ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่คำมี พุทธสาโร
วัดถ้ำคูหาสวรรค์
อ.เมือง จ.ลพบุรี
หลวงปู่คํามี ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีอายุยืนยาวถึง ๑๐๕ ปี จึงได้มรณภาพ
แม้จะอยู่ในชีวิตที่ชราภาพมากแล้ว คือเดินไม่ได้ ต้องอาศัยบรรดาศิษย์ทั้งหลายคอยยกหามท่านไปรับคณะศรัทธาญาติโยม
ทั้งเสียงของท่านก็ดูไม่เสื่อมไปตามสังขารเลย ท่านพูดเสียงดังฟังชัดแจ่มใสดี สติและจิตภายในนั้นไม่มีความลบเลือน ยังแจ่มใสจดจําสิ่งต่างๆที่ผ่านมาได้อย่าง แม่นยําเลยทีเดียว
หลวงปู่คํามี พุทธสาโร ท่านเกิดในประเทศลาว ท่านเคยบอกไว้ว่า ท่านเกิดปีเถาะ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๔๒๐
บิดาของท่านชื่อ นายสี มารดา ชื่อ นางน้อย มีอาชีพทํานาและค้าของป่า
ท่านได้อยู่กับบิดามารดา มาจนอายุได้ ๑๔ ขวบปี ท่านก็ได้บวชเป็นสามเณร ที่วัดเมืองลําเนานิสัย ประเทศลาว โดยมี ท่านพระครูพน เป็นพระอุปัชฌาย์
เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้อาศัยอยู่กับพระอาจารย์ นาน ๖ ปี ในระหว่าง ๖ ปีนี้ ได้ทราบความเก่งกาจสามารถของ “สมเด็จลุน” จึงเกิดความสนใจ ติดตามไปอยู่กับ สมเด็จลุน ถึง ๓ ปี
หลวงปู่สมเด็จลุน ท่านอยู่ในแขวงจําปาศักดิ์ สปป.ลาว ตอนเป็นเณรเล็กๆ ท่านก็อาศัยเดินทางไป ผ่านหมู่ สัตว์ป่าร้ายๆ นานาชนิดทําท่าจะทําร้ายท่าน แต่อาศัยความพยายามเป็นที่ตั้งจิตใจจึงหาย หวั่นไหวเดินทางต่อไป
ต่อมา หลวงปู่คํามี พุทธสาโร เกิดความศรัทธาที่จะมานมัสการ “พระธาตุพนม” เพราะผู้ใหญ่ทางประเทศลาวบอกว่า
“พระธาตุพนมเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์มาก”
ดังนั้นท่านจึงได้ออกเดินทาง ก่อนออกเดินทางโยมมารดาต้องร้องไห้อีกครั้ง เพราะรู้ดีว่า หลวงปู่คํามี ถ้าละไปไหนแล้ว หลายปีนักจึงจะกลับถิ่นเดิม
เมื่อข้ามแม่น้ําโขงมาแล้ว ท่านกลับมาขึ้นที่ท่าอุเทน และก็ได้ทราบข่าวว่า มีพระวิปัสสนาจารย์ชื่อดังอยู่องค์หนึ่ง ท่านคือ ท่านพระอาจารย์ศรีทัตต์ หรือที่เรียกกัน ในหมู่คนไทยว่า หลวงพ่อศรีทัตต์ สุวรรณมาโจ หลวงปู่คํามี จึงเข้าถวายตัวเป็นศิษย์ ฝึกฝนอบรมจิตภาวนากรรมฐานจากท่านนานถึง ๓ ปี
หลวงพ่อศรีทัตต์ องค์นี้ ท่านสนใจในการศึกษาพระกรรมฐานมาก่อน จนมีความสามารถยิ่งทีเดียว ต่อมาท่านได้มาขอฝึกกรรมฐานกับ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
นอกจากนี้แล้ว หลวงพ่อศรีทัตต์ องค์นี้ยังเป็นพระสหธรรมมิกผู้อาวุโสของ หลวงปู่กินรี จันทิโย แห่งวัดกัณตะศิลาวาสอีกด้วย
ภายหลังจากศึกษาพระกรรมฐานกับ หลวงพ่อสีทัตต์ ๓ ปี แล้ว หลวงปู่คํามี จึงเดินทางกลับวัดเมืองลําเนานิสัย เพราะในช่วงชีวิตของท่านมีอายุครบอุปสมบทแล้ว ท่านจึงได้เดินทางไป ขอบวชกับท่านพระครูพน พระอุปัชฌาย์จารย์องค์เดิม
ท่านหลวงปู่คํามี พุทธสาโร ได้อยู่ปรนนิบัติพระอาจารย์และโยมมารดา เพื่อตอบแทนพระคุณอันสูงล้ําได้ ๒ ปี จึงมาคํานึงถึงการปฏิบัติอีกครั้ง
ดังนั้น ท่านได้กราบลาพระอุปัชฌาย์ และโยมมารดา เพื่อเดินทางกลับมายังประเทศไทย ครั้งนี้หลวงปู่ท่านเล่าว่า…
“โยมมารดา ร้องไห้อีกครั้ง และเป็นการร้องไห้ที่เป็นครั้งสุดท้าย นับเป็นการอําลา พระอาจารย์ บิดามารดา ประเทศแดนเกิดดั้งเดิมของท่านเลยทีเดียว เพราะปรากฏว่า นับตั้งแต่บัดนั้น หลวงปู่คํามี พุทธสาโร มิเคยกลับประเทศลาวอีกเลย”
เมื่อหลวงปู่คํามี ท่านมาถึงฝั่งไทยแล้ว ก็ได้เข้านมัสการพระธาตุพนมได้อย่างสมใจ แล้วออกเดินธุดงค์ไปหลายแห่ง การปฏิบัติสมัยของท่านนั้น อาศัยเดิน… นั่ง ยืน นอน ในทุกอิริยาบถ ทรงไว้ด้วยสติสัมปชัญญะตลอดเวลา
หลวงปู่สอนว่า สองอย่างนี้เคลื่อนจากกันไม่ได้ ถ้าแยกจากกันในวินาทีใด ก็หมายความว่าความรู้แจ้งเห็นจริงพลอยดับหายไปเหมือนกัน เหมือนเครื่องยนต์ ถ้าน้ํามันขาดตอน เครื่องก็จะสะดุดหยุดลงชั่วขณะเหมือนกัน”
หลวงปู่คํามี ท่านได้บํารุงพระพุทธศาสนาให้เจริญถาวรในเรื่องวัตถุหลายแห่งหลายประการ สร้างความศรัทธาปสาทะแก่บรรดาญาติโยมเป็นอันมาก
ต่อมาท่านได้ถูกนิมนต์ให้มาสร้างถ้ําคูหาสวรรค์ให้เป็นสภาพวัดขึ้น ท่านจึงต้องจําใจรับเพราะแต่เดิมนั้นท่านหวังที่จะทําเป็นสํานักสงฆ์เท่านั้นเอง
แต่ทางคณะญาติโยม ได้ขอร้องพร้อมกับขนไม้หินทรายเข้ามาทําการก่อสร้างเสนาสนะ ท่านก็จําต้องรับธุระนั้น จนเป็นวัดวาอารามจดทะเบียนสงฆ์ขึ้นมา
การภาวนาของท่านนั้น หลักสําคัญที่สุด หลวงปู่ไม่ให้ลืมสติสัมปชัญญะ หายใจเข้าออก พุทโธ เป็นเครื่องมือสําหรับดําเนินจิตเท่านั้น ลมหายใจเดินให้ถูกต้องก็ใช้ได้
การภาวนาขั้นอุกฤษฎ์นั้น หลวงปู่คํามี พุทธสาโร เคยนั่งภาวนาเป็นแรมเดือน อาหารไม่เคยตกถึงท้องเลย หลวงปู่บอกว่า
“มันเหม็นเบื่อไปหมด อาศัยน้ําและผลไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง”
วาระสุดท้ายแห่งชีวิตในเพศสมณะ หลวงปู่ผู้ทรงอยู่กับสภาพสังขารอันหนักนี้ถึง ๑๐๕ ปี
สภาพจิตและสติไม่เคยลืมเลือน จดจําสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยํา และดําเนินสติไม่ขาดพร่องเลย นิดก็ไม่มี หลวงปู่พูดจารับคณะญาติโยมที่เดินทางไปถึงถ้ําคูหาสวรรค์ ด้วยอาการแจ่มใส เสียงท่านยังกับหนุ่ม ๆ หาได้แสดงอาการอ่อนกําลังตามสังขารไม่
อย่างไรก็ตาม คนเราเกิดมาแล้วจะหนีความแก่ความเจ็บความตายไม่ได้เลย หลวงปู่คํามี ก็เช่นกัน ท่านทนแบกสังขารอันหนักไม่ได้ ท่านถึงกาลมรณภาพ ด้วยความสงบ พบกับความสุขที่ ได้สร้างสมไว้ในที่สุด !
เราชาวพุทธทุกคนไม่ควร ลืมเลือนคําสั่งสอนของท่านและจงเชื่ออย่างสนิทเถิดว่า หลวงปู่คํามี พุทธสาโร ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เจริญตามแนวทางของพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริงองค์หนึ่ง
หลวงปู่คํามี พุทธสาโร ท่านแสดงธรรมโปรด เป็นสติเตือนใจแก่พวกเราไว้ดังนี้
เกิดเป็นคน อย่าทิ้งความดีนะลูกหลานนะ เราเป็นฆราวาสคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณมารดา บิดานี่
ถ้าทําดี ปฏิบัติถูกแล้ว สิ่งที่ไม่ปรากฏนาม-รูป จะมาอนุโมทนา จําไว้นะลูกหลานนะ
คําพูดนี้สําคัญลูกไอ้… ลูกอี ก็อย่าว่า…อย่าทำนะ..ถ้าทําถ้าพูด พระจะหนีหมดเลย….ไม่ดีนะ”
นี้แหละเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่ ของพวกเราชาวไทยทุกคน
หลวงปู่คํามี พุทธสาโร ท่านมรณภาพอย่างสงบที่โรงพยาบาลมิชชั่น กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๓๑ ธ.ค. พ.ศ. ๒๕๒๔ สิริอายุ ๑๐๕ ปี พรรษา ๘๐