ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต ต.บ้านโคก อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
ชาติกําเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต ตําบลนางาม อําเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น นามเดิมของท่านชื่อ ผาง ครองยุต เกิดเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ ตรง กับวันอังคาร ขึ้น ๒ ค่ํา เดือนเก้า ปีขาล ที่บ้านกุดเกษียร ตําบลกุดเกษียร อําเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
โยมบิดาชื่อ ทัน โยมมารดาชื่อ บับพา ครองยุต มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๓ คน คนแรก เป็นหญิงชื่อ บาง ซึ่งบวชเป็นชื่อยู่ที่วัดอุดมคงคาคีรีเขต คนที่สองชื่อ คําแสน ส่วนตัวหลวงปู่เป็นคนสุดท้อง โยมบิดาและมารดามีอาชีพทํานาเป็นหลัก
การศึกษาทางโลกของหลวงปู่มีความรู้สามัญชั้นประถมปีที่ ๔ หลวงปู่มีอุปนิสัยรักความ เป็นธรรม ถือความสัตย์ พูดจริงทําจริง รักธรรมชาติ ชอบความสงบ เมตตาสัตว์มีแนวความ คิดสร้างสรรค์ และชอบทําประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม
เมื่อหลวงปู่มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาตาม ประเพณีลูกผู้ชายชาวไทย ได้ศึกษาพระธรรมวินัยมีความรู้พอสมควร ต่อมาเมื่อออกพรรษาจึงได้ ลาสิกขาจากสมณเพศมาประกอบสัมมาอาชีพ
หลังจากได้ลาสิกขาแล้วก็ได้สมรสกับ นางจันดี ตามประเพณี ได้ครองเรือนมาด้วยกัน อย่างราบรื่นเป็นเวลานานหลายปีโดยไม่มีบุตรสืบสกุล จึงได้ขอบุตรของญาติมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ชื่อ นางบุญปราง ครองยุต
เมื่อครั้งยังอยู่ในเพศฆราวาส หลวงปู่เป็นคนขยัน เอาจริงเอาจังกับการงานได้ประกอบสัมมาอาชีพโดยช่วยบิดามารดาทําไร่ทํานา บางครั้งก็เป็นพ่อค้าเรือใหญ่บรรทุกข้าวจากแม่น้ํามูล ไปขายตามลําน้ําชีน้อย บางครั้งก็เป็นพ่อค้าวัว นําวัวไปขายที่เขมรต่ําหลวงปู่ได้ใช้ความพยายาม อย่างเต็มที่ในการสร้างฐานะให้แก่ครอบครัว
หลวงปู่ผางได้ใช้ชีวิตในเพศฆราวาสเป็นเวลานาน สามารถรอบรู้เหตุการณ์ที่ผ่านมา พิจารณาดูความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและหมู่สัตว์ทั้งหลายบรรดามีในโลก เมื่อเกิดมาแล้วต่างก็สับสนวุ่นวายแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเป็นที่เดือดร้อนไม่สุดสิ้น หลวงปู่คงจะได้สั่งสมบุญบารมีมามาก ทําให้ท่านมองเห็นความไม่แน่นอนและความไม่มีแก่นสารในชีวิต ทําให้จิตใจของท่านโน้มเอียงไปในทางแห่งความสงบ ท่านได้ทําทานเป็นการใหญ่ โดยได้ให้เกวียน วัว บ้าน ไร่ นา แก่ผู้อื่น สละทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา
หลังจากที่หลวงปู่ในเพศฆราวาสได้บริจาคทาน วัว ควาย ไร่ นา บ้านเรือนให้แก่ผู้อื่นจนหมดสิ้นแล้ว ก็หมดห่วงและได้หันหน้าเข้าหาพระธรรม ดังนั้นเมื่ออายุได้ ราว ๔๓ ปี จึงได้ชวนกันกับภรรยาออกบวช ภรรยาได้บวชเป็นแม่ชี ส่วนหลวงปู่ได้เข้าอุปสมบทในฝ่ายมหานิกายที่ วัดบ้านกุดเกษียร อําเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีท่านพระครูศรี (วัดคูขาด) เป็น พระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “จิตตคุตโต”
หลังอุปสมบทหลวงปู่ผางได้เข้าศึกษาอบรมพระกรรมฐานอยู่ในสํานักวัดป่าวารินชําราบ อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี กับพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม (เจ้าคุณพระญาณวิศิษฎ์) และพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล ต่อมาหลวงปู่จึงได้รับการญัตติเป็นธรรมยุต ในวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๘ โดยมีพระมหาอ่อน เจ้าคณะอําเภอเขื่องในเป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เมื่อหลวงปู่ผางได้รับการญัตติเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกายแล้ว ท่านก็ยังเข้ารับการอบรมพระกรรมฐาน อยู่ในสํานักท่านพระอาจารย์สิงห์ต่อไปอีก เป็นเวลาอันสมควรแล้วจึงได้ออกปฏิบัติพระธุดงค์กรรมฐานไปวิเวกโดยลําพัง ต่อมาจึงได้พบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เกิดความเลื่อมใสได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และได้เข้าอบรมอยู่กับพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าบ้านผือนาในอยู่เป็นเวลาอันสมควร
คืนหนึ่งหลวงปู่ได้นิมิตไปว่า ได้ขี่ม้าขาวไปทางจังหวัดขอนแก่น ได้เห็นสถานที่ต่าง ๆ เลยไปจนถึงอําเภอมัญจาคีรีแล้วม้าขาวก็หยุดให้ท่านลง รุ่งเช้าขึ้นท่านจึงได้ลาพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ออกธุดงค์ไปตามนิมิตนั้นทันทีหลวงปู่ผางได้ท่องเที่ยววิเวกไปแต่ผู้เดียวในป่าเขา จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาหลายปีต่อมาท่านได้มาจําพรรษาอยู่ที่วัดป่าบรรลังค์ศิลาทิพย์ ตําบลบ้านแท่น อําเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น เป็นเวลาหลายปี จากนั้นหลวงปู่ได้ธุดงค์ต่อไปยังภูเขาผาแดง อําเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ได้พักแรมที่บ้านแจ้งทัพม้า และบ้านโสกน้ําขุ่นซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับวัดดูน ซึ่งเป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์มีบ่อน้ําซึมที่ไหลออกมาตลอดปีมิได้ขาด วัดดูนแห่งนี้เป็นโบราณสถานเก่าแก่ ชาวบ้านแถบนั้นถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยมีพระมหาสีทน กาญจโน ซึ่งได้ธุดงค์มาพบเข้าจึงได้บูรณะขึ้นเป็นวัดตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ต่อมาพระมหาสีทนได้เปลี่ยนชื่อจาก วัดดูน เป็นวัดอุดมคงคาคีรีเขต
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ หลวงปู่ผาง ได้ธุดงค์มายังวัดอุดมคงคาคีรีเขต อําเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ท่านอยู่จําพรรษาที่นี่จนตลอดชีวิตของท่าน เมื่อแรกที่หลวงปู่มาอยู่ที่วัดแห่งนี้ บริเวณนั้นยังเป็นป่าดงดิบ มีสตัว์ป่าดุร้ายมาก เช่น เสือ ช้าง หมี งูฯลฯ มีภูตผีปีศาจดุร้าย หลวงปู่ได้แผ่เมตตาจิตต่อสู้กับสัตว์ร้ายและภูตผีปีศาจ จนชาวบ้านในละแวกนั้นหายหวาดกลัว และสัตว์ร้ายก็หลบหนีข้ามเขาภูผาแดงไปหมด หลวงปู่ยังนิมิตเห็นโครงกระดูกของท่านแต่ชาติปางก่อนฝังอยู่บริเวณนั้นด้วย หลวงปู่เล่าไว้ว่า เมื่อแรกที่ท่านธุดงค์มาอยู่ที่วัดอุดมคงคาคีรีเขตนี้ ก็จําพรรษาอยู่กับ พระมหาสีทนเพียงสององค์ ได้พาญาติโยมสร้างกุฏิขึ้นสองหลัง ศาลาพักฉันข้าวหนึ่งหลัง ทายก ทายิกาประจําวัดที่ช่วยกันสร้างในตอนนั้น ได้แก่ นายผง บ้านโสกน้ําขุ่น นายหอม บ้านดอนแก่นเฒ่า และนายสม บ้านโสกใหญ่หลังจากนั้นต่อมาอีกสี่ห้าปี พระมหาสีทนก็ขอลาออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือไม่กลับมาอีกเลย
หลวงปู่ผางเป็นผู้มีความสามารถในการพัฒนาทั้งทางด้านวัตถุและทางด้านจิตใจหลังจากที่หลวงปู่มาอยู่ที่ วัดอุดมคงคาคีรีเขต ได้ไม่นานนัก ก็ได้สร้างฝายกั้นน้ําสองสามแห่ง สร้างกุฎีทั้งสิ้น ๕๒ หลัง สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์กู่แก้ว เจดีย์ถ้ํากงเกวียน และเจดีย์ใหญ่ สร้างศาลาใหญ่ สร้างสะพานคอนกรีตสามแห่งภายในวัด สร้างกําแพงรอบวัด จัดทําฌาปนสถาน จัดระบบสุขาภิบาล โดยสร้างถังประปาวางท่อน้ํา และจัดทําส้วมให้เพียงพอสร้างโรงอาหาร ศาลาฉัน โรงซักผ้าย้อมผ้า โรงไฟฟ้า เป็นต้น ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ถึง ๒๕๐๗” ได้นําชาวบ้านโดยร่วมมือกับหน่วย กรป.กลาง สร้างและพัฒนาเส้นทางแยกจากทางหลวงสายอําเภอมัญจาคีรี-แก้งคร้อ ไปยังวัดอุดมคงคาคีรีเขต เป็นถนนลงหินลูกรัง กว้าง ๕ เมตร ยาว ๑๒ เมตร ทางด้านการศึกษาหลวงปู่ได้นําราษฎร สร้างโรงเรียนระดับประถมศึกษาชื่อ โรงเรียนอุดมคงคาคีรีเขต มีสาธารณะประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย ที่หลวงปู่ได้เข้าไปช่วยเหลือเกื้อกูล และแม้แต่วัดของท่านก็ได้รับยกย่องจากกรมการศาสนา กระทรวง ศึกษาธิการ ให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่เริ่มต้นมาดีก็สําเร็จเรียบร้อยด้วยดีในบั้นปลาย
ในสมัยก่อนชาวบ้านแถวมัญจาคีรีนับถือภูตผีมาก แต่ละหมู่บ้านก็มีตูบตาปู่ (ศาลเจ้า) ไว้ประจําหมู่บ้านเพื่อกราบไหว้ เช่น สรวงบนบานบอกกล่าวขอความคุ้มครอง หลวงปู่ผางสั่งสอน ชาวบ้านให้เล็กนับถือผีหันมานับถือพระรัตนตรัย แต่ชาวบ้านเกรงกลัวผีจะมาทําร้ายทําให้เกิดความลําบากไม่อาจเลิกนับถือผีได้ หลวงปู่มีอุบายอันชาญฉลาดเพื่อที่จะให้ชาวบ้านได้เห็นว่าพระรัตนตรัย ย่อมมีอานุภาพมากกว่าผี ท่านจึงให้ชาวบ้านเผาตูบตาปู่ทิ้งเมื่อชาวบ้านไม่กล้าเผา ท่านก็ให้กําลังใจ ชาวบ้านและบอกว่าถ้าเจ้าปู่เจ้าผี เจ้าของตูบตาปู่มีจริงก็ให้เข้ามาดับไฟเอาเอง ชาวบ้านจึงได้กล้าเผา บางครั้งเมื่อมีคนถาม หลวงปู่ว่า เชื่อว่าผีมีจริงไหม หลวงปู่ก็จะตอบว่า เชื่อมาตั้งนานแล้ว เมื่อถามว่า หลวงปู่เคยเห็นผีไหม หลวงปู่ตอบว่า เคยเห็นอยู่บ่อย ๆ และเมื่อถามว่า หลวงปู่คิดกลัวผีบ้างไหม หลวงปู่ตอบว่ากลัวอยู่เหมือนกัน เพราะผีพวกนี้มันพูดยากสอนยาก แล้วก็ถามว่า ผีมีรูปร่าง หน้าตาอย่างไร ผีพูดเป็นด้วยหรือ หลวงปู่ก็ตอบว่า ก็ที่กําลังนั่ง กําลังถามอยู่นี่แหละคือผีทั้งนั้นเลย
หลวงปู่ได้เข้ารับการตรวจสุขภาพทั่วไปที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๒๔ อายุได้ ๘๐ ผลตรวจปรากฏว่าสุขภาพทั่วไปดี ความดันโลหิตและชีพจรปกติ ตาเริ่มเป็นต้อกระจกอ่อน ๆ ทั้งสองข้าง ผลเอ็กซเรย์ปอด คลื่นหัวใจเป็นปกติ ผลการตรวจเลือดพบว่าหน้าที่ ของไต ตับ และระดับไขมันในเลือดปกติ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ หลวงปู่ได้ไปเข้ารับการตรวจอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากมีอาการแน่นท้อง จากการเอ็กซเรย์ระบบทางเดินอาหาร พบว่าหลวงปู่ เริ่มเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร คณะแพทย์โรงพยาบาลแพทย์ปัญญาได้ถวายคําแนะนําให้รักษาโดยการผ่าตัด แต่หลวงปู่ไม่ยินยอมวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ หลวงปู่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเดิมอีก ด้วยอาการอ่อนเพลียเนื่องจากมีอาการเลือดออกในทางเดินอาหารและแพทย์ยังพบว่า มีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจตาย หลวงปู่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลสลับกับไปพักที่บ้านคุณนายเข็มทอง โอสถาพันธุ์ จนกระทั่งวันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ ทางคณะศิษย์จึงได้นิมนต์กลับวัดอุดมคงคาคีรีเขต หลังจากหลวงปู่กลับวัดได้ไม่กี่วัน ก็มีอาการอาเจียน ฉันอาหารและน้ําไม่ได้ ปัสสาวะน้อย และได้ละทิ้งขันธ์ไปเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๕
ก่อนมรณภาพไม่กี่วัน สังขารร่างกายของหลวงปู่ทรุดโทรมมาก บรรดาศิษย์ต่างวิตกไปตาม ๆ กันและปลงใจว่าหลวงปู่ไม่รอดแน่ ยิ่งได้เห็นความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าความทุกขเวทนาที่ หลวงปู่ได้รับอย่างแสนสาหัส ศิษย์ทุกคนกลั้นน้ําตาไว้ไม่ได้ หลวงปู่ทราบดีในเรื่องนี้ จึงได้ตั้งปัญหาถามคณะศิษย์ที่คอยเฝ้าดูอาการอาพาธอยู่โดยรอบในขณะนั้น เพื่อเป็นการเตือนสติว่า “อยากเป็นไหมล่ะอย่างนี้” ช่างเป็นคําถามที่ประทับใจเสียจริง ๆ
ธรรมโอวาท
หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต เป็นพระนักปฏิบัติที่มั่นคงอดทนเป็นเลิศรูปหนึ่ง ชอบทํามากกว่าพูด บทโอวาทเทศนาสั่งสอนต่าง ๆ จึงไม่ค่อยมี ท่านมีอุดมคติอยู่ว่า
“มีชื่อบ่อยากให้ปรากฎ มียศบ่อยากให้ลือชา”
ศีลข้อห้าเป็นข้อที่หลวงปู่ย้ําเน้นตลอดมา หลวงปู่มักจะให้โอวาทให้พรว่า
“อย่าสิเอาพระรัตนตรัยไปกินเหล้าเด้อ” ให้สบาย ๆ เด้อ” “ให้อยู่ดีมีแฮงเด้อ”
เนื่องจากหลวงปู่ไม่เป็นพระนักพูดนักเทศน์ที่ดี แต่สอนคนอื่นแล้วตนเองไม่ปฏิบัติตาม ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถจะนําบทเทศนาสั่งสอนมาลงให้เป็นเรื่องเป็นราวได้เหมือนอย่างที่เห็นโดยทั่วไป แต่ก็พอสรุปโอวาทที่หลวงปู่เคยพร่ําสอนบรรดาสานุศิษย์อยู่โดยมากได้ดังนี้
- ให้พากันวางความตาย อย่าเสียดายความมี ตู้คัมภีร์ใหม่อยู่ในกายเฮานี่
- (ให้พากันวางความตายอย่าเสียดายความมั่งมี ตู้พระไตรปิฎกอยู่ในกายของเรานี้)
- ให้พากันพายเฮือข่วมทะเลหลวงให้ม่มฝั่ง อย่าสิกลับต่าวปี้นนํา ทั่วหมากแบ่งดง
- (ให้พากันพายเรือข้ามทะเลหลวงให้รอดฝั่ง อย่าได้กลับมาวนเวียนอยู่กับวัฏฏสงสาร)
- ให้ภาวนาว่า ตาย ๆ ผีกะย่าน บ่กล้ามาใกล้ดอก
- (ให้ภาวนาว่า ตาย ๆ ผีก็จะกลัว ไม่กล้าเข้ามาใกล้)
- หมอบ ๆ เข่าหัวเท่าง่ายาง ย่างโย่ง ๆ หัวแทบขี้ดิน
- (คนพาลถึงจะทําเป็นอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างไร เขาก็รู้ว่าเป็นคนพาลอยู่นั่นเอง หรือ ได้แก่คนที่เคารพแต่กายส่วนใจไม่เคารพ ส่วนคนที่มีความเคารพ ถึงแม้จะคุยโวไม่ เคารพ แต่ใจนั้นเคารพอยู่)
- มีดพร้าโต้ควงแบกท่วมหู คมมันบางท่อคูคันต้อน ซุยซ้ําซะ ลากดินจําค้น
- (คนผู้มีอาวุธคือปัญญาหรือศีลธรรมอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าจะแสดงตนว่าไม่ดีอย่างไร เขา ก็รู้ว่าเป็นคนดีอยู่นั่นเอง)
- คนสามบ้านกินน้ําส่างเดียว เที่ยวทางเดียว บ่เหยียบฮอยกัน
- (คนสามหมู่บ้านดื่มน้ําจากบ่อเดียวกัน เดินบนเส้นทางเดียวกันแต่ไม่เหยียบรอยเท้า กันหมายถึง คนทุกวันนี้ดื่มน้ําจากแหล่งเดียวกันคือ น้ําประปา และการเดินทางทุกวันนี้ใช้รถยนต์ไม่มีรอยเท้าให้เห็น)
- อย่าได้มัวเมาหม่นนําดวงดอกไข่เน่า เมานําชั่วหมากหว้ามันสิช้าค่ําทาง ๆ
- (อย่าได้มัวเพลิดเพลินอยู่กับดอกไม้หอมในป่า หรือลูกไม้ในป่า จะทําให้ชักช้าไปไม่ ถึงที่หมาย หมายถึงอย่าได้มัวเพลินอยู่ในกามารมณ์ จะทําให้เราชักช้าไม่พ้นวัฏฏสงสาร) ลิงกับลิงชิงขึ้นต้นไม้ บัดสิได้แม่นบักโกกนาโถ (เมื่อลิงทั้งหลายแย่งชิงกันขึ้นต้นไม้ ตัวที่แย่งได้เป็นตัวที่มีความคล่องแคล่วว่องไว กว่า เพื่อน)
- นักปราชญ์อู่หลง หงส์ทองถูกบ้วง ควายบักตู้ตื่นไถ
- (นักปราชญ์ยังมีโอกาสพลาด หงส์ทองยังมีโอกาสติดบ่วง และควายที่คุ้นกับไถก็ยังตื่น ไถได้ หมายถึงบุคคลผู้รู้จักบาปบุญแล้วยังหลงทําความชั่วได้ บุคคลผู้มีสติก็ยังขาด ความระมัดระวัง และบุคคลที่เป็นผู้รู้แล้วยังเป็นพาลได้)
- อย่าพากันเที่ยวทางเวิ่งเหิงหลายมันสิค่ํา เมานําพัวหมากหว้ามันสิช้าค่ําทาง
(อย่าพากันเถลไถลออกจากทางตรงเดี๋ยวจะมืดค่ําก่อน อย่ามัวเพลินกับผลไม้ป่าจะ ทําให้ชักช้ามืดค่ําในระหว่างทางได้)
- พุทโธ พุทโธ หัวใจโตกะรักษาบได้
- (รู้จักแต่พุทโธ พุทโธ แต่ไม่รู้จักจิตใจของตัวเอง)
- ศีลมีมากมายหลายข้อ บ่ต้องรักษาเหมิดทุกข้อดอก รักษาแต่ใจเจ้าของอย่างเดียวให้ดี ท่อนั้น กาย วาจา กะสิดีไปนํากัน
- (ศีลมีมากมายหลายข้อ ไม่ต้องรักษาหมดทุกข้อหรอก รักษาแต่ใจตัวเองอย่างเดียว ให้ดีเท่านั้น กายวาจาก็จะดีไปด้วยกัน)
ปัจฉิมบท
หลวงปู่ผางเป็นพระสงฆ์ผู้มีจิตใจเมตตาอยู่เสมอ ท่านบําเพ็ญพรหมวิหารธรรมเมตตาบารมีของท่านนี้เป็นกระแสธรรมที่นุ่มนวลเยือกเย็น ในวัดอุดมคงคาคีรีเขต มีบึงเป็นที่อาศัยของจระเข้อยู่แห่งหนึ่ง ทราบว่ามีอยู่หลายตัว บางคราวน้ําป่าหลากมามาก ทําให้จระเข้หนีไปอยู่ในถิ่นอื่น หลวงปู่ต้องตามไปบอกให้กลับมาเฝ้าวัดที่บึงแห่งเดิมและจระเข้ก็กลับมาจริง ๆ ด้วย เล่ากันว่าวันที่หลวงปู่มรณภาพ จระเข้ลอยไปทางด้านเหนือของบึงและร้องเสียงดังอยู่เป็นเวลานาน คล้ายจะบอกให้รู้ว่า หลวงปู่จะจากพวกเราไปแล้ว และเป็นการแสดงถึงความอาลัยอาวรณ์ของสัตว์ คราวหนึ่งได้มีการสร้างกุฎีในบึงดังกล่าว พวกช่างไม่กล้าลงไปปักเสาในน้ําเพราะกลัวจระเข้ หลวงปู่ต้องลงไปยืนแช่ในน้ํา คอยไล่ไม่ให้จระเข้เข้ามารบกวนพวกช่าง เมื่อถูกถามว่าไม่กลัวจระเข้หรือ หลวงปู่ตอบว่าเลี้ยงมันมาแต่เล็กแต่น้อยจะไปกลัวมันทําไม อีกเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังเมตตาของหลวงปู่คือ หลายครั้งที่เกิดเหตุไฟป่าใกล้กับบริเวณวัดบรรดาสัตว์ป่านานาชนิดกระเสือกกระสนหนีไฟเข้าไปอาศัยในเขตวัด ส่วนพวกที่หนีไฟไม่ทันเพราะหมดกําลังและยังอ่อนก็ถูกไฟไหม้ตายเป็น กองอย่างน่าเอนจอนาถ หลวงปู่ย่อมเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ด้วยพลังแห่งเมตตาธรรมที่มีอยู่ในใจ เป็นเหตุให้หลวงปู่ต้องอดอาหารเป็นเวลาหลายวัน เข้านั่งสมาธิเพื่ออุทิศกุศลผลบุญให้แก่สัตว์ที่ถูกไฟไหม้ตาย
หลวงปู่ผาง เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ท่านเป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็งแก่กล้ามาก ปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลม อีกทั้งวาจาของท่านที่พูดออกมาก็มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นจริง ดังคําพูดของท่านเสมอ มีเรื่องเล่ามากมายที่เกี่ยวข้องกับไหวพริบปฏิภาณของหลวงปู่ เช่น
มีครั้งหนึ่ง มหาน้อยเป็นชาวอําเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นมีนิสัยชอบถามปัญหาธรรมกับพระสงฆ์อยู่เป็นประจํา วันหนึ่งได้ไปนมัสการหลวงปู่ที่วัด แล้วถามหลวงปู่ว่า
“เขาว่าพระกัมมัฏฐานถือธุดงควัตร อย่างหลวงปู่ไม่รับเงินรับทองและใช้จ่ายรูปิยะ วัตถุอนามาสด้วยมือตนเองใช่ไหม ?”
หลวงปู่ มองดูหน้ามหาน้อยแล้วถามกลับว่า “ถามทําไม ?”
มหาน้อยตอบ “ก็อยากรู้สิหลวงปู่ถึงถาม”
หลวงปู่ตอบ “ก็ใช่นะสิ”
มหาน้อยพูดต่อว่า “นั่นก็แสดงว่า หลวงปู่ได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ หมดความอยากแล้วใช่ไหม”
หลวงปู่ตอบว่า “เอ้า จะพูดไปอะไรปานนั้น ต้องเป็นอรหันต์ เท่านั้นเหรอจึงจะไม่จับเงิน จับทอง พระคนธรรมดาไม่จับไม่ได้หรือ”
มหาน้อยพล่ามต่อไปอีกว่า “ผมถามหลวงปู่เพื่อต้องการทราบว่า หลวงปู่ไม่รับเงินรับทองของอนามาสนั่นน่ะ เพราะหมดความอยากแล้วใช่ไหมผมถามอย่างนี้” หลวงปู่ตอบว่า “ไม่รับเฉย ๆ นี่แหละมันจะเพราะอะไร”
หลวงปู่สอนไม่ให้เชื่อมงคลตื่นข่าว ไม่ให้เชื่อถือฤกษ์ยาม แม้ว่าในปัจจุบันการถือฤกษ์ยามนับว่าเป็นเรื่องสําคัญ จะเดินทางประกอบธุรกิจขึ้นบ้านใหม่ และอะไรหลาย ๆ อย่างต้องมีฤกษ์ ถ้าถูกวันอุบาทว์ โลกาวินาศ วันลอย วันจม แล้วต้องงด ควรเป็นวันธงชัย วันอธิบดี และวันฟู จึงจะเป็นมงคล
มีครั้งหนึ่งคุณนายท่านหนึ่งมากราบหลวงปู่ ปรารภถึงวันเปิดร้านเพื่อประกอบธุรกิจ การค้า คุณนายถามหลวงปู่ถึงวันที่จะเป็นมงคลสําหรับการเปิดร้าน หลวงปู่ก็บอกว่าดีทุกวัน เปิดพรุ่งนี้ได้ยิ่งดี คุณนายแย้งว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันโลกาวินาศ หลวงปู่บอกว่าไม่เคยได้ยินวันโลกาวินาศ เคยได้ยินแต่วันอาทิตย์วันจันทร์ คุณนายก็เลยเรียนหลวงปู่ว่า “เขามีมานานแล้วหลวงปู่ วันธงชัย วันอธิบดี วันฟู นี่ถึงเป็นมงคลเจ้าข้า” หลวงปู่ก็เลยถามว่า แล้ววันนี้ล่ะวันอะไร ก็ได้คําตอบจาก คุณนายว่าเป็นวันฟูแต่ร้านไม่เรียบร้อยก็เลยเปิดไม่ทัน หลวงปู่จึงได้บอกให้คุณนายลองโยนก้อนหินลงไปในที่ล้างเท้า แล้วหลวงพ่อก็ถามว่าแล้วก้อนหินมันฟูไหม ได้คําตอบว่า “จม” หลวงปู่จึงสั่งสอนว่า
“ที่ว่าวันฟู มันทําไมจึงไม่ฟู นี่แหละมันไม่จริง” นี่แสดงให้เห็นถึงปฏิภาณไหวพริบในการสอนธรรมะของหลวงปู่ สอนให้เห็นของจริง ให้รู้ชัดว่าทุกสิ่งทุกอย่างประกอบด้วยเหตุและผล หินเป็นวัตถุที่จมน้ํามันก็ย่อมจะจมน้ํา ไม่ว่าจะเป็นวันลอยวันฟู ท่านชี้ให้เห็นว่าวันเดือนปี ก็เป็นกาลเวลา ไม่มีผลต่อความเป็นอยู่ความเจริญรุ่งเรืองของเรา แต่การกระทําของเราต่างหากที่จะมีผลต่อตัวเราเอง
อนุสรณ์สถานที่สําคัญที่สุดของหลวงปู่ผาง คือ วัดอุดมคงคาคีรีเขต ซึ่งได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ นับเป็นเกียรติประวัติอันสูงส่งที่ควรภาคภูมิใจและน่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่ได้ทําการบุกเบิกก่อสร้างวัดแห่งนี้ ตั้งแต่ยังเป็นป่าดงดิบมีสัตว์ร้ายชุกชุม ภูตผีปีศาจคอยรบกวน และยังเป็นป่าสงวนแห่งชาติด้วย เนื่องจากหลวงปู่มีความทรหดอดทน ความเป็นผู้มั่นคงในการปฏิบัติยากที่จะหาผู้เทียมได้ และด้วย คุณธรรมบารมีที่ท่านได้บําเพ็ญมา จึงสามารถยกระดับสํานักสงฆ์แห่งนี้ให้สูงส่งเรื่อยมาโดยลําดับ โดยที่ทางราชการได้เห็นความสําคัญมีศรัทธาเลื่อมใสได้ตกลงกันที่สํานักสงฆ์ออกจากป่าสงวนแห่งชาติ อนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเนื้อที่ถึง ๔๘๐ ไร่
ภายในวัดอุดมคงคาคีรีเขต หลวงปู่ผางได้สร้างเจดีย์ถ้ำถงเกวียนขึ้นมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เพื่อเป็นที่บําเพ็ญกิจ โดยสร้างไว้บนไหล่เขาบริเวณเป็นลานหินขนาดใหญ่ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ หลวงปู่ได้สร้างเจดีย์คู่แก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากศาลาใหญ่ราว ๙๐ เมตรเท่านั้น และหลวงปู่ใช้ที่แห่งนี้ บําเพ็ญกิจเพราะอยู่ใกล้ศาลาใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวัดสะดวกแก่หลวงปูในการขึ้นลงเพราะชรามากแล้ว ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้ก่อสร้างองค์พระเจดีย์ใหญ่ ฐานวัดโดยรอบ ๑๐๐ เมตร สูง ๒๘ เมตร ส่วนล่างและส่วนบนขององค์พระเจดีย์เป็นบัวคว่ําบัวหงายประดับลวดลายไทย ลงรักปิดทอง และติดกระจกพื้นในองค์เจดีย์ปูด้วยหินแกรนิตสีดําจากประเทศอิตาลี ส่วนที่เป็นยอดขององค์พระเจดีย์นั้น ใช้โมเสดสีทองจากประเทศอิตาลี เป็นวัสดุก่อสร้าง ส่วนบนสุดเป็นยอดฉัตรทําด้วยโลหะปิดทองชั้นบนสุดขององค์พระเจดีย์เป็นที่สําหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ข้างล่างสร้างเป็นที่เก็บพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ ภายในองค์เจดีย์ได้ประดิษฐานพระพุทธชินราชเป็นองค์พระประธาน และรูปเหมือนของหลวงปู่เสาร์ กนตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่ผาง ทั้งสองรูป
ในวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ หลวงปู่ได้ละสังขารในตอนบ่ายนั้น เวลา๑๖.๔๕ น. ด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุได้ ๘๐ ปี (๓๔ พรรษา) นับเป็นการจากไปของพระ
สุปฏิปันโน ผู้มีคุณธรรมอันเลิศรูปหนึ่ง ที่ไม่ปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ หรือติดในโลกธรรมแต่ประการใด