ประวัติและปฏิปทา
พระครูญาณโสภิต (หลวงปู่มี ญาณมุนี)
วัดญาณโศภิตวนาราม (วัดป่าสูงเนิน)
ต.สูงเนิน อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา
หลวงปู่มี ญาณมุนี ท่านเกิดในสกุล “มาศสูงเนิน” ในวันอาทิตย์ ที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๓๗ ตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑ ปีมะเมีย ที่อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
โยมบิดาของท่านชื่อ นายกิ มาศสูงเนิน และโยมมารดาของท่านชื่อ นางหมา มาศสูงเนิน มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๔ คน
๑.นายแสง มาศสูงเนิน
๒.นางแพง แจ้งสูงเนิน
๓. หลวงปู่มี ญาณมุนี
๔.นายรอด สว่างธรรม
ตอนเป็นเด็กท่านได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่ โรงเรียนวัดใหญ่สูงเนิน ท่านสอบไล่ได้ชั้นประถมปีที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๘
หลวงปู่มี ญาณมุนี ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุ ๒๐ ปี ในวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๗ ณ พัทธสีมาวัดใหญ่สูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา โดยมี พระครูสีหราชสมาจารมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา วัดกลางนคร ปัจจุบัน คือ วัดพระนารายณ์มหาราชวรวิหารเป็นพระอุปัชฌาย์ พระเทิ่ง วัดกลางนคร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระชื่น วัดกลางนคร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายา “ญาณมุนี” แปลความหมายว่า “ผู้ปรีชาหยั่งรู้” บวชแล้วได้อยู่จำพรรษาที่วัดใหญ่สูงเนิน
ในปี พ.ศ.๒๔๖๐ ได้ย้ายไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่ วัดดิษานุการาม (จางวางดิษฐ์) และวัดพลับพลาชัย แล้วย้ายไปอยู่วัดชนะสงคราม จังหวัดพระนคร ขณะนั้นได้ ๕ พรรษา ตอนเย็นหลังเลิกเรียนท่านจะมาฉันน้ำร้อนเป็นประจำทุกวัน มีอยู่วันหนึ่งมีแม่ชีอายุมากแล้ว ถามท่านว่า “คุณเคยนั่งสมาธิไหม?” ท่านตอบแม่ชีว่า “ไม่เคย” ตกเย็นมาฉันน้ำร้อน ถ้าเจอแม่ชีๆ ก็จะถามทุกครั้ง ครั้นถูกถามบ่อยๆ พอตกกลางคืน หลังไหว้พระสวดมนต์ ท่านได้ลองนั่งสมาธิ ปรากฏว่าจิตรวมสงบนิ่ง ซึ่งไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ท่านได้ตัดสินใจเลิกเรียนปริยัติธรรมกลับมาที่วัดใหญ่สูงเนิน และตัดสินใจออกประพฤติปฏิบัติธรรม เที่ยวธุดงค์ไปจำพรรษา เพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติ จากสำนักกรรมฐานต่างๆ พอท่านปฏิบัติไปได้ระดับหนึ่ง ท่านมีความประสงค์อยากจะเทียบดูว่า สิ่งที่ท่านปฏิบัติอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่
หลวงปู่มี ญาณมุนี ท่านได้เดินธุดงค์เข้าไปในประเทศพม่ากับ หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล ซึ่งเป็นสหธรรมิก ที่สนิทกันมาก
หลวงปู่มี ญาณมุนี และ หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล ได้ร่วมเดินธุดงค์กับ คณะหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ไปรวมตัวกันที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม แล้วแยกเป็นกลุ่ม เพื่อออกเผยแผ่ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ให้หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล ไปจำพรรษาที่บ้านชีทวน ส่วน หลวงปู่มี ญาณมุนี ให้ไปกับ ท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้กล่าวกับคณะพระธุดงค์ว่า “ให้เทศน์ให้ได้เหมือนท่านอาจารย์มี ญาณมุนี” หากทราบว่า อาจารย์มี ญาณมุนี ไปเทศน์ที่ไหน ท่านจะไปฟัง ขณะนั้น หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ยังเป็นสามเณร หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้เคยมาเยี่ยม หลวงปู่มี ญาณมุนี ที่วัดป่าสูงเนิน และถ่ายรูปร่วมกัน
ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่มี ญาณมุนี ได้นอนล้มป่วยไม่ฉันอาหารเป็นเวลา ๓ วัน มีพระเณรนั่งล้อม ส่วนชาวบ้านก็รอดูอาการอยู่ห่างๆ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) ได้มีหนังสือถึง หลวงปู่มี ญาณมุนี มีความว่า ให้ หลวงปู่มี ญาณมุนี กลับโคราช พอท่านได้รับหนังสือ ท่านได้ลุกขึ้นฉันอาหาร จัดบริขารเดินทางด้วยเท้าไปขึ้นรถไฟที่อำเภอวารินชำราบ สร้างความประหลาดใจ ให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก ทั้งที่ท่านล้มป่วยไม่ฉันอาหารมา ๓ วัน ทราบภายหลังว่า สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) ให้ท่านกลับมารับตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดใหญ่สูงเนิน ซึ่ง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) ได้มามอบตราตั้งด้วยตัวท่านเอง ที่วัดใหญ่สูงเนิน เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๑ ท่านได้สร้างสำนักกรรมฐานที่เสนาสนะป่าบ้านสูงเนิน ปัจจุบัน คือ วัดป่าญาณโสภิตวนาราม ไว้สำหรับผู้มุ่งประพฤติปฏิบัติเพียงอย่างเดียว
ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงพ่อสีลา อิสฺสริโก ได้เดินธุดงค์ผ่านมาเห็นสถานที่ สงบวิเวก เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรภาวนา จึงอยู่จำพรรษา ที่ถ้ำซับมืด ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๙๘ หลวงปู่มี ญาณมุนี พระอาจารย์ของหลวงพ่อสีลา อิสฺสริโก หลวงปู่ทา จารุธมฺโม และหลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม ได้มาจำพรรษา ที่ถ้ำซับมืด อบรมชาวไร่ให้รู้จำการให้ทาน รักษาศีล เจริญจิตภาวนา
ในประวัติของ หลวงปู่เครื่อง สุภทฺโท วัดสระกำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีษะเกษ ได้เล่าว่า หลวงปู่มี ญาณมุนี และลูกศิษย์รวม ๕ รูป ได้เดินธุดงค์วิเวกตามป่าเขา หนึ่งในนั้น คือ ท่าน หลวงปู่เครื่อง สุภทฺโท ได้เดินธุดงค์เข้าไปในป่าลึก บ้านซับม่วง เขตอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ลักษณะเป็นป่าดงดิบขึ้นตามเชิงเขา และชุกชุมด้วยไข้ป่า (ไข้มาลาเรีย) ได้พักปักกลด บำเพ็ญเพียรภาวนา มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งสวยงามชื่อถ้ำมืด ไม่เพียรแต่ถ้ำเท่านั้นที่มืด ป่าเขามืดทึบไปหมด ที่ว่าถ้ำมืดเพราะว่าแสงแดดส่องเข้าไปไม่ถึง อากาศไม่ค่อยพอหายใจ ภายในถ้ำมีความเย็นยะเยือก มีเถาวัลย์เครือไม้ระโยงรยางค์ ซึ่งต่อมาได้เรียกถ้ำนี้ว่า “ถ้ำซับมืด”
ปี พ.ศ.๒๕๐๔ ท่านได้ไปวิเวกทางภาคเหนือ และจำพรรษาที่วัดดอยพระเกิ๊ด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี หลวงพ่อทองพูล ฐิตปญฺโญ และ หลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำซับมืด (พ.ศ.๒๕๕๕) ได้ติดตามไปด้วย ส่วน หลวงปู่ทา จารุธมฺโม ท่านให้อยู่ดูแลวัดป่าสูงเนิน เพื่อคุมงานก่อสร้างศาลาการเปรียญและกิจการในวัดทุกอย่าง
ครั้นถึงกาลออกพรรษา ปี พ.ศ.๒๕๐๖ หลวงปู่ทา จารุธมฺโม ได้กราบนิมนต์ หลวงปู่มี ญาณมุนี ให้กลับมาฉลองศาลาการเปรียญ หลังจากฉลองศาลาการเปรียญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านได้ย้อนกลับไปจำพรรษาที่วัดดอยพระเกิ๊ดอีกครั้ง โดยให้ หลวงปู่ทา จารุธมฺโม และ หลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม ติดตามไปด้วย รวมระยะเวลาที่ท่านอยู่เชียงใหม่เป็นเวลา ๙ ปี ขณะที่ท่านอยู่ที่เชียงใหม่ ท่านสั่งให้ลูกศิษย์แยกย้ายกัน ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ท่านบอกว่าท่านไม่ได้มาหาที่ปฏิบัติ แต่ท่านมาเพื่อทำประวัติของท่าน
ท่านได้ตั้งสัจจะอธิษฐานกับพระเจ้าใหญ่พระประธานในวิหารวัดดอยพระเกิ๊ด ท่านอธิษฐานว่าอย่างไร หลวงปู่ทา จารุธมฺโม ไม่กล้าถาม และได้เกิดแผ่นดินไหว ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๑ มี หลวงพ่อทองพูล ฐิตปญฺโญ และ หลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม อยู่ด้วย ส่วนครั้งที่ ๒ มี หลวงปู่ทา จารุธมฺโม อยู่ด้วย
หลวงปู่ทา จารุธมฺโม เล่าให้ฟังว่า แผ่นดินไหวเฉพาะดอยพระเกิ๊ด เสียงดัง ฮึด ฮึด ฮึด นั่งโอนเอนไปมา เสียงดังถึงตีนดอย แผ่นดินไหวก็หยุด ท่านกล่าวว่า เคยอ่านพบแต่ในพุทธประวัติ ตอนนี้เจอด้วยตนเองไม่สงสัยแล้ว
วัดดอยเกิ๊ดมีงานกวนข้าวทิพย์ทุกปี มีอยู่ครั้งหนึ่งมีผู้หญิงรูปร่างสวยงามมาร่วมกวนข้าวทิพย์ กวนเสร็จก็หายไป ไม่ทราบว่าไปทางไหน ชาวบ้านถามกันว่าผู้หญิงที่มากวนข้าวทิพย์เป็นลูกหลานใครไปทางไหน ต่างคนต่างก็ไม่ทราบ สร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก ปีต่อมามีการกวนข้าวทิพย์อีก ชาวบ้านตั้งใจมองหาผู้หญิงคนดังกล่าวว่า จะมาร่วมกวนข้าวทิพย์อีกหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มาให้เห็นอีกเลย
หลวงปู่มี ญาณมุนี เป็นพระเถระที่เป็นที่เคารพนับถือ มีนิสัยสุขุมเยือกเย็น หนักแน่นในธรรมวินัย ชอบวิเวกอยู่เสนาสนะป่า ชอบสมถะ ถือสันโดษ เป็นที่เคารพนับถือของพระภิกษุ สามเณร ตลอดจนชาวบ้านเป็นอย่างดี
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อำเภอสูงเนิน มีเหตุการณ์แปลกประหลาด พอตกกลางคืนมีแสงประหลาดวิ่งตามถนน สร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก หลวงปู่มี ญาณมุนี ได้นำพระสวดเจริญพระพุทธมนต์ ทำน้ำมนต์ ไปประพรมตามที่ต่างๆ เหตุการณ์ครั้งนั้นก็สงบลง มีพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก รวมอยู่ด้วย เหตุการณ์ครั้งนี้ได้สร้างความศรัทธาเลื่อมใสแก่ชาวบ้าน และพ่อค้าชาวจีนในตลาดอำเภอสูงเนินเป็นอย่างมาก
ปี พ.ศ.๒๕๑๒ – ๒๕๑๔ ท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำซับมืด อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยมี หลวงปู่ทา จารุธมฺโม และ หลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม ติดตามมาอยู่ด้วย มีพระเถระมากราบเยี่ยมสนทนาธรรมกับท่านอยู่เสมอ เท่าที่ทราบมี หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่โชติ วัดวชิราลงกรณ์ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา หลวงปู่ทั้งสองได้มากราบเยี่ยม หลวงปู่มี ญาณมุนี เป็นประจำ ทั้งที่วัดป่าสูงเนิน และวัดถ้ำซับมืด
ปี พ.ศ.๒๕๑๔ หลังจากปวารณาออกพรรษา และรับกฐินแล้ว ท่านได้กลับไปพักอยู่ที่วัดป่าสูงเนิน เนื่องจากที่วัดถ้ำซับมืดปีนั้นอากาศหนามาก อาการอาพาธของท่านก็เริ่มกำเริบ ท่านอนุญาตให้ถ่ายรูป ซึ่งเป็นรูปสุดท้ายของท่าน ชาวบ้านได้ทำแคร่หามท่านจากวัดถ้ำซับมืดถึงบ้านซับม่วง นิมนต์ท่านขึ้นรถไปส่งที่วัดป่าสูงเนิน
วันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔ คณะลูกศิษย์มี หลวงพ่อสีลา อสฺสริโก หลวงพ่อสุพิน ปภสฺสโร หลวงพ่อสุคนธ์ จิตฺติวณฺโณ และ หลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม ได้พากันไปเยี่ยมท่านที่วัดป่าสูงเนิน ท่านได้พูดว่า “จะมามาติกาทีเดียวเลยหรือ” ทุกท่านที่ไปเยี่ยมก็มิได้เอะใจ สนทนาธรรมกันพอสมควร ท่านให้แยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนท่านก็เข้าห้องพัก
พอตกดึก หลวงพ่อสุคนธ์ จิตฺติวณฺโณ เห็นไฟในห้องหลวงปู่มี ญาณมุนี ยังเปิดอยู่ เกิดความสงสัยจึงได้ชวน หลวงพ่อสุพีร์ สุสญฺญโม ไปดู ค่อยๆ เปิดประตูห้องปรากฏว่าไม่ได้ใส่กลอน มองเข้าไปในห้องเห็น หลวงปู่มี ญาณมุนี นั่งพับเพียบห่อจีวรพาดสังฆฏิ นั่งก้มหน้า หันหน้าไปทางพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชา พอเข้าไปดูใกล้ๆ จึงได้ทราบว่า หลวงปู่มี ญาณมุนี ท่านได้มรณภาพแล้ว ตอนนั้นเป็นเวลา ตี ๔ ของวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๔ ท่านนั่งละสังขารด้วยอาการสงบ
รวมสิริอายุ ๗๗ ปี พรรษา ๕๗
ที่มา:ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ http://www.siripat.com