วันอังคาร, 26 พฤศจิกายน 2567

หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา เขตพระโขนง กรุงเทพฯ

หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา กรุงเทพฯ

หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา

 ประเทศไทยทุกยุคทุกสมัย จะขาดสถาบันสามไม่ได้เลย

เราจะเห็นได้ว่าชาติอยู่ได้ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็ต้องมีบทบาทอันสําคัญอยู่เสมอทุกครั้ง

ดังนั้น จึงไม่มีใครกล้าบังอาจ แยกออกจากดวงใจของคนไทยได้เลย

บุคคลที่คิดแยกก็คือคนโง่นั้นเอง เป็นคนไร้ปัญญาพิจารณา เหตุผล

อดีตที่ผ่านมา ทหาร พระสงฆ์องค์ประมุข นับได้ว่าเลิศด้วยพระคุณแก่ชาวไทยทั้งหมด

สมัยนั้น พระภิกษุสงฆ์ไทย ต่างก็มีบทบาทอันสําคัญ แม้มิได้ช่วยโดยทางตรง แต่ก็ช่วยได้ใน ทางอ้อม คือทางด้านพลังใจ

พระสงฆ์ มีองค์ศีลคุ้มครองอยู่ จึงไม่มีพระภิกษุองค์ใดละเมิด พระวินัย แต่ก็ได้ประสิทธิ์วิชา ให้ในฐานะศิษย์กับอาจารย์เพื่อความอยู่ยง แคล้วคลาด ปราศจาก ภัยทั้งปวง

หลวงปู่ทอง อายะนะ ท่านเป็นพระผู้มีจิตหนักแน่น มีปฏิปทาในทางกรรมฐานอย่างเคร่งครัด ทั้งยังมีความอัศจรรย์ วาจาศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา แม้จะอยู่ในกาลแห่งชราภาพสิ่งหนึ่งดังที่ได้เล่าสืบๆ กันว่า

หลวงปู่ทอง แห่งวัดราชโยธา องค์นี้มีความจําดีเยี่ยม สติแจ่มใส จิตใจเบิกบาน มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว

ร่างกายของท่านนั้นปราดเปรียว ว่องไว แข็งแรง ความเจ็บป่วย เช่นปวดหัว ตัวร้อน ดู เหมือนหลวงปู่ไม่รู้จักเลยทีเดียว

ทั้งนี้ หลวงปู่ทองมีสติรู้ชัด สํารวมกาย วาจา ใจ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ท่านจะยึดอารมณ์กรรมฐานตลอดเวลา”

หลวงปู่ทอง แห่งวัดราชโยธา ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๓ ปีมะโรง ในสมัยปลายรัชกาลที่ ๒ และเป็น ปีที่โรคห่า (คืออหิวาตกโรคระบาด ผู้คนล้มตายเป็นหมื่นคนเลยทีเดียว)

บิดาเป็นชาวจีน ชื่อ ฮวด มารดาเป็นชาวมอญ มีอาชีพบรรทุกอิฐมาขายโดยทางเรือ

ในชีวิตของท่านนั้น ถูกกระแสโลกพัดกระหน่ําอย่างหนัก ซึ่งเป็นไปด้วยอํานาจแห่งบารมีแต่ปางก่อนทั้งสิ้น เพราะบิดาหายสาบสูญกลางทะเล มารดาเสียใจทําให้สติฟันเฟือน

แต่ถ้าบิดาและมารดายังอยู่ โดยปกติแล้ว หลวงปู่ทอง อาจไม่ได้บวชพระก็ได้ นี่จึงต้องอ้าง ถึงอํานาจบารมีแต่ปางก่อน

ในปี พ.ศ.๒๓๘๔ อายุได้ ๒๑ ปีเต็ม ท่านได้อุปสมบท ณ วัดเงิน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ

โดยมีท่านเจ้าคุณวินัยกิจการีเถร (ภู่) เป็นพระอุปัชฌาย์

บวชแล้วหลวงปู่ทองได้พยายามศึกษาเล่าเรียนวิชาธรรมต่างๆ ตลอดถึงข้อวัตรปฏิบัติธรรมกรรมฐาน เจริญตามพระโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยยึดถือระเบียบและวินัยอย่างเคร่งครัด จนอายุได้ ๓๐ ปี พระอุปัชฌาย์จึงสั่งให้มาครองวัดราชโยธา ซึ่งการสร้างวัดราชโยธานี้เป็นสมัยต้นรัชกาลที่ ๔

ท่านเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปแล้วว่าเป็นปรมาจารย์ ผู้รอบรู้ ทั้งทางโลกและทางธรรม มีความเจนจบสิ้นทั้งพุทธศาสตร์ และไสยศาสตร์

ท่านเป็นพระภิกษุผู้ทรงศีล จริยวัตรอันแก่กล้า ทรงวิทยาคม เป็นที่เลื่องลือในกฤษฎาภินิหาร

ตลอดอายุ ๑๑๗ ปี ของ พระคุณเจ้าได้บําเพ็ญประโยชน์แก่พุทธศาสนานานัปการ จนได้ รับการยกย่องศรัทธาจากมหาชน และลูกศิษย์ทุกชั้นว่า

ท่านเป็นพระอาจารย์ผู้มี กฤษฎาภินิหาร มหัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ มีปณิธานหนักแน่นในพระกรรมฐาน มักน้อยสันโดษ ชานาญในทางอิทธิเวท ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน ท่านยึดมั่นในพระกรรมฐานเป็นอารมณ์

พระคุณเจ้าหลวงปู่ทองเป็น ผู้มีอํานาจจิตกล้าแข็ง ได้รับความเคารพยกย่องจากมหาชนทั้งใกล้และไกล จนมีประชาชนหลายอาชีพ หลายประเภทเลื่อมใสฝากตัวเป็นลูกศิษย์มากมาย

ประกอบกับการที่ท่านเป็นผู้ให้ธรรมะ โดยอุปมาเปรียบเทียบคําพูดทั้งทางโลกและทางธรรมอยู่เสมอมิได้ขาด จึงเป็นเสน่ห์อีกประการหนึ่งที่ทําให้ผู้ที่ได้สนทนากับ ท่านมีความรู้สึกสบายใจ มองเห็นความจริงที่ท่านกล่าวทุกประการ

นับว่าเป็นจุดรวมทางใจของกลุ่มชนและบรรดาลูกศิษย์ให้ประกอบแต่ความดีจํานวนมิใช่น้อย เป็นที่ปรากฏแจ้งชัดทั้งในอดีตและในปัจจุบันว่า

บรรดาลูกศิษย์ลูกหาหรือผู้ที่ได้เคยพบเห็นวิสาสะกับท่านแล้ว มักจะเป็นผู้ที่ได้ประกอบสัมมาอาชีพโดยถูกต้องกับหลักธรรม และมีเมตตาธรรมในส่วนตน กับเสียสละให้แก่ประโยชน์ของ ส่วนรวมและประเทศชาติ

พระคุณเจ้าหลวงปู่ทองเป็น ผู้ทรงคุณธรรมเป็นเลิศ หมั่นเพียรในการประกอบกิจทางพระศาสนา ทําวัตร สวดมนต์ ทั้งในด้านกิจ นิมนต์ท่านก็มิได้ว่างเว้น นอกจาก จะอาพาธ

และในด้านประกอบศาสนกิจ ทําสังฆกรรม ให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรโดยมิได้เลือกว่าเป็นใคร มาจากไหน ถ้าไม่ขัดต่อบทบัญญัติ ทางพระวินัยแล้วท่านเป็นรับนิมนต์โดยถ้วนหน้า

วัดราชโยธา เป็นวัดที่มีคนไทยน้อย แต่ห้อมล้อมด้วยชาวไทย อิสลามโดยส่วนมาก

ชายไทยอิสลามหลายคนได้ มีความเคารพบูชาหลวงปู่ทองอย่างหมดหัวใจ ก็เพราะได้พบความอัศจรรย์ ครั้งที่ปล่อยวัวควายมาถ่ายมูลในวัด

หลวงปู่ทอง เลยทรมานเจ้าของด้วยการทําให้หาไม่พบ แล้วให้ไปเปิดกะลามะพร้าว จึงพบ ควายหนึ่งฝูง ๗ ตัว

ดังนี้ จึงมีคําพูดเล่าต่อๆ กัน มาในหมู่ไทยอิสลามและคนไทยว่า

“ขี้ควายอยู่ ควายไม่อยู่ ขี้ควายไม่อยู่ควายอยู่”

ดังนั้น ลานวัดจึงสะอาดไม่เลอะเทอะอย่างแต่ก่อน

พระคุณเจ้าหลวงปู่ทอง จึงเป็นเสมือนดวงประทีป ที่ส่องสว่างอยู่ท่ามกลางหมู่ชนอิสลาม

หลวงปู่ทอง อายะนะ แห่งวัดราชโยธา แขวงประเวศ เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ท่านเป็นพระผู้ทรงคุณธรรมสูง มีความมานะพยายาม นําคุณประโยชน์แก่พระ พุทธศาสนาเป็นอเนกประการ

ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงปู่ทอง ได้มรณภาพด้วยลักษณะนั่ง สมาธิภาวนา หลับตาบําเพ็ญธรรม ถึง ๓ วันแล้วสิ้นลมไปในที่สุด

นับได้ว่า จิตใจของท่านช่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก