ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ
วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร
อ.เมือง จ.หนองคาย
หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ พระมหาโพธิสัตว์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง
◎ ๑. ภูเขาควาย พระอภิญญา
มีผู้รู้หลายคนบอกว่า หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ ท่านคือ “พระศรีย์” ท่านมีความอัศจรรย์หลายอย่าง ข้าพเจ้าเคยพบท่านในสมาธิจิต อัศจรรย์มาก ไว้จะเล่าในตอนหลังอีกครั้ง ทำให้ข้าพเจ้าอยากรู้เรื่องของหลวงปู่มากขึ้นจึงไปค้นคว้ามา และถามจากผู้รู้ เพิ่มเติมด้วย จึงขอเผยแพร่เรื่องราว เพื่อยังศรัทธา เทิดทูนครูอาจารย์อีกองค์หนึ่ง ที่ข้าพเจ้าเอ่ยนาม เกือบทุกคืน แม้ข้าพเจ้าจะสนใจในการปฏิบัติสายอริยะ แต่กระแสภายใน มันมีน้ำหนักแห่งกระแสพุทธะมากกว่า จะกระแสไหน ล้วนดีงาม ล้วนมีครูอาจารย์
๏ ปฐมบท
หลวงปู่ศึกษาวิชาต่อกับ “หลวงปู่ซุน ติกขวีโร” (ศิษย์ของหลวงปู่สมเด็จลุน แห่งจำปาศักดิ์ ) ต่อมาท่านจึงข้ามโขงถึงฝั่งลาว ได้เข้าสู่มิติอันเร้นลับ “ภูเขาควาย” และได้พบเจอปู่ฤาษีมาลัยโกฎิ์ ได้รับการถ่ายทอดวิชาอันเร้นลับสุดยอดของสายนี้ จนท่านได้เดินทางข้ามโขงกลับมาฝั่งไทย และได้มาสร้างวัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร ท่านอยู่ที่วัดป่าฯ จนท่านละสังขารเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๔ สิริอายุ ๗๗ พรรษา ร่างสังขารของท่านไว้ในโลงแก้ว
สมัยหลวงปู่มีชีวิตอยู่ จะมีลูกศิษย์หลวงปู่ชื่อ แม่สอง จะเป็นที่นำสารข่าวสารต่าง ๆ จากดินแดนผู้เขาควายมาถวายหลวงปู่ ทุกๆ วันเพ็ญแกจะหายตัวไปจากบ้าน แม่สองเล่าว่า ตอนไปนั้นหลังจากที่สวดมนต์เสร็จ ก็จะมีแสงสว่างออกมาที่ประตู บ้างก็มีเสือโคร่งตัวใหญ่ ออกมาให้แม่สองขี่บนหลังไป บ้างก็เป็นรถมารับแม่สอง พอถึงแล้วเขาก็เรียกให้ลง ก็ลงก็ถึงพอดี กลับมาอีกครั้งก็วันเพ็ญต่อไป แล้วก็มาพร้อมกับจดหมายจากอาจารย์หลวงปู่ทองทิพย์ คือ พ่อปู่มหาฤๅษีมาลัยโกฏิ ท่านเป็นอาจารย์หลวงปู่ทองทิพย์ ที่ภูเขาควาย
ปู่ฤาษีมาลัยโกฏิ ท่านอยู่ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าองค์แรกของภัทรกัปนี้ และจะรอจนถึงองค์สุดท้ายคือ พระศรีอาริยเมยไตร พระอาจารย์ของหลวงปู่ทองทิพย์ “พระฤๅษีกไลยโกฎิ” หรือคนแถบอีสานจะเรียกท่านว่า “ปู่ฤๅษีผ้าลาย” หรือ “องค์ผ้าลาย” ซึ่งอยู่ที่ภูเขาควาย ประเทศลาว โดยท่านจะรับเฉพาะลูกศิษย์ที่เป็นเชื้อสายของพระโพธิสัตว์เท่านั้น อย่างเช่น ครูบาคำน้อย วัดภูกำพร้า (อายุ ๓๐๐ ปี) และปู่บุญเหลือผู้สร้างศาลาแก้วกู่ อ.เมือง จ.หนองคาย ก็เป็นลูกศิษย์ของท่านปู่ฤๅษีผ้าลายนี้เช่นกัน
และที่ภูเขาควายนั้นยังเป็นที่ตั้งของ “ธรรมสภา” (ไม่ใช่เทวสภา) ซึ่งธรรมสภานี้จะอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่อันลึกลับ ใช้เป็นที่ประชุมของพระอภิญญาเพื่องานค้ำชูรักษาพระพุทธศาสนา จึงมีทั้งพระที่ยังมีชีวิตอยู่และพระที่ละสังขารไปแล้วอยู่มากมาย
เชื่อกันว่าพระอภิญญาที่ละสังขารไปแล้วนั้นท่านก็ยังสามารถอธิษฐานร่างกายขึ้นมาใหม่ได้ โดยผู้ที่พบเห็นสามารถจับมือพูดคุยได้เหมือนคนธรรมดาทั่วไป จนไม่สามารถแยกออกได้ว่าท่านยังอยู่หรือสิ้นไปแล้ว
หลวงปู่ทองทิพย์ นั้นท่านเป็นพระพี่พระน้อง กับหลวงปู่เทพโลกอุดรมาหลายภพหลายชาติ ดังนั้นลูกศิษย์ที่อยู่อุปัฏฐากหลวงปู่ทองทิพย์ที่วัดหลายท่าน จึงได้มีโอกาสพบกับหลวงปู่เทพโลกอุดร ซึ่งท่านมักจะแวะมาเยี่ยมเยียนพระน้องชายของท่านอยู่เสมอ ซึ่งปู่ใหญ่จะมาในรูปกายหลายแบบ เป็นพระหนุ่มผอมๆ เข้ามาเยี่ยมหลวงปู่ แต่เมื่อท่านกลับไปแล้วหลวงปู่ทองทิพย์จึงบอกว่าพระที่เณรบีบนวดรับใช้อยู่นั้นแท้จริงแล้วก็คือหลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งเป็นพระอภิญญาที่หลายๆ คนต่างอยากได้มีโอกาสพบเจอสักครั้งในชีวิต
แม้แต่การที่หลวงปู่ทองทิพย์ ได้มาอยู่ที่วัดป่าสีดาฯ นี้ ก็ด้วยเป็นความต้องการของหลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ต้องการให้หลวงปู่ทองทิพย์ได้มาอยู่ประจำการเพื่อรักษาพระศาสนาในเขตอีสานเหนือนี้
โดยหลวงปู่เทพโลกอุดรเป็นผู้พาหลวงปู่ทองทิพย์เหาะมาจากภูเขาควายด้วยตัวของท่านเองทีเดียว เนื่องจากบริเวณวัดป่าสีดาฯ นี้เป็นสถานที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์จะต้องมาบำเพ็ญเพียรซึ่งก็ผ่านมาแล้ว ๔ พระองค์
ในอนาคตก็จะเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระศรีอาริย์ (สถานที่จริงจะอยู่ลึกลงไปเป็นชั้นๆ ตามกฏที่ว่าเมื่อหมดหนึ่งพุทธันดรแล้วแผ่นดินจะสูงขึ้น ๑ โยชน์)
ลูกศิษย์เคยได้ยินหลวงปู่พูดถึงว่า “หลวงปู่ทวดนั่งสมาธิบนดวงจันทร์ได้ ท่านก็นั่งบนดวงจันทร์ได้เหมือนกัน”
◎ ๒. รูปภาพกวางทอง สายโพธิสัตว์
รูปภาพกวางทอง เป็นรูปที่แสดงถึง “อธิษฐานบารมี” รูปนี้เกิดขึ้นเนื่องจากหลวงปู่ได้เมตตาเล่าเรื่องในอดีตของที่ให้ลูกศิษย์ฟัง ว่าชาติหนึ่งหลวงปู่เคยเกิดเป็นกวางทองโพธิสัตว์ ถูกนางยักษ์ สาป ที่ขัดขืนไม่ยอมเป็นสามีนาง ให้กลายเป็นกวางทอง และเป็นอยู่ได้ ๗ วัน ร่างกวางทองก็คืนสภาพเป็นร่างคนดังเดิม ..
ขณะที่ท่านเล่าอยู่นั้นได้มีลูกศิษย์คนหนึ่งได้ถ่ายภาพหลวงปู่ เมื่อล้างออกมาปรากฏเป็นรูปกวางทอง หลวงปู่บอกว่า แค่รูปกวางทองก็เหลือกินแล้ว ให้ดูแสงตรงศรีษะหลวงปู่ คือมงกุฎของกษัตริย์
ในงานบุญเดือนสาม สมัยที่หลวงปู่ทองทิพย์มีชีวิตอยู่ มีพระองค์หนึ่งออกท้วมผิวคล้ำๆ ในจีวรที่ขาดๆ ปะแล้วปะอีก สะพายถุงปุ๋ย หมอบคลานเข้ามาแสดงกิริยาอันนอบน้อม กราบหลวงปู่ด้วยความเคารพ และยังบีบนวดมือและเท้าให้หลวงปู่อีกด้วย หลังจากที่พระรูปนั้นกลับไปแล้ว หลวงปู่จึงบอกว่า นั้นแหละปู่เณรคำ เพิ่น(ท่าน) มาจากภูเขาควาย (คนละองค์ ที่มีข่าวดังนะ)
เรื่องปู่เณรคำ ท่านเป็นเณรจริง ๆ เป็นเณรอภิญญา ท่านอยู่ที่ภูเขาควาย (อีกมิติ) ท่านจะไปมาไม่ซ้ำแบบ บ้างก็มาแบบเห็นตัวตน บ้างก็มารูปลักษณ์อื่น ๆ เวลาที่ท่านมาจะนั่งข้างล้างต่ำกว่าหลวงปู่ทุกครั้ง
หลวงปู่ทองทิพย์ ท่านจะพูดถึง พระที่มีบารมีแก่กล้า ให้ลูกศิษย์ฟัง เช่น หลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่นบ้านแดง จ.อุดรธานี และ หลวงปู่สีทัตถ์
หลวงปู่ทองทิพย์ เล่าว่า.. พ่อแม่สีทัตถ์ท่านเป็นพระโพธิ์สัตว์ จะเป็นพระพุทธเจ้า ๑ ใน ๑๐ องค์ข้างหน้า หลวงปู่ว่าอดีตหลวงปู่สีทตถ์ท่านคือ “อสุรินทราหูโพธิสัตว์”
หลวงปู่ทองทิพย์ ยังพูดถึง หลวงปู่สรวง (เทวดาเล่นดิน) หลวงปู่สรวงกับหลวงปู่ทองทิพย์ท่านสร้างบารมีมาด้วยกันนานหลายร้อยปี หลวงปู่สรวงท่านมาหา และถวายเขี้ยวเสือ ให้กับหลวงปู่ทองทิพย์ หลวงปู่ทองทิพย์บอกให้ลูกศิษย์ไปกราบหลวงปู่สรวงเอาบุญ พอลูกศิษย์ไปถึงหลวงปู่สรวงท่านก็ทักขึ้นก่อนว่า เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทองทิพย์ใช่ไหม? เขาตอบว่าใช่ครับหลวงปู่ หลวงปู่ทองทิพย์ให้มากราบ หลวงปู่สรวงท่านก็ว่า ดีแล้วมาเจอเฮากราบเฮานะ แล้วท่านก็ให้พรเป็นภาษาเขมร
หลวงปู่พูดถึง พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน จะพูดถึงพระดีที่น่ากราบไหว้ ส่วนฆาราวาส คือ “ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์” ผู้สร้าง “อาศรมแก้วกู่”
ปู่เหลือ เป็นนักพรต ผู้ทรงศีล ถือศีล เคร่งวิปัสสนา ร่างไม่ได้เปื่อยเน่า และสานุศิษย์บอกว่า เส้นผมของปู่เหลือ จะเป็นสีดำ และเป็นสีขาว สลับสับเปลี่ยน แบบนี้อยู่เรื่อยๆ
ในวันหนึ่งที่หลวงป๋า เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ได้ขึ้นไปกราบหลวงปู่ทองทิพย์เป็นครั้งแรก เมื่อเข้าไปถึงวัดก็ปรากฏว่าหลวงปู่ทองทิพย์ท่านนั่งรออยู่แล้ว
พอหลวงป๋าท่านเข้าไปกราบหลวงปู่ทองทิพย์ก็พูดขึ้นให้ได้ยินทั่วกันว่า “อ้าว พระสุมังคละมาแล้ว” (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ ที่มีพระนามว่า “พระสุมังคละพุทธเจ้า”) นั่นเอง
◎ ๓. ตำนานจำปาสี่ต้น สี่กุมาร
ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ ขอเรียนให้ผู้อ่านบางท่าน ที่อาจสงสัย และอาจจาบจ้วงหลวงปู่ ที่ท่านสวมแหวนทุกนิ้ว สวมสายสินณ์เต็มข้อมือว่า ผิดวินัย ใช่พระหรือไม่ บางท่านถึงกล่าวว่า ลัทธิไหน? ข้าพเจ้าใคร่ชี้แจง เพื่อไม่ให้เป็นโทษกับผู้อ่าน ด้วยความไม่รู้
หลวงปู่ทองทิพย์ ท่านเป็นพระมหาโพธิสัตว์ บารมีเต็ม ๓๐ ทัศน์ ในสายปฏิบัติ สายอภิญญา ทุกท่านจะรู้ทั้งนั้น แม้แต่หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ท่านให้ความเคารพ การกระทำกิริยาของพระระดับนี้ ลึกซึ้งเกินที่คนธรรมดาอย่างเราจะเข้าใจ และไปจับผิดท่าน ท่านมีอธิศีล อธิปัญญา อธิบารมี ครบถ้วนแล้ว ท่านเคยเป็นทั้งพระจักรพรรดิ มาไม่รู้กี่ครั้ง ท่านจะมาติดอะไร กับแหวนธรรมดาพวกนี้
เรื่องแหวนที่หลวงปู่สวมใส่ เกิดจากญาติโยมที่ต้องการวัตถุมงคลเพื่อเป็นกำลังใจ ในการประกอบอาชีพ จึงนำแหวนธรรมดา มาให้หลวงปู่พุทธาภิเษก หลวงปู่ท่านเมตตาสูง จึงสวมใส่นิ้ว ยังความปิติแก่ลูกศิษย์ สัก ๒-๓ วัน ก็ถอดแหวนคืนไป ทีนี้คนที่ได้รับแหวนแล้ว มีประสบการณ์ที่ดี จึงบอกต่อ จนคนรุ่นหลังพากันนำแหวนมาให้หลวงปู่ปลุกเสก โดยไม่ต้องทำพิธีอะไร เพียงสัมผัสที่นิ้วกระแสบารมีก้หลั่งไหลไปในแหวนแล้ว หาใช่หลวงปู่จะติดวัตถุ ติดแหวนไม่ เหมือนหลวงปู่บุดดา สิงห์บุรี ที่ทาแป้งเต็มหน้า หรือมีคนถวายแป้งให้ท่าน แล้วท่านก็ทาแป้งให้ จนเป็นที่มาของแป้งมงคล หรือ ที่คนนำแผ่นทอง มาติดที่ขาหลวงปู่ดู่ แล้วเคราะห์กรรมจะบางเบา ด้วยบารมีพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม ด้วยมหาเมตตา
วินัยของพระ ล้วนเป็นสิ่งดีงาม เพื่อยังให้พระภิกษุมีศีลกำกับ เพื่อเจริญในปัญญาต่อไป ในพระมหาโพธิสัตว์ ท่านมี ”อธิศีล” เต็มหัวใจ ยิ่งกว่า”ศีลเป็นข้อๆ” ต้องดูว่า การกระทำของท่าน เพื่อสนองตัณหาตัวเอง หรือเพื่อ ”โปรดสรรพสัตว์” ให้ดุตรงนั้น..อย่าไปจับผิดสิ่งภายนอกบางอย่าง ข้าพเจ้าลงเรื่องราวธรรมมะ เพื่อหวังให้ผู้อ่าน มีศรัทธาในพระธรรม ในบารมีหลวงปู่ครูอาจารย์ เป็นกำลังใจ เป็นต้นแบบในการเดินทาง ทำไม? เราไม่สร้างกุศลในจิต โดยการโมทนาบุญกับท่านล่ะ ทำไม? จะต้องไปเสี่ยงกับกรรมปรามาสพระโพธิสัตว์ให้เป็นบาปกรรมทำไม?
สายสิณฑ์ ที่พันเต็มข้อมือ มาจากประเพณีอีสาณ ในการผูกเสี่ยว แสดงความเคารพซึ่งกันและกัน แสดงความจริงใจ และเป็นการขอพร ให้พร ลูกศิษย์ท่าน จึงขอผูกข้อมือหลวงปู่ ด้วยมหาเมตตาท่านก็ให้ผูก และใส่อยู่อย่างนั้น ทำให้ลูกศิษย์รู้สึกปิติ ที่สายสิณฑ์ที่ผูก ยังอยู่ติดร่างกายหลวงปู่ ทำให้เกิดความเคารพ เกิด “สังฆานุสสติ” ล้วนดีงาม “หาใช่งมงายไม่!”
๏ ขออนุญาติเล่าเรื่องราวหลวงปู่ต่อ
ในตำนานจารึกบนใบลานด้วยอักษรไทยน้อย ที่ อ.อรัญประเทศ พอสรุปย่อๆ ว่า พบกุมารที่เป็นเจ้าชายทั้งสี่ ถูกฝังในไห ลอยน้ำมา จนตายายนำมาเลี้ยงดู ต่อมาถูกศัตรู ให้กินยาพิษจนกุมารทั้ง ๔ ตาย สองตายายเศร้าโศกเสียใจ จัดการเผาศพกุมารทั้งสี่ พอรุ่งสาง ได้เกิดต้นจำปาสี่ต้นเกิดอยู่ตรงที่เผานั้นแทน ต่อมาจำปาสี่ต้น ถูกนำไปลอยน้ำปรากฏว่า เทวดาอินทร์ พรหม ครุฑ นาค ได้บันดาลให้จำปาไหลทวนน้ำขึ้นไปพบกับฤๅษีตาไฟ และได้ทำพิธีชุบชีวิตกุมารทั้งสี่ให้คืนชีพมาอีกครั้ง และตั้งชื่อกุมารทั้งสี่ ดังนี้
คนที่ ๑ ชื่อ เสกราชกุมาร คนที่ ๒ ชื่อ ปัตตะราชกุมาร คนที่ ๓ ชื่อ สุวรรณกุมาร คนที่ ๔ ชื่อ เพชรราชกุมาร ปรากฏว่าคนน้องเป็นผู้มีฤทธิ์เดชมาก
เมื่อพระฤๅษีชุบชีวิตคืนมาแล้วปรากกว่านิ้วมือข้างขวาของเพชรราชกุมารเกิดด้วนไม่สมบูรณ์ พระฤๅษีต้องทำพิธีปลุกเสกใหม่นิ้วที่ด้วนจึงกลายเป็นนิ้วมงคลเพชร ชี้คนเป็นให้ตาย ชี้คนตายให้ฟื้น
มีผู้บอกว่า สี่กุมารในอดีตคือ หลวงปู่ใหญ่ (เทพโลกอุดร), หลวงพ่อยี วัดดงตาก้อน , หลวงปู่บุญหนัก, และ หลวงปู่ทองทิพย์
ในวัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร จะมีต้นโพธิ์ เรียกว่า “โพธิ์พระศรีย์” จุดนี้..ว่าเป็น “ประตูมิติ” มีหลายภพภูมิซ้อนๆ กันอยู่ เป็นประตูเชื่อมต่อของภพภูมิ ทั้งปู่ พระอินทร์ เมืองบาดาลพ่อปู่ศรีสุทโธ พระอภิญญาจากภูเขาควาย ใช้เป็นจุดลงมา
หลวงปู่เล่า ถึงสถานที่ควรที่จะกราบ คือ พระธาตุเชิงชุม ในพระธาตุเชิงชุมจะมีรอยพระบาท สี่รอย ประทับอยู่ เมื่อไปถึงก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมากรรมต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำด้วยใจที่นอบน้อมบูชา
ก่อนที่ปู่จะฉันจังหัน ท่านแบ่งข้าวเหนียว กับข้าว น้ำกระดาษทิชชู่ใส่ในบาตร หรือถาดเล็ก แล้ววางไว้ข้างๆ จัดเป็น จนลูกศิษย์ถาม ท่านตอบว่า.. “โต๋บ่อเห็น ก็มีคนมากินน่ะซี”
หลวงปู่ทองทิพย์ ท่านเคยบอกลูกหลานว่า.. ถ้าพระแก้วมรกต พระคู่เมืองไทยว่า “ถ้าหายไปไม่ว่าจะถูกขโมย หรือพระแก้วไม่อยู่ที่วัด หรือมีข่าวย้ายพระแก้ว” ท่านบอกว่าให้เตรียมตัวออกจากกรุงเทพได้เลย เพราะจะเกิดภัยพิบัติใหญ่กรุงเทพจะจมน้ำ
ท่านยังบอกอีกว่าในสงครามภายหน้า “ให้นำทรายใส่ถุงพลาสติกเล็กๆ แล้วเยี่ยวใส่ทรายที่อยู่ในถุงแล้วดม เวลามีพวกสารกัมมันตะรังสีปลิวมา” (จริงๆ แล้วอดีตชาติหลวงปู่ คือ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ลาว ที่อัญเชิญพระแก้วมรกต ไปประดิษฐานที่เวียงจันทร์ นั่นเอง)
๏ ประวัติ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช คร่าวๆ ดังนี้
เมื่อประมาณ ๔๗๐ ปีที่ผ่านมา มีพระเจ้าไชยเชษโฐแห่งล้านนา ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดบุปผาราม เมืองเชียงใหม่ รวมทั้งพระพุทธสิหิงค์ (พระสิงค์) และพระแก้วขาวไปที่ล้านช้าง พระองค์เป็นกษัตริย์มหาราชองค์ที่ ๒ ของลาว
พระองค์ สร้างองค์พระธาตุหลวงขึ้นมาใหม่ และได้สร้างวัดในกำแพงเมืองอยู่ประมาณ ๑๒๐ วัด และยังได้สร้างวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ที่นำมาจากเมืองเชียงใหม่ ได้สร้างเจดีย์ “พระธาตุศรีสองรัก” ในอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เพื่อเป็นอนุสรณ์ แห่งความเป็นพี่เป็นน้องกัน ของสองอาณาจักรไทยลาว
ได้ทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงทอง มาอยู่ที่เวียงจันทน์ ได้ประดิษฐานพระแก้วมรกต และ พระพุทธสิหิงค์ ไว้ที่เวียงจันทน์ พระองค์ได้ทรงสร้างพระธาตุหลวง พระพุทธรูปล้านช้าง เช่น พระเจ้าองค์ตื้อ พระเสริม พระสุก พระใส พระอินทร์แปลง พระองค์แสน ทรงสร้างวัดพระธาตุ ที่จังหวัดหนองคาย และพระธาตุกลางน้ำ ที่จมน้ำโขงอยู่ พระธาตุบังพวน อำเภอเมืองหนองคาย สร้างวัดศรีเมือง จังหวัดหนองคาย และพระประธานในโบสถ์ พระธาตุอิงฮัง พระธาตุศรีสองรัก (จ.เลย) และทรงปฏิสังขรณ์พระธาตุพนม
◎ ๔. พระผู้เป็นดั่งมหาโพธิสัตว์เจ้าแห่งลุ่มน้ำโขง
เวลาถ่ายรูปหลวงปู่ มักจะพบลำแสงคล้ายกงจักรที่ศรีษะหลวงปู่ พอมีคนถาม หลวงปู่บอกว่า ที่ถ่ายติดศรีษะ เพราะท่านมีกงจักร เพราะชาติหนึ่งท่านเคยตัดศรีษะถวายพระพุทธเจ้า และในปัจจุบันชาติ ในกายเนื้อ หลวงปู่มีเครื่องหมายแห่งมหาบุรุษมหาโพธิสัตว์ มีกงจักรใต้ฝ่ามือใต้เท้าด้วย ท่านเพียง “อวตาร” ลงมาทำกิจบางส่วน ปรุงโลก ปรุงศาสนา ท่านจะบอกลูกศิษย์ที่มีเชื้ออภิญญา ให้ท่องคำภาวนาว่า “นะมะ พะธะ”
การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้ามีด้วยกัน ๓ ประเภท จำแนกตามความยิ่งหย่อนของปัญญา ศรัทธา และ วิริยะ การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ต้องมอบกายถวายชีวิตเช่น การตัดศรีษะถวายเป็นพุทธบูชา
หลวงปู่ทองทิพย์ ท่านเข้าไปในดินแดนมิติอันลึกลับภูเขาควาย และได้มีโอกาสพบพ่อปู่ฤาษีมาลัยโกฎิ (ปู่สิงห์) ได้ศึกษาเล่าเรียนสรรรพวิชาอันถือว่าสุดยอดในสรรพวิชาของพระเหนือโลก(เป็นวิชาของพระมหาโพธิสัตว์ ที่มีบารมีเป็นปรมัตถ์) โดยแท้ จนสำเร็จจึงเดินทางกลับฝั่งไทย
ตอนที่หลวงปู่ท่านข้ามแม่นำโขงมานั้น มีชายผู้หนึ่ง ได้เห็นอภินิหารของท่านโดย แกเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งนั่งอยู่บนผิวน้ำ พระรูปนั้นนั่งทับอยู่เหมือนงูแต่ใหญ่กว่าหลายเท่า พอถึงฝั่งไทยพระรูปนั้นก้าวเท้าขึ้นฝั่ง งูใหญ่หรือที่แท้ก็คือ “พญานาค” ก็ดำหายลงใต้น้ำโขง ส่วนพระรูปนั้นก็เดินหายเข้าป่าไป
แกจึงเดินหาพระภิกษุองค์นั้นมาเรื่อยๆ จนถึง วัดป่าสีพระรามลักษณ์รัตนโคตร แกก็เห็นพระรูปหนึ่ง จึงบอกว่า “กระผมตามหาพระองค์นั้นอยู่ไม่ทราบว่าพระคุณเจ้าพอจะทราบไทยครับ” ก็เฮาเองแหละ คำตอบของพระรูปนี้ทำให้ตาแสง (ชายคนที่เห็น) กราบหลวงปู่ และถวายตัวเป็นโยมอุปฐากหลวงปู่ เป็นคนแรก
ต่อมา มีพระอาจารย์นรสิงห์ วัดจอมมณี จ.หนองบัวลำภู ไปกับเพื่อนพระด้วยกันที่วัดป่าสีดาฯ พอเห็นหลวงปู่แค่นั้น ไม่ศรัทธาเลย นึกในใจว่าพระอะไรใส่แหวน พระอะไรมีแต่สายสินธ์เต็มมือ จึงไม่ได้กราบหลวงปู่และก็กลับวัดเลย
พออาทิตย์ต่อมา อยากไปวัดปู่ทองทิพย์อีกครั้งหนึ่ง ท่านเจอหลวงปู่นั่งอยู่ที่เตียงคนเดียว หลวงปู่เลยชิงพูดขึ้นว่า…
“น้อยเอ้ย (เป็นคำที่ผู้อวุโสกว่าใช้เรียกคนมีอายุน้อยกว่า) ถ้าเจ้าไม่กราบพ่อแล้วเจ้าจะกราบใคร”
อาจารย์นรสิงห์ตอบว่า “ถ้าอยากให้ผมกราบหลวงปู่ลองแสดงอะไรก็ได้ให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ”
พอพูดจบ หลวงปู่ทองทิพย์ท่านก็ลอยขึ้นจากเตียงเลย และก็ลงมานั่งเหมือนเดิม
พระอาจาร์นรสิงห์บอกว่าจากนั้นมา ท่านฝากตัวเป็นศิษย์และศรัทธาหลวงปู่ทองทิพย์อยากเต็มหัวใจ
หลวงปู่ มักเล่าเรื่องในตำนาน จนผู้รับฟังรู้สึกได้ว่า..หลวงปู่กำลังเล่าเรื่องราวของท่านเอง ในชาติภพนั้น ท่านเล่าถึงรายละเอียดเกินตำนานอีก ไม่ว่าจะเป็นพระราม พระลักษณ์ ทศกัณฑ์ นางสีดา จนกระทั่งท่านมาตั้งวัดที่ท่านอยู่ว่า..“วัดป่าสีดาพระรามลักษณรัตนโคตร” เหมือนจะบอกเป็นนัยๆ
สำหรับผู้ได้ญาณ ย่อมทราบว่า…หลวงปู่คือ พระราม ในรามเกียรตินั่นเอง มันมิใช่เรื่องเล่า มันเป็นเรื่องจริง เรื่องรามเกียรติ์ เป็นเรื่องราวเกิด..ในสมัยตั้งโลกใหม่ๆ ในภัทรกัปนี้ ก่อนพระพระพุทธเจ้ากกุสันโธ จะลงมาตรัสรู้ ท่านเล่าถึง ตอนพระรามเดินดงไปกิน ไม้มณีโคตร จนกลายเป็นลิง ชื่อ “พระพาย” ต่อมา ลูกสาวฤาษีไปกินไม้มณีโคตร จึงกลายเป็นลิง เหมือนกัน และได้ครองคู่กัน ออกลูกเป็น ”หนุมาน”
พอท่านเล่าเรื่องนี้ ลูกศิษย์ถ่ายรูปออกมา เห็นรูปจางๆ เป็นรูปลิงติดมาด้วย จึงไปถามหลวงปู่ หลวงปุ่บอกว่า.. “ลิงพระพาย” แล้วหลวงปู่เล่าต่ออีกว่า..”ต่อมาหนุมาน ได้ไปเกิดในยุคพระพุทธเจ้ากกุสันโธ และได้ตัดหัวตัวเอง ถวายเป็นพุทธบูชา และทั้ง พระราม พระลักษณ์ หนุมาน ล้วนเป็น ๓ โพธิสัตว์ ที่เวียนเกิดเวียนตาย ท่านยังเล่าว่า..จริงแล้ว พระลักษณ์มีฤทธิ์มากกว่าหนุมานอีก
◎ ๕. คำสอนหลวงปู่
๏ ผู้ได้พบเจอหลวงปู่เทพโลกอุดร
“ใครที่ได้พบเจอหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้น ถือว่าเป็นผู้มีบุญมาก เพราะท่านอยู่เหนือโลก อยู่นอกเหนือความแก่ ความตาย จะสามารถแปลงเป็นอะไรก็ได้ จะแปลงเป็นหนุ่ม เป็นแก่ เป็นเด็ก หรือเป็นแมลงอะไรก็ได้ หรือจะไปไหนก็ได้”
๏ มนุษย์กายสิทธิ์
“คนเรานั้น มีที่โดดขึ้น โดดลง สวรรค์ โดยบ่อต้องใช้ร่ม (ไปด้วยกายเนื้อ) มีไม่น้อย ที่ยังมีชีวิตเป็นๆ อยู่เนี่ยนะ แต่เขาเหล่านั้นมีนิสัยไม่ยุ่งเกี่ยวกับนิสัยมนุษย์ คือไม่ข้องอยู่ในโลกธรรม ๘ ให้ลูกทำดีเข้าไว้นะ ทาน ศีล ภาวนา เป็นคนดีอย่างนั้นเนี่ยหนา ถึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ผู้กายสิทธิ์ มนุษย์ที่ศักดิ์สิทธิ์”
๏ การขุดให้ถึง-การเดินให้สุด
เอาทานศีลภาวนาและประพฤติ รักษาพรหมจรรย์ของเราให้ไพบูลย์ จะทำให้จิตของเราสำเร็จอักษร สร้างกรรมฐานให้แก่กล้า จะได้รับมรรคผลโดยเร็ว อาจจะได้ตรัสรู้ เพื่อสืบสายศากยะบุตรหรือประวัติศาสตร์ของมหาบุรุษ ผู้ฉลาดรอบรู้ เป็นนักปราชญ์ชั้นเยี่ยม เหมือนที่ว่าขุดบ่อ มันจะออกน้ำ ถ้าไม่ถึงกำหนดมันก็น้ำไม่ออก เดินไม่สุด คือเดินน้อยๆ ถ้าเดินไม่หยุดยั้งฉันใด คือปราชญ์ผู้ฉลาด จะเดินให้สุด ทานดี ศีลดี ภาวนาดี
๏ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่สั้นที่สุด
ในอดีตกาล ในโอกาสทำบุญใหญ่ ณ พระธาตุพนม ได้มีการจัดการแข่งขัน โดยให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร เทศน์คำสอนในพระไตรปิฎกทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ว่าใครที่เทศน์ใช้เวลาได้สั้นที่สุดเป็นผู้ชนะ ทุกองค์ต่างย่นย่อให้สั้นมาเรื่อยๆ สุดท้าย มีสามเณร เดินขึ้นแท่นธรรมมาสน์ สามเณรจึงเริ่มเทศน์ว่า “อด ! เอวัง ด้วยประการละฉะนี้” แล้วเดินลงมา ผู้ที่ชนะคือสามเณรรูปนั้น (สามเฌรรูปนั้น คือ) อด ภาษาอีสาน คือ อดทน
๏ โบกมือไล่ฝน
ในครั้งที่หลวงปู่เดินทางไปพำนักในป่ากับคณะลูกศิษย์ และโยมอุปัฏฐาก มีภาชนะ อุปกรณ์ที่เตรียมไป ขณะเดินทางเริ่มเห็นเค้าเมฆฝนก้อนใหญ่ ดำครึ้ม สักพักลูกศิษย์สังเกตเห็นหลวงปู่แหงนหน้ามองไปทางกลุ่มเมฆฝนก้อนนั้น แล้วโบกมือไกวๆ จากนั้น กลุ่มเมฆฝนนั้นก็เคลื่อนที่ไปทางอื่นตามมือที่หลวงปู่โบกไปจริงๆ เหมือนสั่งได้
๏ ปู่พระอินทร์นำยาทิพย์มาให้
ในครั้งที่หลวงปู่ทองทิพย์เคยรับกรรม ที่ท่านเคยตาบอด ท่านก็ไม่ได้ไปหาหมอที่ไหน ก็อยู่แต่ในกุฏิ แต่ท่านก็รู้ได้หมดชัดเจน ว่าใครไปใครมา รู้ทุกเรื่องได้เหมือนตอนที่ตาไม่บอด ส่วนอุบาสกคนหนึ่ง เป็นศิษย์ผู้ปฏิบัติธรรม ได้ไปนิมิตฝันเห็นชีปะขาวท่านหนึ่ง นำเอายาเป็นแท่งมาให้ บอกว่าให้เอายานี้ไปฝนและให้หลวงปู่ฉัน อุบาสกก็รับไว้ จนเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่ามียาแท่งนั้นในมือ จึงดีใจคิดว่าคงเป็นพระอินทร์นำยามาให้ จากนั้นจึงทำตามที่ชีปะขาวบอกในฝัน คือนำยาแท่งนั้นไปฝนแล้วผสมน้ำเป็นยา ให้หลวงปู่ฉัน จากนั้นระยะหนึ่ง ปรากฏว่าอาการตาบอดของหลวงปู่ที่เคยเป็น ก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ยาแท่งนั้นเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว จู่ๆ ก็หายไปหาไม่พบอีกเลย
๏ ธรรมโพธิสัตว์
บุคคลที่ถึงธรรมนี้ของพระโพธิสัตว์นั้น ท่านจัดว่าเป็นปรมัตถะปารมี หลังจากนั้นก็เทวดา หรือพระอินทร์เชิญขึ้นไปเบื้องบนสวรรค์มอบราชสมบัติให้ เสวยราชสมบัติอยู่เมืองดาวดึงส์ ได้ ๗ วันเท่านั้น เพราะว่า เพราะเมืองสวรรค์ ของสวรรค์เป็นของทิพย์
ตัวเราที่สร้างกุศล มีรักษาศีลบารมีเพื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า จนกว่าเราจะได้รับพระพยากรณ์ รีบๆ ทำไป เมื่อ ชาตินี้หมดชาตินี้ ก็ไปชาติหน้าไป ทำอย่างนี้แหละที่ไม่ถอย เอาสังขารบูชาพระรัตนตรัยไปเลย ไม่ใช่ว่าปรารถนาแล้วโอ๊ย ! ไม่ค่อยเอา อีกอย่างหนึ่ง ที่ยังไม่ได้รับพระพยากรณ์ ไม่ย่อท้อ จนกว่าว่าเราจะ เห็นหน้าองค์พระพุทธเจ้า ค่อยเป็นปรมัตถะปารมี
๏ ธรรม กรรมฐาน
กรรมฐานต้องเบื่อ ถ้าไม่เบื่อไม่ใช่กรรมฐาน
ตัดความโลภ จะเป็นผู้มีลาภ
ตัดความโกรธ จะเป็นผู้มีศีล
ตัดความหลง จะเป็นผู้มีปัญญา
ข้ามไฟสามกอง ยิงนกหกตัวก็จบ
ไฟสามกองคืออะไร ก็คือไฟโกรธ ไฟโลภ ไฟหลง
ยิงนกหกตัว ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยิงให้มัน ตายจากกิเลส
◎ ๖. ความรู้เกี่ยวกับ พระพุทธเจ้า
เป็นคำสอนของหลวงปู่ทองทิพย์ ที่เล่าให้ลูกศิษย์ฟัง เป็นความรู้ อจิณไตย อย่างยิ่ง ข้าพเจ้าชอบอ่านบทนี้มาก
๏ ปฐมบท อนาคตวงค์พุทธเจ้า ๑๐ พระองค์
พระสุมังคละพุทธเจ้า องค์ ๑๐ ในอนาคตวงค์ โอ้ มันก็ยังอยู่ ๑๐ ขั้น ๙ ขั้น (เรียงลำดับจากพระศรีย์) เออ ขั้นพระพุทธเจ้าน่ะ ถ้าแผ่นดินสูงขึ้น ๔๐๐ เส้นน่ะ มาอีกองค์หนึ่ง นั้นน่ะ องค์สอง มาตรัสอีกล่ะ ปรินิพพานล้างศาสนาไปอีก ไว้ให้กับมนุษย์หรือเทวดาประพฤติปฏิบัติ แล้วก็องค์นั้นมาตรัสอีก องค์ที่สาม ตรัสต่อ แผ่นดินในโลกมนุษย์จะสูงขึ้นองค์ละ โยชน์ (โยชน์หนึ่งมี ๔๐๐ เส้น)
แต่ในภัทรกัปนี้นั้นก็หมด มันก็กลับมาใหม่ เป็นโลกใหม่ ตั้งแผ่นฟ้าแผ่นดินใหม่ เพราะแผ่นไฟมันไหม้ จนจะมาตั้งกัปใหม่นั่นแหละ รามะพุทโธ ลงมาจึงมาตั้งแผ่นดิน มี ๒ องค์ มัณฑกัป คือพระธรรมราช พระเจ้าปเสนทิโกศล น่ะ ที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า หรืออุปัฏฐากพระพุทธเจ้า หรือฟังธรรมพระพุทธเจ้า
องค์ที่ ๔ นั้นก็ พระยามาร ที่มาลองพระพุทธเจ้า วสวัตดีมาร นั้นน่ะ ที่ขี่ช้างนาฬาคีรีน่ะ มันเป็นโต (ตัว) น่ะ ฮ่า ๆ นั่นแหละ จะมาเป็นองค์ที่ ๔ น่ะ พระยาวสวัตดีมาร น่ะ เมื่อเขาหมดมารน่ะ เขาสร้างบารมีไว้แล้ว ค่อยจะมาตรัสในเวลานั้น สารกัปมีองค์เดียว
จากนั้นแล้วก็ยังมี อีกสาม ก่อนนั้นมีสามมีสี่ นับแต่ อสุรินทราหูน่ะ พระนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ที่ ๕ อายุ ๒ แสนปี เท่าพระราม
สุมังคละ นี่ก็ องค์สุดท้าย (องค์ที่ ๑๐) เนี่ย ๒ แสนปีเหมือนกัน นอกจากนั้น ๘ หมื่นปี มันเป็นอย่างเนี้ยหนา
สมัยพระพุทธเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าชั้นตรี ชั้นจัตวาเนี่ยอายุ ๘๐ ปี คนเป็นอายุ ๑๐๐ ปี, ๑๕๐ ปี พระพุทธเจ้าลงมาตรัส ถ้า ๕๐ ปี ไม่ตรัสน่ะ พระพุทธเจ้าของเรา ศรีศากยมุนีโคดม นี่ ๘๐ ปี เป็นพระเจ้าชั้นตรี พระองค์ไม่เอามาก สร้างบารมีนั้นคือ ปัญญาบารมี แต่มีฤทธิ์มากเหมือนกัน อย่างเนี้ย อยู่ในชั้นตรีเนี่ย
องค์ชั้น ๒ แสนปี ที่เช่นพระวิปัสสี เนี่ย ยังสู้อาฬวกยักษ์ไม่ได้ โปรดไม่ได้ ฤทธิ์สู้ยักษ์ไม่ไหว ยักษ์ตัวนั้นมิจฉาทิฐิมาก พระพุทธเจ้าชั้นตรี คือพระศรีศากยมุนีโคดมเราเนี่ย สู้ได้ เออ ! มันมีในบทพาหุงเนี่ย
“มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง” เนี่ย
๏ ยุคที่มีพระพุทธเจ้าที่ ทำให้อายุมนุษย์จะยืนยาวสูงสุด ไม่เกิน ๒ แสนปี สูงสุดได้แค่นั้น เพราะถ้ามากกว่านั้น ก็ไม่ลงมาตรัส มนุษย์อายุ ๒ แสนปี, ๘ หมื่นปี, ๖ หมื่นปี พระพุทธเจ้าลงตรัส ส่วนอายุ ๔ หมื่นปี ๓ หมื่นปี ๒ หมื่นปีไม่มา เพราะโลก คนในโลกมันสอนยาก ๕๐ ปีก็ไม่ ไม่ลงมา มนุษย์สอนยาก
เพราะบุญกุศลเขาไม่มี เขาไม่ฟังความใครล่ะ เขาว่าเขารู้ เขาเด่น เขาเก่ง คนติดอยู่ในวิทยาศาสตร์เนี่ย พวกวิทยาศาสตร์นี่เขาเป็นยักษ์นะเนี่ย ยักษ์มันกินคน กินเศรษฐกิจ เชื่อวิทยาศาสตร์ทั้งหมด มันเป็นยังเงี้ย พระพุทธเจ้าก็ยังไม่มาตรัส แต่ว่าเกิดขึ้นอยู่ แต่มาทรมานมันนั่นแหละ นั่นก็ไปมาเป็นพวกโพธิสัตว์ มาทรมานพวกที่อยู่ ให้เรียนรู้ทุกข์ สร้างบารมี
พระพุทธเจ้าท่านไม่ลงมาตรัส แต่ท่านลงมาเกิด (ไม่ใช่ลงมาเพื่อตรัสรู้ในชาตินั้น) ลงมาเกิดอยู่ ลงมายกย่องพระพุทธศาสนาเนี่ย ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า เป็นโพธิ์สัตว์ จะมายกย่องศาสนาเฉยๆ เนี่ย เป็นพระยาธรรมค้ำชูศาสนา ก็อาจจะรวมกันกับฝูงที่ว่า พระโพธิสัตว์ หรือเชื้ออรหันต์ พระโพธิสัตว์เหล่านั้นแหละ
◎ ๗. กำเนิดองค์ปฐม
เป็นคำสอนของหลวงปู่ทองทิพย์ ที่เล่าให้ลูกศิษย์ฟัง เรียบง่าย ลึกซึ้ง อัศจรรย์ยิ่งนัก
๏ การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ที่ท่านลงมาบำเพ็ญบารมี เป็นพระสงฆ์ปัจจุบันเนี่ย ถ้าท่านมรณภาพแล้ว จะกลับไปอยู่ที่ ไปอยู่ดุสิต… มันก็จะได้เสวย◎ความสุขอยู่นั่นแล้ว ก็ถึงกาลแล้วก็ พระอินทร์ไล่ลงมาเกิดแล้ว
ถ้าไม่ลงมาเกิดมันก็ถือว่าอยู่บนสวรรค์ สนุกเฉยๆ ไม่ได้เพิ่มเติม ไม่ได้ประโยชน์อะไร มันมีแต่ความสุข ความทุกข์ไม่มี มันก็มีแต่ความตายนั่นแหละ มันตายเป็นอยู่ คือภายใน ๗ วันเนี่ย บุพนิมิต ๕ ประการปรากฏ ๗ วัน ลงมาเลย ที่นั่ง ที่นอน ที่กิน ดังนี้ก็จะเหม็นสาบขึ้น กุ้ยขึ้น อาหารที่มีรส มีโอชา ก็ไม่มีรส ไม่มีรสเลย วันนั้นวันจะตาย
เพราะว่าถ้ามาเกิดในมนุษย์นี่ มันมีทุกข์ มันเป็นต้นเหตุ มันได้สร้างคุณงามความดี ถ้าไม่ทุกข์ก็ไม่ได้ ไม่มีเหตุมันก็ไม่มีผล อย่างนี้
ในชั้นดาวดึงส์หรืออะไรแล้วก็ตาม ชั้นพรหมก็ตาม แล้วก็อยู่ในจิต บำเพ็ญอยู่ในกุศลอย่างเฉียบขาดหนา ดุสิตนี้ก็ดี ไม่ใช่ว่าน้อย จะไปสวรรค์ได้นี่ก็ โอ้โหยาก ไม่ได้ไปง่ายๆ นะ เหมือนกับจิตเป็นเทวบุตร จิตเป็นเทวดา อยู่ในมนุษยโลกนี้ก็เหมือนกัน จิตราบคาบ ไม่ก่อเวรก่อกรรมกับใครทั้งสิ้น ทิฐิความเห็นผิด ระวังที่ว่าการเห็นผิดแต่อย่างเดียว ขอให้เห็นถูกไปเลย อันนั้นอาจจะตามหนทางของอริยะ ของคนที่ดี หรือมีพระอริยะผู้ที่จะไกลกิเลส ไกลกิเลส คือไกลจากความเศร้ามัวหมอง ไกลจากความทุกข์ความยากลำบาก
๏ ความเป็นมาของพระพุทธเจ้าองค์แรก องค์ต้น!
องค์ต้น นั่นก็องค์ปฐมแล้ว ชื่อว่า ”พระปฐม” เกิดจากดอกบัว แล้ว ดอกบัวเป็นแม่ (ผู้มีบุญมากๆ มักเกิด แบบกึ่งโอปาติกะ ไม่ต้องออกจากครรภ์) องค์ต้น ลงมาแล้วตรัสรู้ ประกาศพระธัมมจักรอยู่ที่นั่น สร้างโลกอยู่ที่นั่น จึงว่าคนเรา จึงที่ทำดอกบัวนั้น ดอกอุบลนั้น บูชาพระรัตนตรัย เพราะพระพุทธเจ้าองค์แรกเป็นพระปฐม เกิดอยู่ในดอกบัว
พระพุทธเจ้ามีมาเป็นหลายโกฏิล้านพระองค์มาแล้ว ไม่ใช่น้อยๆ เท่าเม็ดหินเม็ดทรายแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไป นับแต่ปฐมมานะ นับไม่ได้เหมือนกับพระอรหันต์ก็นับไม่ได้ สาวกก็นับไม่ได้ อานิสงส์ของบุญนั้นก็ต่างกัน ตามนั้นแหละ บุคคลที่จะดี เหมือนเม็ดหิน เม็ดทราย เม็ดน้ำ เม็ดอากาศ
◎ ๘. ปัจฉิมบท ”จิตพระศรีย์”
โดยปกติถ้าจิตข้าพเจ้าได้พบครุอาจารย์ที่ดับขัน์ไปแล้ว จึงจะเขียนเรื่องราวของท่าน..เพื่อยกย่องในความดีงาม ความเมตตา และส่วนมากแล้ว ไม่เคยทันกายสังขารหยาบ ได้แต่พบกายทิพย์ของท่านทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นปู่ใหญ่ คณะเทพโลกอุดร ,หลวงปู่สมเด็จลุน , หลวงปู่สรวง ,หลวงปู่ทวด,หลวงปู่ดู่,หลวงปู่โต ,หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง, หลวงปู่ขาว อนาลโย และ ปู่ฤาษี ส่วนที่ทันสังขารท่าน แล้วท่านเมตตามาโปรด คือ หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่, หลวงตามหาบัว, หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม เป็นต้น ส่วนหลวงปู่ทองทิพย์ ข้าพเจ้าไม่ทันพบกายเนื้อเช่นกัน ข้าพเจ้าเป็นคนมีอุปทาน มีสัญญานิมิตเยอะ เป็นผู้หลงอยู่ ให้อ่านเป็นนิทานแล้วกัน
คืนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เดินตามหลวงตาองค์หนึ่ง (พุทธภูมิเก่าลาเข้าอรหันต์แล้ว)ขึ้นไปบนเนินเขาลูกหนึ่ง ในท่ามกลางเนินเขานั้น พบเห็นพระสงฆ์มากมาย มารวมตัวกัน บ้างนั่ง บ้างยืน ขณะที่หลวงตาองค์หนึ่ง ที่นำข้าพเจ้ามา ได้เดินไปด้านซ้ายมือไปกราบพระสงฆ์องค์หนึ่งบนเนินเขา โดยมีข้าพเจ้าเดินตามอยู่นั้น เมื่อเดินไปได้ ๓ ก้าว หันไปมองด้านขวามือ ข้าพเจ้าเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งกึ่งนั่ง กึ่งนอน เอียงศรีษระ บนแคร่ไม้ อยู่ท่ามกลางหมู่สงฆ์หลายองค์ที่นั่งอยู่ ส่วนด้านซ้ายมือของท่าน มีพระภิกษุอีกรูปหนึ่งนั่งอยู่รถเข็น แต่พระภิกษุองค์นั้นกลับแต่งกายด้วยจีวรสีขาว ข้าพเจ้าจะเดินผ่าน แต่ก้าวขาไม่ออก เหมือนถูกพลังกระแสจิต ของพระภิกษุองค์ที่นอนอยู่ ดึงดูดให้อยู่กับที่ สายตาเปี่ยมเมตตา พลังกล้าแข็ง จึงบอกตัวเองว่า เราจะต้องเข้าไปกราบหลวงปู่รุปนี้ก่อน
ข้าพเจ้า จึงเดินเข้าไป นั่งคุกเข่ากราบพระสงฆ์ที่นอนอยู่ ๓ ครั้ง ทันใดนั้น พระภิกษุท่านนั้น ท่านเอนตัว ลุกขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วท่านเอานิ้วมือจุ่มผงในตลับ ที่อยู่ข้างเตียงท่าน มาเจิมที่หน้าผากข้าพเจ้า ใบหน้าท่านนิ่งสงบ
ไม่พูดอะไร ข้าพเจ้าสังเกตเห็นที่นิ้วชี้ข้างขวาของท่าน สวมแหวนสูงใหญ่ เหมือนเศียรพญานาค
จิตข้าพเจ้ามันรู้ขึ้นมาเองว่า พระภิกษุองค์นั้นคือ หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ นั่นเอง จิตเกิดปิติอย่างแรงกล้า ลืมตาขึ้นมา ภาพนั้นยังตราตรึงไม่หาย แม้กระทั่งตอนนี้ ข้าพเจ้าได้ตีนิมิตตนเองว่า เดินไปทางซ้าย คือ สายอริยะ ตามหลวงตารูปนั้น ส่วนขวามือ คือ ที่พบหลวงปู่ คือสายโพธิสัตว์ ข้าพเจ้าเลือกที่จะหยุดอยู่กับหลวงปู่ จิตข้าพเจ้ายังเดิน อยู่ในสายโพธิสัตว์หรือ?
แล้วหลวงปู่องค์ไหน คือ พระศรีย์ ? เรื่องของพระมหาโพธิสัตว์ เป็นเรื่องอจิณไตย เกินเหตุผลทางโลก จะเข้าใจ เรื่องของท่านได้ ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้รู้ แต่ขอนำความรู้ จากผู้ทรงญาณ และจากครุอาจารย์ทางโลกทิพย์ มาบอกเพียงบางส่วน คลายความสงสัยของบางท่าน และไม่ได้บอกว่า ความรู้นี้ถูกนะ ไม่อยากให้นำไปถกเถียงกัน เพราะมันไม่ได้ทำให้กิเลสลดน้อยลง มีแต่จะเพิ่ม ความอหังการ์ มานะกิเลสเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ที่แน่ๆ ข้าพเจ้าไม่ได้แต่งเรื่องเอง จะทำบาปแก่ตนเองทำไม?
อนึ่งจิตของพระมหาโพธิสัตว์ บารมีสูง ท่านสามารถแบ่งดวงจิตมากมายเพื่อโปรดสรรพสัตว์ ทำให้สามารถ พบผู้ที่เกี่ยวพันได้กว้างขึ้น ย่นระยะชาติในการเกิด ไม่ต้องรอ มาเกิด ทีละชาติ จึงแบ่งจิตออกหลายดวง หลายคน ในชาติเดียวกันได้ ดุจเอาน้ำ ๑ แก้ว ไปเทบนพื้นลื่นๆ หยดน้ำแตกตัว เกิดหยดน้ำมากมาย ใหญ่ เล็ก ไม่เท่ากัน เป็นอิสระต่อกัน เปรียบดังจิตที่แบ่งออกมา มีขนาดบารมีไม่เท่ากัน มีอิสระในการสร้างกรรมดีกรรมชั่ว ดังนั้น บางดวงที่แบ่งออกมาก็ หลงโลก จึงอาจลงไปอบายภูมิ บางดวงลาเข้านิพพาน..บางดวงกลับมารวมกับจิตหลัก (หยดน้ำใหญ่) ถึงแม้จิตที่แตกจะอิสระ แต่ก็อยู่ในเครือข่ายไมหาโพธิสัตว์เดียวกัน” จิตที่มีบารมีมาก จึงไปสอน จิตที่กำลังหลงทางได้ ดุจพี่สอนน้อง
การแบ่งจิต อยู่ในช่วงเป็นมหาโพธิสัตว์ ไม่ใช่แบ่งตอนชาติที่เป็นพระพุทธเจ้า ปกติจิตที่แบ่งออกมา บารมีจะ น้อยกว่า จิตหลัก และยากมากที่จะสร้างบารมีเท่ากับจิตหลัก แต่ในจิตของพระศรีย์ แม้แบ่งจิตมากมาย แต่มีจิตหลักใหญ่ (บารมีมาก) ถึง ๒ ดวง ในภาพอาจจะมี ๑ คน กำลังนั่ง
จิตหลักพระศรีย์องค์หนึ่ง คือหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เป็น พระศรีย์องค์ปิดภัทรกัปนี้ เป็นวิริยะธิกะประเภท๓ (อายุ ๘หมื่นปี)
ส่วนจิตหลักพระศรีย์อีกดวงหนึ่ง คือจิตหลวงปู่ทองทิพย์ จะมาเป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระศรีย์ คือ พระราโมพุทธเจ้า (องค์ต้นกัปหน้า วิริยิกะประเภท ๓ อายุ ๑ แสนปี)
ในภาพอาจจะมี ๑ คน ข้อความ จึงหมายความว่า ทั้งหลวงปู่ดู่ และ หลวงปู่ทองทิพย์ คือ จิตพระศรีย์ (ถ้านับจากฐานเดิมของจิต) แม้แต่หลวงปู่โต ,หลวงปู่สรวง ล้วนคือจิตพระศรีย์ที่แบ่งมา ท้ายสุด ทุกองค์ล้วนเป็นหลวงปู่ครูอาจารย์ ที่เป็นเนื้อเดียวกัน มีมหาเมตตา มหาบารมีเหมือนกัน ที่เราทุกคน ควรจะน้อมกราบและโมทนาในบุญของท่าน ทุกองค์ โดยไม่ต้องแบ่งแยกว่าใครคือองค์ไหน เพราะทุกท่านคือ “คุรุแห่งโพธิสัตว์” ล้วนต้องน้อมกราบเหมือนกัน
ลูกนามมะโน ผู้น้อยด้อยปัญญา หากกล่าววาจา ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ขอน้อมกราบขอขมาหลวงปู่ ขอโปรดเมตตา งดโทษให้ลูกด้วยเทอญ
ที่มา :ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://payakron.blogspot.com