ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม วัดป่าดานศรีสำราญ ต.ศรีสำราญ อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ
ท่านเป็นพระธุดงค์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อีกองค์หนึ่งที่คนเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมาก
หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม ท่านถือกำเนิด ตรงกับวันพุธ เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๔๘ ปีมะเส็ง ณ บ้านกลาง ต.ด่านม่วงคำ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
องค์ท่านอุปสมบท เมื่ออายุ ๔๙ ปี ในวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๗ เวลา ๑๑.๓๐ น. ณ วัดศิลาวิเวก ต.ศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.มุกดาหาร โดยมี พระครูพุทธารักษ์สาธุกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เป็นธุระ เตรียมจัดบริขารในการบวชให้ โดยหลวงตามหาบัว ท่านได้กล่าวว่า
“หลวงพ่อตันนะ องค์หนึ่งนะ อันนี้ก็เราบวชให้เลยนะ เป็นตาปะขาว แกภาวนาดี แกเล่าภาวนาให้ฟัง เข้าท่านี่ว่ะ เราเลยให้ไปบวชมุกดาหาร เราไม่ไปแหละ แต่ให้โยมพาไป ให้พระพาไป บริขารเราเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว ให้ไปบวชแล้วมาอยู่กับเรา หลวงพ่อตันนี้องค์หนึ่ง”
หลวงปู่คำพอง (หลวงตาน้อย) ปัญญาวุโธ ได้เล่าถึงหลวงปู่คำตัน ไว้ว่า
“อาตมา เมื่อสมัยเป็นสามเณร ติดตามหลวงตามหาบัว และหลวงพ่อสิงห์ทอง ออกจากวัดป่าสุทธาวาส เดินทางมาที่ วัดดอยธรรมเจดีย์ ก็มาแวะรับโยมคนหนึ่ง อยู่ที่บ้านโคกนามน ชื่อโยมคำตัน ตอนนั้นยังเป็นโยม ท่านเคยปฏิบัติอยู่กับ หลวงตามหาบัว ก็พาไปวัดป่าห้วยทรายด้วยกัน ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีนะ อาตมาตอนนั้นเป็นเณร ท่านเป็นโยม หลวงตามหาบัว พาไปรับโยมคำตัน พอถึงบ้านห้วยทราย ก็ให้บวชเป็นตาปะขาว แล้วพาไปบวชพระที่มุกดาหาร ก็พากันเดินทางด้วยกัน พระสอง เณรหนึ่งและโยมอีกหนึ่ง มุ่งหน้าสู่บ้านห้วยทราย คำชะอี
หลวงพ่อคำตันนี้ ท่านเคารพนบนอบดีนะ บอกง่ายสอนง่าย กลัวหลวงตาจนตัวสั่นเลย เวลาจะออกไปบิณฑบาตกันนี้ ก็พากันห่มครองจีวรรอ ตั้งแต่เช้านะ หลวงตาท่านเดินเร็ว ต้องเตรียมตัวออกก่อนท่านนะ หลวงตาท่านไม่สนนะ ทันก็ทัน ไม่ทันท่านออกไปเลยนะ พอใกล้จะบิณฑบาต หลวงพ่อตันท่านออกไปรอก่อนแล้ว กลัวไม่ทัน เพราะหลวงตาท่านเดินเร็วนะ แล้วตอนนั้นก็มีแต่พระหนุ่มๆ แข็งแรงทั้งนั้น มีแต่หลวงพ่อตันเป็นผู้เฒ่า ท่านเลยออกไปรอก่อน ท่านกลัวหลวงตามาก จนตัวสั่นเลยนะ หลวงพ่อตัน กลัวมากเลยจริงๆ ก็กลัวกันทุกคนนั่นแหละ เราก็กลัว หลวงพ่อตันนี้ ท่านทำความเพียรดีมาก ๆ”
หลวงปู่คำตัน ท่านบวชเป็นตาผ้าขาว ฝึกปฏิบัติภาวนากับ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ขณะที่องค์หลวงตามหาบัว พำนักจำพรรษา ณ วัดป่าบ้านห้วยทราย (วัดหลวงปู่จาม มหาปุญโญ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร (เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๕) ท่านเป็นพระบวชเมื่ออายุมาก แต่ท่าน ตั้งใจปฏิบัติจริงจัง เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการปฏิบัติ บวชแล้ว ก็ได้มาอบรมธรรม เป็นศิษย์องค์หลวงตามหาบัว ภายหลังจึงได้มาจำพรรษา ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
ท่านหลวงปู่คำตัน ได้ไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่หล้า ตามบัญชาขององค์พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลังจากพูดคุยสนทนากันเพียงสองต่อสอง องค์หลวงปู่หล้าท่านให้หลวงปู่ตันไปภาวนาที่กูฏิบนภูจ้อก้อ วันต่อมาองค์ท่านก็ไม่ได้สนทนากันอีกเลย จนหลวงปู่ตันได้ลากลับ หลวงปู่ตันได้จบกิจพรหมจรรย์ในคืนนั้นนั่นเอง
กระทั่ง องค์หลวงตามหาบัว มั่นใจในคุณธรรม ของหลวงปู่คำตันแล้ว จึงมอบหมายให้ หลวงปู่คำตัน ไปดูแลและฝึกอบรม พระกรรมฐาน ณ วัดป่าดานศรีสำราญ บ้านนางาม หมู่ที่ ๕ ตำบลศรีสำราญ อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๒ หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม ได้เดินธุดงค์ มาจากจังหวัดสกลนคร มาจำพรรษา แทนหลวงปู่องค์เดิม ต่อมาหลายปี จึงได้ตั้งนามวัดขึ้นชื่อว่า “วัดป่าดานศรีสาราญ” พร้อมสร้างแนวเขต หลักพุทธสีมา สร้างศาลาหลังใหญ่ และสร้างกำแพงล้อม เขตอภัยทานขึ้น มีจำนวนเขตสงฆ์ เนื้อที่ ๑,๔๐๓ ไร่ ๑ งาน ๕๒ ตารางวา โดยหลวงปู่คำตัน ซึ่งมีจริยวัตรงดงาม เป็นที่เคารพศรัทธาอย่างยิ่ง ของชาวอำเภอพรเจริญ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป
หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม ท่านมรณภาพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๐ เวลาประมาณ ๒๑.๓๐ น. ณ วัดป่าดานศรีสำราญ สิริอายุ ๙๒ ปี พรรษา ๔๔
หลังจากที่ หลวงปู่คำตัน ได้มรณภาพลง ทางคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติ จึงได้แต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่ขึ้นมาแทน และครองตำแหน่ง จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ พระอาจารย์ลัม ธรรมวุฒิโธ ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ของหลวงปู่คำตัน ที่ได้รับการเคารพนับถือ จากชาวอำเภอพรเจริญ และพุทธศาสนิกชนทั่วไปเช่นเดิม โดยวัดป่าดานศรีสาราญ นับเป็นวัดหลักวัดหนึ่ง ของอำเภอพรเจริญ ที่มีความผูกพัน กับชาวอำเภอพรเจริญ อย่างไม่เสื่อมคลาย
โอวาทธรรม หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม วัดป่าดานศรีสำราญ
“หมดแนวนี้หมด หมดเฮานี้ โลกอันนี้ มีแต่เรื่องสมมุติทั้งนั้นแหละ สู้พุทโธไม่ได้ดอก เฮาเฮ็ดแนวใด๋ ก็สู้อันนี้ บ่ได้ดอกในโลกนี้”
“อวิชชาเป็นเครื่องดองจิต จิตก็ชุ่มอยู่ด้วยเยื่อและยาง ก็เปรียบเหมือนกับฟืนที่สด เผาไฟไม่เกิดแสง จะมีแต่ควันเป็นเครื่องหมายแล้วลอยออกไปบนอากาศ สำคัญว่าเป็นของสูง สูงจริงแต่มันสูงอย่างควันไฟหรือขี้เมฆ ถ้ามีมากเข้าย่อมปิดตาตัวเองและคนอื่นมิให้เห็นแสงเดือน และแสงอาทิตย์ ที่เขาเรียกว่างมงาย..”