสาศาลา หลวงปู่ถามว่า..ได้บอกเจ้าที่เจ้าทางหรือยัง ลูกศิษย์ได้ตอบหลวงปู่ว่า มาทุกวันคุ้นกันดีครับ หลังจากนั้นไม่นานขณะที่กำลังทำงานอยู่ นายณรงค์ดึงเชือกที่ผูกตัวรัดแบบเสาเพื่อให้เสาตั้งตรง แล้วตัวรัดเบบเสาหลุดกระเด็นมาถูกที่เบ้าตาพอดี นายดาวเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะ ไม่ทันขาดคำตัวรัดแบบเสาก็กระเด็นมาโดนศีรษะของนายดาว ทำให้ศีรษะโน นายไทลูกศิษย์อีกคนหนึ่งได้บอกว่า รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง จากนั้นไม่เท่าไหร่ นายไทก็เดินเตะตะปูได้รับบาดเจ็บไปอีกคน เป็นการสั่งสอนให้รู้จักระมัดระวังคำพูดก่อนพูดของหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่ได้เคยสอนเสมอว่าก่อนที่หลวงปู่จะพูด หลวงปู่ก็คิดทุกคำ
๏ ปาฏิหาริย์พระสมเด็จรุ่นแรก
ป้าคนหนึ่งมาที่สำนักสงฆ์ป่าหัวตลุกและเล่าเหตุการณ์ให้ลูกศิษย์หลวงปู่ฟังว่า ป้าขี่รถจักรยานยนต์กลับจากตลาดลาดยาวเพื่อจะกลับบ้านทางทุ่งแม่น้ำตามถนนสายลาดยาว-เขาชนกัน เมื่อถึงทางแยกเข้าบ้าน ป้าก็เลี้ยวรถตัดหน้ารถจักรยานยนต์ที่วัยรุ่นขับขี่มาด้วยความเร็วสูง จึงถูกชนอย่างแรงจนรถกระเด็นไปไกล ป้าได้เล่าต่อว่า ป้าตกใจมากลุกขึ้นยืนและสังเกตตัวเอง แต่ไม่เป็นอะไรเลย มีเพียงเคล็ดขัดยอกบ้าง ป้าเดินไปยกรถขึ้นมาแล้วขี่ต่อไปได้ ส่วนวัยรุ่นคนนั้นสลบไป แล้วป้าก็หยิบสร้อยที่คล้องคอออกมาให้ลูกศิษย์หลวงปู่ดู แล้วบอกว่าป้าคล้องสมเด็จหลวงปู่ลีรุ่นแรกที่ป้านับถือมากองค์เดียวเท่านั้น
๏ ฟ้าผ่าไม่ตาย
นายณรงค์เล่าว่ามีสองสามีภรรยามาเล่าให้ฟังว่าวันหนึ่งทั้งสองคนขี่รถจักรยานนต์กลับมาจากไปทำธุระขณะที่ผนกำลังตกพอดี เมื่อขี่มาถึงตรงโดนโม่ เกิดฟ้าผ่าลงมาพอดี ภรรยาของเขาได้นำถุงพลาสติกมาสวมหัวเอาไว้ และถูกสะเก็ดไฟกระเด็นมาโดนถุงจนเป็นรูพรุนเหมือนโดนสะเก็ดไฟจากเครื่องอ๊อกเหล็ก ทั้งสองสามีภรรยารู้สึกหน้ามืด หูอื้อ จนขี่รถส่ายไปมา จึงหยุดรถกลางถนน รถบัสที่ตามหลังมาจึงจอดและมีคนลงไปดู ปรากฏว่าทั้งสองสามีภรรยาไม่ได้เป็นอะไรเลย โดยสามีได้บอกว่าตนเองคล้องเหรียญรุ่นเจริญสุขของหลวงปู่ลี ตาณํกโร
๏ ใครชวนใคร
วันหนึ่งลูกศิษย์ของหลวงปู่ทราบข่าวว่าหลวงปู่เดินทางไปวัดม่วงจังหวัดอ่างทองและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บรรดาลูกศิษย์ได้นั่งพูดคุยกันและตอนหนึ่งนายเทวาได้พูดขึ้นว่า อยากรู้หนอว่าใครชวนใคร หลวงปู่ชวนหรือว่าผู้จัดการไวไวนิมนต์หลวงปู่ หลังจากที่พูดแล้วก็ชวนกันไปวัดเพื่อรอกราบหลวงปู่ เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น.หลวงปู่ก็มาถึงกุฏิและไปนั่งที่เก้าอี้ ลูกศิษย์ตามเข้าไปกราบหลวงปู่ ยังไม่ทันกราบเสร็จ หลวงปู่ก็ได้พูดขึ้นมาพร้อมทั้งชี้ไปที่ผู้จัดการไวไวว่า โยมเขานิมนต์หลวงปู่ไปน่ะ ลูกศิษย์ที่พากันไปกราบหลวงปู่ต่างหันมามองหน้ากัน และรู้สึกขนลุกซู่
๏ หลวงปู่เมตตาสารวัตรณรงค์
สารวัตรณรงค์ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของหลวงปู่เล่าว่าเมื่อตอนที่เข้าไปเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ใหม่ๆ ได้นำวัตถุมงคลที่ได้รับจากที่ต่างๆรวมใส่กล่อง เมื่อมีโอกาสจึงนำไปขอบารมีหลวงปู่เพื่ออธิษฐานจิตให้ หลวงปู่เอามือแตะที่กล่องแล้วว่าบอกว่าเสร็จแล้ว สารวัตรณรงค์คิดในใจว่าวัตถุมงคลจะได้รับพลังจากหลวงปู่ครบทุกองค์หรือไม่หนอ เกิดความลังเลใจ
พอตกกลางคืนสารวัตรก็ฝันเห็นหลวงปู่มานั่งตรงหัวเตียง แล้วบอกให้สารวัตรนำกล่องวัตถุมงคลกล่องนั้นมา สารวัตรจึงนำกล่องวัตถุมงคลมาถวาย หลวงปู่รับกล่องมาวางที่ตักแล้วเป่าให้ เพี้ยง! สารวัตรรู้สึกดีใจมาก จนตกใจตื่นขึ้นมาจึงได้รู้ว่าฝันไป สารวัตรบอกว่าตั้งแต่นั้นมาก็หายสงสัยลังเลใจทั้งสิ้นทั้งปวง