ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต
วัดป่าคูณคำวิปัสสนา
อ.กุดบาก จ.สกลนคร
◎ ชาติภูมิ
หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต นามเดิมชื่อ สุพัตร ไพคำนาม เกิดเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๑ บิดาชื่อ นายบุญทัน และมารดาชื่อ นางวอน ไพคำนาม การศึกษา ประถมการศึกษาปีที่ ๖
◎ อุปสมบท
หลวงปู่ขาว ได้เข้าอุปสมบท เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๐ ณ วัดสุมังคลาราม ต.พังข้วาง อ.เมือง จ.สกลนคร โดยมี พระราชวิมลมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการประสิทธิ์ จักกะธัมโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระบรรยง โรจโน เป็นพระอนุสาวนาจารย์
◎ ปาฏิหารย์ หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต
ปาฏิหารย์ด้านต่าง ๆ ของหลวงปู่ขาว ซึ่งได้รับการเปิดเผยจากลูกศิษย์ใกล้ชิด (อาจารย์พิทักษ์) เช่น การล่วงรู้ลางหน้าต่าง ๆ เช่นเวลาจะมีใครไปหาท่าน ๆ จะบอกให้ลูกศิษย์หรือพระเณรจัดเตรียมส่งของไว้ต้อนรับและบอก ว่าคนนั้น คนนี้จะมาหาท่านซึ่งเมื่อถึงเวลาก็มีผู้มาหาตามที่ท่านบอกทุกอย่างโดยไม่มีการนัดหมายมาก่อน
“มีอยู่ครั้งหนึ่งมีพระชรามาจากประเทศลาวตั้งใจจะมาสนทนาธรรมกับท่าน แต่เมื่อเข้าไปในกุฏิหลวงปู่ต่อหน้าหลวงปู่แล้ว กลับลุกขึ้นวิ่ง หนีออกจากกุฏดังกล่าว โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งต่อมาภายหลังได้สอบถามกับพระรูปนั้นจึงทราบว่าที่ท่าน ลูกขึ้นวิ่งหนี เนื่องจากเห็นงูใหญ่ ๒ ตัว เลื้อยออก มาจากใต้ธรรมมาส ซึ่งทําจากกระดูกช้างที่หลวงปู่ขาวนั่งอยู่ และตรงจะเข้าทําร้ายจึงเกิดความตกใจและวิ่งหนี ดังกล่าว โดยขณะนั้นมีชาวบ้านนั่งอยู่ หลายคน แต่ไม่มีผู้ใดมองเห็นงูที่ว่าแต่อย่างใด”
“สิ่งที่น่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อครั้งที่หลวงปู่ขาวเดินทางไปที่ประเทศลาว โดยตั้งใจจะไปเมืองๆ หนึ่งท่านได้เดินไปตามถนนตามธรรมดา ปรากฎว่ามีรถปิกอัพวิ่งมา โดยในรถคันนั้นจะมีพระภิกษุชรานั่งมาด้าย ๓ รูป ท่านจึงโบกขออาศัยรถไปด้วย เมื่อท่านขึ้นรถเรียบร้อยก็ออก เดินทางต่อไป แต่ไปได้ไม่ไกล เครื่องรถเกิดดับ ซึ่งหลังจากคนขับรถลงไปตราจสอบดูแล้วทราบว่าน้ำมันหมด และขณะนั้นได้มีเสียงกระซิบบอก ให้หลวงปู่ขาวลงไปใช้ไม้เท้าเคาะที่ถังน้ำมันรถ ๓ ครั้ง ซึ่งหลังจากท่านลงไปเคาะแล้วรถสตาร์ทติด และวิ่งจนถึงจุดหมายทั้งที่อยู่ห่างหลายสิบกิโลเมตร สร้างความฉงนจากพระชรา ๓ รูปเป็นอย่างมาก จึงมีการฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ขาว และเดินทางมาหาอยู่ไม่ขาด”
“อีกครั้งหนึ่งเร็ว ๆ นี้ เป็นช่วงการหาเสียง เลือกตั้งของ ส.ส.ทั่วประเทศ ตนได้นิมนต์หลวงปู่ขาว ไปฉันเพลที่บ้านของตนซึ่งในวันนั้นตนได้เชิญญาติ คือ นางมาลีรัตน์ แก้วก่า ผู้สมัครหญิงคนหนึ่งของสกลนคร ไปนมัสการหลวงปู่แต่ไม่ได้บอกให้หลวงปู่ทาบก่อนว่าเป็นผู้สมัคร ส.ส. ครั้นถึงเวลาญาติของตนก็เดินทางไปถึง เมื่อหลวงปู่ขาวมองเห็นจึงได้ทักว่าอีน้อยคนนี้มึงเอาที่ ๓ ก็พอนะ ซึ่งหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไป ปรากฏว่านางมาลีรัตน์ แก้วก่า ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.สกลนคร สมใจ และได้คะแนนมาเป็นอันดับ ๓ ตรงกับที่หลวงปู่ขาวทํานายไว้ สร้าง ความศรัทธาแก่ชาวบ้านจนมีการเหมารถกันมาหาหลวงปู่และชมวัตถุโบราณวันละกว่า ๕๐๐ คน
อาจารย์พิทักษ์ เปิดเผยอีกว่า ในช่วงนี้หลวงปู่กําลังให้ช่างวาดรูปเจ้าเกรียงไกร เจ้าเมืองลาวในอดีตคือตัวท่านหลวงปู่ขาวในชาตินี้ ขณะนี้ใกล้จะ เสร็จแล้ว ซึ่งหลวงปู่บอกว่าช่างวาดได้เหมือนมาก ส่วนรูปปั้นนั้นหลวงปู่ขาวจะให้ตนเป็นผู้สร้าง เนื่องจากเห็นว่าตนมีความสะอาดซื่อสัตย์ ซึ่งตนก็จะพยายาม ทําให้ได้เช่นกัน
สําหรับประวัติหลวงปู่ขาวนี้ อาจารย์พิทักษ์เปิดเผยว่า เมื่อครั้งที่ตน เป็นครูอยู่ที่ ร.ร.บ้านกลาง ต.กุดไห เด็กชายขาว ได้เป็นลูกศิษย์ของคนคนหนึ่ง ซึ่งขณะที่เรียนหนังสือนั้น ด.ช.ขาวเรียนหนังสืออ่อนมาก อ่านหนังสือก็แทบไม่ ออกเขียนหนังสือก็ไม่ได้ แต่ต่อมาเมื่อตนมาพบอีกทีเมื่อเป็นพระแล้วกลับอ่าน ออกเขียนได้คล่อง ซึ่งหลวงปู่เคยเล่าให้ฟังว่าได้นอนหลับและนิมิตว่าได้พบโยคีชราตนหนึ่ง และโยคตนนั้นได้ถามหลวงปู่ว่าอยากอ่านหนังสือได้เขียน หนังสือได้หรือไม่ ซึ่งหลวงปู่ก็ตอบว่าอยาก โยคีตนนั้นจึงได้เข้ามาเป่าที่ กระหม่อมหลวงปู่ ๓ ครั้ง หลังจากตื่นขึ้นจึงอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อย่างไรก็ตามวัตถุโบราณทุกชิ้นยังไม่ได้รับการตรวจสอบเพื่อขึ้นบัญชี จากกรมศิลปากร แต่อย่างไร ซึ่งหลวงปู่ขาวกล่าวว่า หากทางเจ้าหน้าที่ ต้องการจะมาดูเพื่อตรวจสอบก็ไม่ขัดข้อง
ประวัติ วัดป่าคูณคําฯ แต่เดิมประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๒ พระอาจารย์ทองคํา ได้ธุดงค์ผ่านมาเพื่อปฏิบัติธรรม บริเวณที่เป็นวัดขณะนี้เป็นที่ดินสงวน แต่ เมื่อพระอาจารย์ทองคําปฏิบัติธรรมได้ ๑ เดือนชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างกุฏิเพื่อให้อาจารย์ทองคําจําพรรษา หลังจากช่วงเข้าพรรษาผ่านไปพระอาจารย์ทองคํา จึงเดินธุดงค์ไปที่อื่นสถานที่แห่งนั้นจึงเป็นที่รกร้างต่อไป
ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๙๘ หลวงพ่อผัน ได้มาพักปฏิบัติธรรมประมาณ ๔-๕ เดือน แล้วก็ธุดงค์ต่อไป แต่ก็ยังมีพระธุดงค์อีกหลายรูปผ่านมาปฏิบัติธรรม ซึ่งก็ยัง ไม่มีพระรูปใดอยู่ตลอด
ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ หลวงพ่อซ้อนได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่ แต่เนื่องด้วยยังเป็นเณร จึงอยู่ได้ไม่นาน บริเวณนี้จึงต้องรกร้างอีกครั้ง
จนถึงปี พ.ศ.๒๕๒๘ หลวงพ่อเบี้ยว ฐานวิโร (อดีตประธานสงฆ์) ได้พิจารณาพื้นที่แห่งนี้ว่ามี ความสงบวิเวก เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จึงได้ชักชวนญาติโยมหลายคนมาช่วยกันตั้งเป็นสํานักสงฆ์ขึ้น สร้างกุฏิ ขยายออกไป ตรงกับวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๘ และได้ปฏิบัติธรรม ณ ที่นี่ตลอดมา
จนกระทั่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓ หลวงปู่ขาว หรือ พระอธิการสุพัตร์ พุทธรักขิโต ภายหลังจากธุดงค์ได้เดินทางกลับมายังบ้านเกิดของท่านและ ได้พิจารณาร่วมกับชาวบ้านกลางแล้วเห็นสมควร ที่จะพัฒนาสํานักสงฆ์แห่งนี้เพื่อเป็นวัดสืบต่อไป ต่อมาได้มีมติความเห็นชอบของคณะกรรมการมหา เถรสมาคมและกรมการศาสนาในสมัยนั้น (ปัจจุบัน กรมการศาสนาได้เปลี่ยนเป็นสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) ได้อนุญาตให้สํานักสงฆ์ป่าคูณคําวิปัสสนา ยกลําดับฐานะขึ้นเป็นวัดในวันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘
วัดป่าคูณคำวิปัสสนาแห่งนี้ถือเป็นวัดป่าที่มีความร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมายอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง
กุฏิของหลวงปู่ขาว อยู่ลึกเข้าไปในป่าใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ทางเดินเล็กๆ เทหล่อด้วยคอนกรีตลดเลี้ยว เลาะไปตามใต้โคนไม้
เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๗ หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าคูณคำวิปัสสนา สืบต่อมากระทั่งปัจจุบัน
◎ หลวงปู่ขาว ท่านไดเเล่าให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดร
หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต ท่านได้เมตตาเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ตัวท่านได้รับจากหลวงปู่เทพโลกอุดรให้ได้รับทราบว่า
“เรายอมจริงๆ ยอมรับท่านทุกอย่างยอมเป็นทาสรับใช้ท่านยอมสิโรราบ เพราะเราเคยเห็นสิ่งต่างๆ หลายอย่างจากท่านแต่ถ้าเราจะมายกให้เห็นเป็นหลักฐานขึ้นมาอ้างอิงเช่นคนอื่นๆ นั้นจนปัญญา เพราะไม่มีตัวตนในตอนที่ได้อยู่กับท่านด้วยกายเนื้อตลอด ๗ วัน แต่สำหรับทุกๆ วันพระท่านจะมาสอนประจำทางสมาธิจะอยู่ในทุกวันพระท่านก็จะมาสอนให้โอวาท อย่างงานล่าสุดที่ท่านให้บูรณะพระธาตุคูณคำ ในวัดมีอะไรจะปรึกษาท่านตลอดอย่างปรึกษาท่าน “ลูกจะสร้าง สิ่งนี้จะสำเร็จไหม”
ท่านหลวงปู่บรมครูจะบอกให้ทราบ..
“ลูกเอ๋ย ถ้าถามว่าการสร้างในพระพุทธศาสนานี่มันดีไหม? มันดี แต่ก็อย่างมงายแต่ให้สร้างเพราะสละความตระหนี่ สร้างเพื่อให้เป็นพุทธบูชา ถ้าจะสร้างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าการสร้างวัตถุเพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั้นมันผิดกับหลักธรรมคำสอนน่ะ พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมศาสดาของเราท่านไม่ได้สอนในเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช ท่านไม่ได้สอนให้ทำในเรื่องวัตถุมงคล แต่ถ้าเราทำ ก็ทำได้ แต่ว่าเราอย่าไปยึดติดกับมันเราทำไว้เพื่อประดับตาโลกแต่สิ่งนี้มิใช่แก่นของพระธรรม แต่พ่อก็ไม่ห้ามแต่ก็อย่าไปหลงงมงาย จนถอนตัวไม่ขึ้น วัตถุมงคลนั้นมันดีตรงกำลังใจ สมมติเรามีความท้อแท้ แต่จิตเรามีความเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายมันช่วยได้นั่นแหละคือตัวศรัทธา ความเชื่อมันเกิดเป็นฤทธิ์กระตุ้นจิตใจเขาให้ได้เกิดผลเมื่อผลที่มันเกิดขึ้นที่จิตใจเขาได้รับผลดังที่ใจเขาจึงเกิดความเชื่อ ศรัทธานับถือมีฤทธิ์มีเดช ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แท้ที่จริงแล้วมันเกิดจากจิตของเขามันไม่ได้เกิดจากวัตถุนั้นถ้าทำด้วยความเชื่อศรัทธามัน จึงจะเกิดเป็นฤทธิ์เป็นผล”
หลวงปู่ขาว จึงได้กราบเรียนท่านหลวงปู่เทพโลกอุดร “แล้ววัตถุมงคลที่พ่อสร้างไว้ล่ะมีไหม”
ท่านบอกให้ทราบ.. “ตั้งแต่พ่อบวชมาในสมัยครั้งท่านหลวงพ่อมหากัสสปะเถระ เป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐาน ท่านไม่เคยสอนเรื่องการสร้างวัตถุมงคล ท่านสอนเรื่องการปฏิบัติอย่างเดียวเน้นหนักมีแต่เรื่องธรรมะล้วนๆ เน้นการปฏิบัติล้วนๆ ไม่ได้สอนในเรื่องวัตถุมงคลแต่ที่เขาเล่าลือ กันว่าเป็นพระกรุหลวงพ่อแตกที่นั่นที่นี่สิ่งที่เขาพูดเขาอุปโลกน์ขึ้นมาเองพ่อไม่ได้ทำขึ้น แต่ที่ทำจริงๆคือกรุวังหน้า ๘๔,๐๐๐ องค์นั้น พ่อทำไว้จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างน่ะลูกเราจะทำอะไรก็ช่างขอให้ใจเรามีความศรัทธาเต็มร้อยเชื่อเต็มร้อย เมื่อเรามีความเชื่อศรัทธาเต็ม
ร้อยความสำเร็จนั้นไม่ได้อยู่ที่วัตถุมงคล แต่สำเร็จที่ใจเราเมื่อใจเราสำเร็จแล้ว ทุกอย่างมันต้องสำเร็จ เพราะทุกอย่างมันเกิดที่เหตุ เกิดขึ้นที่ใจ ถ้าเรามีความเชื่อขอให้เราตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีธรรมที่เราได้บำเพ็ญมาทุกภพทุกชาติบารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นพระบรมครูแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกนี้ เราขอแผ่บิณฑบาตเอากับเทวดาองค์นั้นกับเทวดาองค์นี้จงไปหาข้าทาส
บริวารที่เคยสร้างบารมีธรรมในพระพุทธศาสนาถ้าจะสร้างนั่น สร้างนี่ให้บอกวัตถุประสงค์เขาและขอบารมีเขาขอแผ่เมตตาบิณฑบาตให้ไปสะกิดจิตใจข้าทาสบริวารเนื้อนาบุญสาวกของพระพุทธเจ้า นั่นแหละใครมีศรัทธาก็ขอให้มารวมบารมีธรรมอธิษฐานเอา”
ที่มา : ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://kutbak.sakhonnakhon.police.go.th