วันอังคาร, 26 พฤศจิกายน 2567

พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป พระอริยสงฆ์ผู้มีปัญญาเปรียบดั่งดวงประทีป

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

วัดอรัญญญวิเวก (บ้านปง)
ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญญวิเวก (บ้านปง)
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญญวิเวก (บ้านปง)


พระอริยสงฆ์ผู้มีปัญญาเปรียบดั่งดวงประทีป

กว่าที่หลวงปู่เปลี่ยนท่านจะได้มาเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านต้องฝ่าฟันอะไรมามากมายนัก ไม่ใช่แค่ตอนบวชศึกษาธรรมกับพ่อแม่ครูอาจารย์หรือตอนเที่ยววิเวกออกธุดงค์เท่านั้น แต่สำหรับท่านยากเย็นตั้งแต่ก่อนจะได้บวชเป็นพระเลยทีเดียว จากประวัติของท่านมีบันทึกไว้ว่า

เมื่อวันพฤหัสบดี ปีระกา ตรงกับวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๖ ณ บ้านโคกคอน ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร คุณพ่อกิ่ง-คุณแม่อรดี วงษาจันทร์ ซึ่งประกอบอาชีพค้าขาย ได้ให้กำเนิดทารกน้อยเพศชายคนที่ ๓ ชื่อว่า เด็กชายเปลี่ยน วงษาจันทร์ และด้วยความคุณตาและคุณยายรักหลายชายคนนี้มาก เด็กชายเปลี่ยนจึงถูกรับตัวมาเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก

เส้นทางชีวิตของท่านที่ดูเหมือนจะถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องก้าวเข้าสู่พระพุทธศาสนานั้น เริ่มต้นตั้งแต่ในวัยเด็กช่วงอายุประมาณ ๑๑-๑๒ ปี เพราะคราวใดที่ทางบ้านของท่านมีงานบุญ เด็กชายเปลี่ยนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการไปรับพระที่วัด ทำให้เด็กชายเปลี่ยนได้เห็นวิธีการเดินจงกลมของพระอาจารย์ลี วัดป่าบ้านตาล รวมไปถึงหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ที่ได้เดินจงกรมให้ดูและสอนให้ท่านเดิน

หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ วัดป่าประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น
หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ วัดป่าประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น

ด้วยวาสนาบุญบารมีที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวนี้เอง ธรรมะจึงจัดสรรให้ท่านได้มีโอกาสคุ้นเคยและศึกษาธรรมะกับพระสงฆ์ที่บวชอยู่กับหลวงปู่พรหม จนท่านเกิดความศรัทธาคิดที่จะบวชอยู่ตลอดเวลา แต่ติดขัดปัญหาตรงที่บิดามารดาของท่าน ต้องการให้ท่านเป็นพ่อค้าซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว

อายุ ๑๕ ปี ท่านขออนุญาตมารดาท่านบวชเณรแต่ถูกปฏิเสธ อายุ ๑๘ ปี ท่านขออนุญาตบวชเณรอีกครั้ง แจ่ก็ถูกปฏิเสธเช่นเคย อายุ ๒๐ ปี ท่านขออนุญาตบวชพระก็ถูกปฏิเสธเช่นเคย อายุ ๒๒ ปี บิดาท่านเสียชีวิต ท่านจึงใช้เป็นเหตุผลขอบวชทดแทนคุณแต่มารดาท่านก็ปฏิเสธเสียงแข็งเช่นเคย พอท่านอายุ ๒๕ ปี คุณลุงของท่านได้เสียชีวิตลง ท่านจึงขออนุญาตมารดาเพื่อบวชอุทิศส่วนบุญให้กับผู้มีพระคุณทั้งสอง หลังจากเฝ้าเพียรพยายามขออนุญาตออกบวชอยู่นานหลายปี แสงสว่างปลายอุโมงค์ก็เริ่มปรากฏให้เห็นเมื่อท่านได้รับอนุญาตจากผู้เป็นมารดาให้บวชเพียง ๗ วัน เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๐๒ ณ วัดพระธาตุมีชัย ตำบลโคกสี อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยมีพระครูอดุลย์สังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า “ปัญญาปทีโป” แปลว่า “ผู้มีปัญญาเป็นดวงประทีปนำทาง”

ถ้าความต้องการของชีวิตคือการทำตามใจผู้ให้กำเนิดแล้ว พระอาจารย์เปลี่ยนในวันนี้ อาจเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ประกอบอาชีพทางการค้าตามความต้องการของบิดามารดา แต่เพราะความต้องการในชีวิตของท่านคือการละกิเลสออกไปให้หมด ซึ่งการที่จะละกิเลสออกไปให้หมดได้นั้นต้องอาศัยการเสียสละอย่างใหญ่หลวงรวมถึงการกระทำความเพียรที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย

ท่านเล่าว่าเมื่อได้บวช ชีวิตของท่านเหมือนติดปีกเบาสบายเพราะได้ปลดเปลื้องภาระความรับผิดชอบของครอบครัวที่ท่านต้องแบกรับมาตั้งแต่เด็กๆ เช่น การรับผิดชอบเงินทองของตนเองและผู้อื่น ความกังวลใจในกิจการค้าขายของครอบครัว การดูแลรักษาไร่นา ฯลฯ

อีกทั้งการเจริญสมาธิปฏิบัติภาวนาก็ทำให้ท่านมีความสุขเป็นอันมาก จนเมื่อครบกำหนด ๗ วัน ท่านจึงต่อรองกับมารดา ขออยู่ต่อให้ครบพรรษา ซึ่งการต่อรองของท่านที่ขอบวชต่อนี้ได้สร้างความผิดหวังให้กับมารดาของท่านมาก

ท่านว่าในขณะที่ใครบางคนคิดว่าการเจริญเติบโตในพระพุทธศาสนาของท่านถูกรดด้วยน้ำตาของผู้เป็นมารดา หากแต่สำหรับท่านแล้ว น้ำตาของผู้เป็นมารดากับเป็นดั่งกำลังใจให้ท่านได้เพียรพยายามเจริญภาวนา พร้อมกับระลึกถึงพระคุณของบิดามารดา ระลึกถึงคุณงามความดีที่ได้เลี้ยงดูให้ท่านได้เติบโตจนสามารถค้นพบหนทางแห่งการล่วงพ้นจากความทุกข์

“พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า วิริเย ทุกขมัจเจติ คนจะก้าวล่วงทุกข์ไปได้เพราะความพากเพียร การจะมีความเพียรอยู่ตลอดต้องมีอิทธิบาท ๔ เป็นหลัก

คือ ฉันทะ ความพอใจ วิริยะ ความพากเพียร จิตตะ ความเอาใจฝักใฝ่ และวิมังสาคือการตรึกตรองดูเหตุผลในการปฏิบัติของตนให้ถูกต้อง”

ท่านเล่าว่าในระหว่างที่ปฏิบัติธรรมนั้น ท่านไม่เคยมีความสงสัยใดๆ ภายในจิตใจเลย เพราะท่านนึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงบรรดาพระสาวกทั้งหลาย ซึ่งเป็นการระลึกนึกถึงในแง่มุมที่ว่าเมื่อพวกท่านเหล่านั้นปฏิบัติแล้วได้บรรลุถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ ท่านว่าท่านได้ยึดเอาเรื่องนี้มาเป็นกำลังใจ มาเป็นเครื่องวัดใจตัวของท่านเองตลอดเวลา

“ครูบาอาจารย์บางองค์ท่านบวชมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนแก่อายุเข้าไปตั้ง ๗๐-๘๐ ปี ท่านก็ยังอยู่ได้ ท่านต้องมีของดีแน่ๆ ผู้หญิงบางคนต้องเสียสละทิ้งลูกทิ้งสามีออกมาบำเพ็ญมาบวชจนแก่ เขาก็ต้องมีที่พึ่งของเขา เขามีธรรมะเป็นเครื่องอยู่ของเขา นั่นแหละเราเอาอันนั้นมาวัด เอามาเป็นกำลังใจ เอามาเป็นเครื่องมืออุ้มชูจิตใจของเรา

มันจะทำให้เราไม่ท้อแท้ ถ้ามัวแต่คิดว่าไม่ไหว ยึดติดบารมีเก่าก็คงจะไม่ไหวเช่นกัน เพราะเรื่องของบารมีเก่ามันก็มีติดตัวกันมาทุกคน เพียงแต่ว่ามันมีมากมีน้อยต่างกัน ที่พวกโยมมาวัดมานั่งกันอยู่ตรงนี้ก็มีเงินมาทุกคนนั้นแหละ แต่ถามหน่อยว่ามีมาเท่ากันไหม”

อย่างไรก็ตามถึงแม้วาสนาโชคชะตาจะนำพาให้ท่านบวชได้สำเร็จ แต่เส้นทางแห่งการแสวงหาของท่านก็ยังมิได้สิ้นสุด เพราะความละเอียดอ่อนในเรื่องของธรรม เรื่องของการปฏิบัติ ยังคงเป็นสิ่งที่ท่านปรารถนาอยู่ทุกลมหายใจ

ด้วยเหตุผลนี้เองท่านจึงได้หันหลังให้กับเรื่องราวทางโลกและตัดสินใจสะพายบาตรแบกกลดและอัฐบริขารที่จำเป็นออกเดินธุดงค์ ข้อหนึ่งเพื่อแสวงหาสถานที่สงบเพื่อปฏิบัติกรรมฐาน และอีกข้อหนึ่งคือเป็นการแสวงหาพ่อแม่ครูอาจารย์ดีๆ

พระอาจารย์เปลี่ยนท่านได้ออกเดินธุดงค์ไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่อแสวงหาโมกขธรรม ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ล้วนแล้วแต่เคยเป็นเส้นทางเดินธุดงค์ของท่านมาแล้วทั้งนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านอยู่ฝึกปฏิบัติและอยู่รับใช้อย่างใกล้ชิดก็เช่น หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม หลวงปู่แหวนสุจิณโณ เป็นต้น

สำหรับพ่อแม่ครูอาจารย์องค์อื่นที่พระอาจารย์เปลี่ยนได้เดินทางไปพบและขอคำแนะนำ ก็ล้วนแล้วแต่ให้ความเมตตาและช่วยสั่งสอนอบรมจนท่านมีความก้าวหน้าในการปฏฺบัติธรรมยิ่งขึ้นก็มีเช่น พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอาจารย์วัน อุตตโม ฯลฯ

ซึ่งการได้พบกับพ่อแม่ครูอาจารย์เหล่านั้นบางองค์ก็พบเจอง่าย บางองค์กว่าจะพบก็ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมาก เพราะปฏิปทาและวัฒนธรรมของการเป็นพระป่าที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลาและไม่ยึดติดกับสิ่งใด อย่างเช่นกรณีของพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ท่านเล่าว่า

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

ในช่วงนั้นท่านได้ยินกิตติศัพท์ของท่านพระอาจารย์จวน ว่าเป็นพระที่เคร่งครัด ปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจังและมีปฏิปทาที่ค่อนข้างผาดโผน เมื่อทราบว่าพระอาจารย์จวนอยู่ที่ดงหม้อทอง ท่านจึงได้เริ่งรีบออกเดินบุกป่าทึบที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายต่างๆ จนถึงดงหม้อทอง แต่อนิจจาที่พระอาจารย์จวนท่านได้ออกเดินธุดงค์ไปยังที่อื่นแล้ว

พระอาจารย์จวน กุลเชฏโร
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

ต่อมาทราบว่าพระอาจารย์จวนอยู่ที่บ้านดงขี้เหล็ก ท่านก็รีบออกเดินทางแต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง

ครั้งแรกไม่พบ
ครั้งที่สองก็คลาด
จนถึงครั้งที่สามนี้ไม่พลาด เพราะในที่สุดท่านก็ได้พบกับพระอาจารย์จวน สมตามความตั้งใจ ณ ถ้ำจันทร์

ท่านเล่าว่าได้พบพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ กำลังปฏิบัติธรรมอยู่บนต้นไม้ในเหวลึก ท่านว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นไม้ที่ขึ้นมาจากก้นเหวข้างล่างและสูงจนเลยสันเขา

พระอาจารย์จวนท่านได้ใช้ไม้สองแผ่นพาดไปที่ต้นไม้ โดยองค์ท่านได้ไปนั่งและนอนเพื่อปฏิบัติธรรมอยู่ตรงกิ่งไม้ที่ได้พาดไว้ เมื่อพระอาจารย์จวนทราบความประสงค์ของท่าน ท่านจึงได้พูดธรรมะให้ฟังสั้นๆ ว่า

“เธอนี้มันติดสมมุติ ต้องเปลี่ยนสมมุติให้รู้ ข้ามสมมุติให้ได้”

ท่านว่าเมื่อได้รับฟังธรรมะจากพระอาจารย์จวนแล้ว ถึงมันจะเป็นธรรมะที่แสนจะสั้นแต่มันก็คุ้มค่ากับความเหนื่อยยากที่ได้ตรากตรำฟันฝ่าเอาชีวิตเข้าแลกเพียงเพื่อขอให้ได้พบพระอาจารย์จวน

“บวชแล้วก็ต้องมุ่งมั่นปฏิบัติอย่างจริงจัง สิ่งแรกที่ควรมีคือความศรัทธา เพราะศรัทธาคือหนทางนำไปสู่การปฏิบัติ แต่ศรัทธาควรอยู่ในความพอดีเพราะถ้ามีมากไปปัญญามันจะไม่เกิด”

ท่านเล่าว่าท่านได้เคยถามหลวงปู่เทสก์ในเรื่องของการนั่งสมาธิว่าเวลาที่ท่านนั่งสมาธิจิตของท่านจะดิ่งลงลึกโดยที่ตัวท่านเองก็ไม่ทราบว่าจิตอยู่ที่ไหน

หลวงปู่เทสก์จึงได้ชี้แจงว่า อาการเช่นนี้เขาเรียกว่า “นิพพานพรหม” เป็นอาการที่จิตดับจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียง ไม่รับรู้อะไรจากภายนอก ถ้าไม่แก้ไขผู้นั้นก็จะคิดว่าตนเองได้พบพระนิพพานและจะไปไหนไม่รอด

โดย หลวงปู่เทสก์ ได้ยกตัวอย่างกรณีของ หลวงปู่ขาว อนาลโย ที่นั่งสมาธิตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๖ โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น พอน้ำค้างจับร่างของท่านจนเปียกชุ่มท่านจึงรู้สึกตัวและออกจากสมาธิ หลวงปู่ขาวเองท่านก็ไม่ทราบว่าจิตของท่านไปอยู่ที่ไหน จึงได้ไปถามหลวงปู่มั่นและท่านก็ได้รับคำตอบสั้นๆ นิดเดียวเช่นกันว่า.. “ให้ไปตั้งต้นใหม่ ติดตามดูจิตตั้งแต่เริ่มเข้าสมาธิ ใช้สติปัญญาตามดูจิตให้ดีว่า วางอารมณ์อะไรจึงดับเสียงไปหมด ให้ดูว่าจิตไปอยู่ที่ไหนต้องตามให้รู้”

ท่านว่า “นี่แหละที่เขาเรียกว่าศรัทธาต้องอยู่คู่กับปัญญา”

“พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าไม่ให้พวกเราตั้งอยู่ในความประมาทของชีวิต ถึงเราจะเป็นคนหนุ่มก็ตาม คนแก่ก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างหรือธรรมะทั้งหลายรวบรวมลงไปในความไม่ประมาท ก็คือเมื่อคนไม่ประมาทในชีวิตของตน ไม่ประมาทในวัยของตน บุคคลนั้นย่อมปฏิบัติคุณงามความดีได้อย่างเต็มที่ การตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ก็คือ ตั้งอยู่ในความดีตลอด ไม่คิดทำความชั่ว คนนั้นแหละจะเป็นคนที่เจริญที่สุด แม้แต่จะเป็นพระ องค์ไหนไม่ประมาท องค์นั้นก็จะบรรลุธรรมก่อนเพื่อน คนเราจะพ้นทุกข์ได้ก็เพราะความไม่ประมาท”

ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป หนึ่งในพระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้เกิดมาเพื่อกำจัดและละกิเลสให้ออกไปจากจิตใจ

ความมุ่งมั่นและปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อให้ตนเองได้บรรลุถึงธรรมตามที่ตั้งใจนั้นท่านมิได้มุ่งหวังเพียงเพื่อตัวของท่านเองเพียงลำพัง

ท่านว่าการช่วยให้ทุกคนมีสติ เข้าใจในธรรม รู้เท่าทันในทุกข์ก็เป็นหนึ่งในความปรารถนาของท่านอีกเช่นกัน เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่ที่เราจะปฏิบัติกับตัวเราเองอย่างไรและจะพากเพียรกันขนาดไหน

ในส่วนของวัดอรัญญวิเวก บ้านปง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ สถานที่พระอาจารย์เปลี่ยน พำนักจำพรรษาอยู่นั้น จัดว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญแห่งหนึ่งของพระป่ากรรมฐานครับ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เคยมีพระอริยสงฆ์หลายองค์เข้าพักจำพรรษา อีกทั้งชื่อของวัดก็เป็นชื่อที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรมเป็นผู้ตั้งให้ครับ

มีบันทึกไว้ว่าวัดนี้แต่เดิมเป็นสำนักสงฆ์เก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่อดีต การจัดสร้างสำนักสงฆ์ในช่วงนั้นเป็นการรวมตัวของชาวบ้านในตำบลบ้านปงที่มีจิตใจเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาและมีความคิดเห็นตรงกันว่า จะต้องนิมนต์ครูบาอาจารย์กรรมฐานที่มีคุณธรรมสูงให้เข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้ทำบุญและมีโอกาสฟังธรรมในคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ต่อมาชาวบ้านไปได้ยินข่าวมาว่ามีพระกรรมฐานมาพักอยู่ที่วัดเงี้ยว อำเภอแม่แตง จึงได้พากันเดินทางมายังวัดเงี้ยวเพื่อกราบขออาราธนานิมนต์มาพักจำพรรษา และก็คงเป็นด้วยบุญบารมีครับเพราะพระกรรมฐานกลุ่มนั้นมีหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเป็นพระผู้นำ เมื่อหลวงปู่มั่นทราบความประสงค์ของชาวบ้านปงท่านก็ไม่ได้ขัดข้องแต่ประการใด ท่านได้ตกลงรับนิมนต์และออกเดินทางพร้อมคณะศิษย์จากวัดเงี้ยวมายังบ้านปงทันที

หลังจากที่หลวงปู่มั่น จำพรรษา ณ สถานที่แห่งนี้และได้อบรมสั่งสอนธรรมะแก่ญาติโยมพอสมควรแก่เวลาแล้ว ท่านจึงได้บอกลาญาติโยมเพื่อไปหาสถานที่บำเพ็ญเพียรในที่อื่นต่อไป โดยก่อนจะลาจากท่านได้ฝากฝังให้ชาวบ้านช่วยกันดูแลรักษาสถานที่แห่งนี้เพราะในอนาคตข้างหน้าจะมีเจ้าของเดิมเข้ามาพัฒนาดูแลสถานที่แห่งนี้ให้มีความเจริญรุ่งเรือง โดยท่านได้ตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า…
สำนักสงฆ์อรัญญวิเวกบ้านปง

วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง) แม่แตง เชียงใหม่

นิมิตหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ มาหาที่บ้านปง
สมัยที่พระอาจารย์เปลี่ยน ได้มาวิเวกอยู่ปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์อรัญญวิเวกบ้านปงนั้น หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้เมตตามาหาท่านในนิมิต หลวงปู่แหวนท่านห่มผ้าแบบเฉวียงบ่า คลุมสังฆาฏิเรียบร้อย มายืนตรงบันไดกุฏิที่พัก หลวงปู่แหวนท่านสอนว่า

“ให้เร่งภาวนาให้ถึงนิพพานในภพนี้ให้ได้ ขณะนี้ยังภาวนาไม่ดี ให้ภาวนาไปเรื่อยๆ”

“ธรรมดาการเจริญภาวนาของคนเรา ถ้ายังมีทิฐิมานะแข็งกระด้างอยู่ การภาวนาก็ไม่สามารถทำให้สงบได้ง่ายๆ เพราะจิตใจแข็งกระด้าง”

ในขณะนั้นพระอาจารย์เปลี่ยนกำลังสร้างวิหารหลังเก่าอยู่หลวงปู่แหวนจึงเตือนท่านว่า

“ควรหยุดก่อสร้างสิ่งต่างๆ สิ่งที่ควรจะสร้างคือ จิตใจของเราเพื่อความหลุดพ้น ไม่ต้องทำอะไรหรอกอยู่บ้านปง เพราะเป็นบ้านปลง ไม่ใช่บ้านโป่ง ท่าบ้านโป่งมันก็สะดวกสบาย บ้านปงต้องทำให้เหมือนกับว่าอยากจะปลงมันทิ้งเพราะเราตกอยู่ที่ลำบากที่ทุกข์ ไม่มีใครที่อยู่ได้ มีแต่เราสองคนเท่านั้นที่อยู่ “

หลวงปู่ถามท่านว่าจะอยู่บ้านปงนานเท่าใด

ท่านตอบว่า “จะมีลูกศิษย์หลวงปู่ต้องอยู่ให้ได้ อย่างน้อยที่สุดก็เท่าหลวงปู่อยู่ คือ ๑๑ พรรษา”

ในนิมิต หลวงปู่แหวนประสงค์จะให้พระอาจารย์เปลี่ยนมีความอดทน จะได้เร่งความเพียรมากขึ้น

ต่อมาพระอาจารย์เปลี่ยน ได้นิมิตแม่บัวคำและหลวงปู่แหวนอีก ในนิมิตแม่บัวคำ เคยเป็นลูกสาวคนเล็กของหลวงปู่ และพระอาจารย์เปลี่ยน เคยเป็นหลานหลวงปู่แหวน ดังนั้นหลวงปู่แหวนจึงมีเมตตาต่อท่านเสมอ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณได้ชวนท่านให้ไปอยู่ดอยแม่ปั๋ง แต่พระอาจารย์เปลี่ยนขออยู่ที่บ้านปงก่อน

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญญวิเวก (บ้านปง)
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญญวิเวก (บ้านปง)

การปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ท่านได้เดินทางกลับไปที่วัดดอยแม่ปั๋งอีก เพื่อปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่แหวนโดยเฉพาะ

เมื่อหลวงปู่แหวน เดินจงกรม หรือนั่งทำความเพียรแล้ว พระอาจารย์เปลี่ยนจะต้องทำบ้าง บางครั้งหลวงปู่นอนสูบบุหรี่ซักพัก พระอาจารย์เปลี่ยนก็จะออกไปเดินจงกรม พระอาจารย์เปลี่ยนพบว่า หลวงปู่แหวนคอยควบคุมท่านอยู่ตลอดเวลา ขณะนั่งสมาธิจะเห็นหลวงปู่มายืนคุมอย่างน้อย ๓๐ นาที เป็นการฝึกสติอย่างดี เมื่อท่านเผลอไปคิดเรื่องอื่น หรือเรื่องซ่อมแซมวัตถุ สลักหักพังให้ดี หลวงปู่แหวนจะเดินไปตักเตือนทันที ถ้าเป็นเรื่องการเผลอสติ หลวงปู่แหวนจะแนะนำ ถ้าเป็นเรื่องการก่อสร้าง ซ่อมแซม บางครั้งจะไม่ยอมให้ทำ ถ้าไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ หลวงปู่จะเร่งรัดให้รีบรีบทำ แล้วให้ไปภาวนา

ขณะใดก็ตามที่หลวงปู่แหวนเดินจงกรมอยู่ หากเห็นพระอาจารย์เปลี่ยนแล้ว หลวงปู่มีเรื่องจะเทศน์สั่งสอน ท่านจะเดินจงกรมมาหาเพื่อจะเทศน์ให้ฟัง พระอาจารย์เปลี่ยนจะนั่งลงคอย เป็นการเทศน์ให้ฟังองค์เดียวเท่านั้น

หลวงปู่แหวนเทศน์และตักเตือนท่าน

“ปฏิบัติให้ดีได้มาอยู่ในที่สงบสงัดและมาปฏิบัติธรรมด้วยกัน ให้พยายามให้มากไม่ต้องไปคิดสงสัยอะไร มรรค ผล นิพพาน ยังมีอยู่เต็มบริบูรณ์ ให้รีบตั้งใจทำให้ถึงจุดหมายปลายทาง ให้มันขยันเดินจงกรม และนั่งภาวนา อย่าเห็นแก่นอน ให้นึกถึงความตายบ่อยๆ แล้วใจจะนึกอยากทำความเพียร อยากจะเดินจงกรม อยากจะนั่งปฏิบัติธรรม เมื่อมาอยู่ด้วยกันก็อย่าคิดไปสร้างอะไร ให้สร้างแต่ความเพียร”

เมื่อหลวงปู่แหวนเทศน์จบก็จะมองซ้ายมองขวา พระอาจารย์เปลี่ยนก็จะกราบแล้วหลวงปู่แหวนก็เดินกลับไป

บางครั้งหลวงปู่แหวนท่านพักการปฏิบัติธรรม ก็จะสอนพระอาจารย์เปลี่ยน ให้พิจารณาธรรม

“ท่านจะต้องพิจารณาดูที่ตัวท่าน กายของท่าน ให้พิจารณาร่างกาย เมื่อตายไป ธาตุลมก็หายไป ธาตุไฟก็หายไป ธาตุดินเมื่อเผามากๆ เข้าก็กลายเป็นฝุ่น ในที่สุดก็หายไปอีกเช่นกัน ร่างกายของเราก็ตกอยู่ในห้วงของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็น้อมจิตของเราเข้ามา โอปะนะยิโก น้อมธรรมเข้ามาที่ตัวเอง

มาดูร่างกายเสร็จแล้ว ให้ใช้ปัญญาพิจารณาดูจิต ดูอารมณ์ ที่มีเกิด-ดับ เกิด-ดับ ดูอารมณ์นี้ออกไป อารมณ์นั้นเกิดขึ้น ดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นอารมณ์ทุกข์ ทั้งเกิดทั้งดับ ให้รู้ว่ามีอารมณ์โทสะเกิดขึ้นภายในจิต สังเกตให้ถูกให้ดี เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เราจะต้องกำจัดมันไม่กำจัดไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นทุกข์ เมื่อกำจัดอารมณ์กันกลางๆ มันมี มันเป็น เวทนา ไม่ทุกข์ ไม่สุข มันเป็นเวทนา อารมณ์สุขเกิดขึ้น อารมณ์ทุกข์นั้นหายไป เมื่อรับอารมณ์สุข เราอยากได้อารมณ์ที่เป็นสุข แต่เพราะว่าอารมณ์สุขมันไม่เที่ยง ถ้าท่านไปยึดไปประคองมัน ก็ทำให้ท่านมีความทุกข์ เดี๋ยวก็จะทำลายความปรารถนาของเรา ที่พยายามประคับประคองความสุข อารมณ์สุขมันก็เลยหายไปอีก

อารมณ์ทุกข์-สุขนี้ มันอยู่ในไตรลักษณ์เหมือนกัน ฉันต้องพิจารณาอย่างที่อธิบายมา พิจารณาจริงๆ เพราะเหตุนี้ท่านจึงไม่ควรที่จะไปก่อสร้างเกี่ยวกับสิ่งภายนอก ทำตัวเราให้ดีเสียก่อน เมื่อเราปฏิบัติดีแล้ว ญาติโยมมาทำบุญ ก็จะได้บุญมาก ทำตัวเราให้ดีนั้นเป็นทอง ส่วนสิ่งที่ก่อสร้างนั้นมันเป็นผง ผลพลอยได้อย่างอื่นงั้นมาเอง”

เมื่อหลวงปู่แหวนเทศน์เสร็จ พระอาจารย์เปลี่ยนก็ลาท่านลงมาพิจารณาตามที่หลวงปู่แหวนแนะนำ เมื่อพิจารณาดู วัดดอยแม่ปั๋งมันก็ไม่มีวัด มันเป็นสมมุติ ทำให้พระอาจารย์เปลี่ยนมีปิติ มีความสุขเกิดมากขึ้น มองดูสิ่งรอบๆ ตัว ดูพระที่อยู่ในวัด ใครจะปฏิบัติธรรมหรือไม่ ไม่สนใจ ตัวท่านจึงเลยไปที่กุฏิและนั่งพิจารณา จิตที่เคยเบื่ออยู่แล้วก็ยิ่งเบื่อมากขึ้นไปอีก

ครั้นพิจารณาไตรลักษณ์ของหลวงปู่ก็พอใจในธรรมะของท่าน นึกรักท่านที่อุตส่าห์เทศธรรมะที่พระอาจารย์เปลี่ยนพอใจให้ฟัง เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็กลับได้ความคิด เกิดปัญญาขึ้นมาว่า ไปนึกลักษณ์หลวงปู่ได้อย่างไร เดี๋ยวหลวงปู่ก็จะต้องจากไป ตัวเราเองก็จะต้องตาย ก็ต้องทิ้งกันไปอีก การพิจารณาเช่นนี้มีขึ้นเรื่อยๆ ขณะอยู่วัดกับหลวงปู่แหวนที่ดอยแม่ปั๋ง

นางฟ้ามาหาพระอาจารย์เปลี่ยนที่ดอยช้าง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

พระอาจารย์เปลี่ยนได้ธุดงค์ไปอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน กับพระอาจารย์ทิวา อาภากโร และสามเณรอีกองค์หนึ่ง ได้ขึ้นไปบนเขาลูกหนึ่งชื่อ ดอยช้าง และปักกลดอยู่ห่างกันประมาณ ๑ กิโลเมตร มีนางฟ้าองค์หนึ่ง มาหาพระอาจารย์เปลี่ยนในนิมิต ขอร้องให้พระอาจารย์เปลี่ยน ไปตักเตือนเพื่อนหญิงของเธอ ชื่อบังอร ซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ เปิดร้านเสริมสวยอยู่ที่ตัวเมือง จังหวัดอยุธยา และท่านได้พบบุคคลดังกล่าวจริง ท่านจึงตักเตือนเขาให้ทำแต่ความดี ตามที่นางฟ้าบอกในนิมิต

พระอาจารย์เปลี่ยนได้ตรวจดูความเกี่ยวข้องกับนางฟ้า และเพื่อนที่ชื่อบังอร ได้ความว่าในชาติที่ ๓ พระอาจารย์เปลี่ยนเกิดที่บริเวณวัดอรุณราชวราราม ธนบุรี และไปบวชที่จังหวัดอยุธยา นางฟ้าและเพื่อนของเธอมาถวายอาหารท่านเป็นประจำ ในชาติปัจจุบัน เมื่อบังอรลงมาเกิดที่จังหวัดอยุธยาแล้วนางฟ้าจึงได้ไปขอให้พระอาจารย์เปลี่ยนไปดูเพื่อนของเธอ

พระอาจารย์เปลี่ยน ตรวจดูวิญญาณ
สมัยที่พระอาจารย์เปลี่ยน อยู่ที่วัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย ท่านได้รับกิจนิมนต์ให้ไปเทศน์ ท่านได้เทศน์เรื่องการทำบุญทำทานเป็นที่ถูกใจของชาวบ้าน จึงเท่ากับสร้างความศรัทธาให้มีการทำบุญตักบาตร ถวายทานมากขึ้น

วันหนึ่งได้รับนิมนต์ ไปงานศพครูผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงแก่กรรมด้วยโรคปัจจุบัน พ่อของครูผู้หญิงคนนี้เป็นครูใหญ่อยู่โรงเรียนเดียวกัน จึงยกหลานสาวซึ่งเป็นลูกของครูที่ตายให้ ซึ่งท่านรับไม่ได้ ท่านจึงผูกข้อมือเด็กโดยใช้คาถาที่ได้จากหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมเป็นครั้งแรก

เมื่อพิจารณาดูการตายของครูผู้หญิงพบว่า สามีของครูไปซื้อควาย และมีเรื่องกับผู้ที่ไปซื้อแข่งกัน ฝ่ายคู่แข่งจึงปล่อยของมาทำจะทำสามี แต่ไปโดนภรรยาเสียชีวิต พระอาจารย์เปลี่ยนรู้ตัวเพราะคนทำก็ไปงานศพ แต่ท่านไม่ได้บอกใคร เพราะต้องการให้เรื่องยุติ จะได้ไม่เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน

นอกจากนั้นได้ตรวจดูรู้ว่าครูผู้หญิงไปดี แต่ฉันก็ทำบุญเพิ่มให้อีก โดยถวายของที่ท่านได้รับขณะอยู่ที่วัดกับหลวงปู่คำดี ปภาโส แล้วอุทิศบุญกุศลทั้งหมดให้ครูผู้หญิงคนนั้น

พระอาจารย์เปลี่ยน ตรวจดูนิมิต บุพกรรม ที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อกลับจากอีสานแล้ว พระอาจารย์เปลี่ยนท่านได้เดินทางไป อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ตามนิมิตที่ได้เห็นขณะภาวนาอยู่ในพรรษา มีชาวบ้านซึ่งย้ายจากดอยสะเก็ดและมาช่วยสร้างวัดอรัญญวิเวก บ้านปง ร่วมเดินทางไปด้วย ท่านเดินทางโดยรถยนต์ เมื่อไปถึงแล้วก็เห็นสิ่งต่างๆ เหมือนกับในนิมิตทุกประการ มีก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งในอดีตชาติที่ท่านอยู่อำเภอดอยสะเก็ด ท่านจะมาปฏิบัติธรรมบริเวณก้อนหินก้อนนั้น

ต่อจากนั้นท่านได้เดินทางไปวัดหนองบัว และได้เห็นสิ่งก่อสร้างตรงกับในนิมิตทุกอย่าง แต่สิ่งก่อสร้างในอดีตชาตินั้นไม่มีเหลือให้ดู เนื่องจากชาติที่ท่านเกิดอยู่อำเภอดอยสะเก็ดนั้นนานมากแล้ว ขณะที่เข้าไปในวัดหนองบัว ได้พบสุนัข ๕ ตัว วิ่งเข้ามาหาพร้อมทั้งเลียแข้งเลียขา แสดงความสนิทสนม ผิดกับสุนัขอื่นๆ ที่จะต้องเห่าก่อนเมื่อเห็นคนแปลกหน้า เมื่อท่านจะกลับขึ้นรถ สุนัขทั้ง ๕ ตัว พยายามจะขึ้นรถตามกลับมาด้วย

ภายหลังท่านได้ตรวจดูบุพกรรมของสุนัขทั้ง ๕ ตัว ก็ทราบว่าในอดีตชาติ เมื่อครั้งที่ท่านบวชเป็นพระ สุนัขทั้ง ๕ ตัว เป็นลูกศิษย์วัดและขโมยของวัดกิน เมื่อตายไปได้ใช้กรรมในนรก หลังจากนั้นจึงมาเกิดเป็นสุนัขเพื่อใช้เศษกรรม

ในหมู่บ้านที่อำเภอดอยสะเก็ด ท่านได้พบผู้หญิงผู้หนึ่งต้อนรับท่านด้วยความสนิทสนม ผู้หญิงผู้นี้เคยเป็นผู้สาวท่านในอดีตชาติ และอยู่บ้านพี่ชายในอดีตชาติ แต่ได้เสียชีวิตไปก่อนแล้ว ท่านได้พบลูกของท่านกลับมาเกิดแล้ว แต่ไม่พบผู้เคยเป็นภรรยาท่านก่อนที่จะบวชในอดีตชาติ

อาการเจ็บป่วยเกิดจากกรรมในอดีตชาติ
(บทสนทนาของหลวงปู่เปลี่ยน กับหลวงปู่สนธิ์ อนาลโย เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ถอดเทปโดยเพจ บูชาธรรม พ่อแม่ครูอาจารย์ กราบขออนุญาตคัดลอกมาครับ)

ผมก็อยากจะพูดเรื่องเกี่ยวกับระบบของผม พูดอย่างง่ายๆ ว่า ผมรู้ตัวมานานแต่ไม่ได้บอกใคร ไม่บอกลูกศิษย์ลูกหา ไม่ได้บอก รู้มาก่อนเกือบ ๕๐ ปีละ บัดนี้มาเป็นโรคคล้ายๆว่าโรคที่เป็นนักเทศน์ เทศน์ซ้ำอีกมันก็เลยรบกับข้าศึกอย่างหนัก ไม่รู้ว่าใครแพ้ใครชนะทุกวันนี้ มันได้แต่ทิ่มเข้ามาทุกอย่างแล้ววันนี้ ก็ให้รู้แต่ว่าทุกวันนี้เราอยู่ในอารมณ์ไหน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาที่ผ่าตัดเป็นเรื่องของกรรม มันเห็นหมด กรรมที่สร้างไว้ มันฟ้องออกมาหมดเห็นเป็นภาพเลย โอ..เราทำบาปอันนี้ไว้เอง เราจึงต้องมารับผลของกรรม ก็เลยมั่นใจว่า นิมิตในการเห็นที่มันถูกต้อง ไม่ใช่เป็นฝัน ผู้ที่ปฏิบัติจะรู้ได้ดี หลับตาก็เห็นนิมิตแล้วมันก็เป็นจริงๆ เหมือนใครจะมาหานี้ เรานั่งสมาธิหรือนอนสมาธิอยู่ ก็จะเห็น เหมือนคณบดีไปอยู่ประเทศนอกท่านคิดถึงเรา ท่านมาอยู่กับเรา มองลงไป(จากเตียง)เอ้านั่งอยู่ตรงนี้ เห็นได้ชัดเจนเลย เหมือนที่หลวงปู่แหวนสอน เอาไว้ดูเล่น อันนี้เป็นเรื่องของกรรมตนเอง เห็นของตนเอง อย่างเช่นหัวเข่านี้ ที่มันปวด มันเคยเอาค้อนไปเคาะหัวเข่าควาย มันออกมาอย่างนี้เลยชัดเจน มันไม่หายมันผูกเวร เขาผูกเวรกับอาตมา เหมือนเราเป็นหนี้มันไม่หายมันทวงไม่หยุด เดี๋ยวก็ทวงอีก ถ้ามีคนอื่นมาแก้ให้มาจ่ายหนี้ให้ ก็หมดหนี้ก็สบาย

กรรมเก่าหายไป กรรมใหม่ก็มาอีก ผมผ่าตัดที่เส้นขมับนี้ อันนี้อุ้มไก่ไปตี ไก่มันโดน เตะเลือดสาด มันร้อง เราก็เลยได้ไปผ่าตัดตอบมัน เป็นกรรมที่ได้ทำเอาไว้ เห็นเลย เห็นเป็นภาพที่เราอุ้มไก่ไปชนตอนอายุ ๑๑ ขวบ ก็ดีที่มันมาตามทันเอาในชาตินี้ ชาติอื่นมันจะได้ไม่แย่งกัน หัวเข่านี้ก็ชาตินี้ ที่ผ่าตัดนี้เป็น ๑๗ ชาติผ่านมาแล้ว มันตามมาเอาในชาตินี้ สมัยก่อน มีไก่ป่าใช่ไหมมันบินอยู่ เราเอาลูกธนูไปยิงมันตกลงมา ตอนแรกมันยังไม่มีนะ มันจะเห็นนิมิตก่อน แล้วประมาณสักเดือน มันก็จะมีตุ่มแดงๆเกิดขึ้น เอาละ มันส่งมาละ ตุ่มแดงๆน้อยๆไม่ใหญ่ สมัยฉลองวิหารของวัดเรานี่แหละ ก็มีหมอมาด้วยก็เลยเปิดให้ดู มันเป็นตุ่มแดงแดงมีหนองด้วย หมอเขาก็จะให้ไปผ่าตัดเอาออกที่สวนดอก ช่วงนั้นก็ให้ยาแก้อักเสบแต่มันไม่หาย มันเป็นโรคกรรม หมอก็บอกว่าหาย จนกระทั่งหมอมาปลูกต้นไม้ ที่ข้างพระวิหารวัดเรา ก็เลยเปิดให้ดู ที่ขาซ้าย มันโตเท่าไข่เป็ดนี่แหละ ผมนั่งรับแขกผมก็ดึงจีวรปิดไว้ เพื่อไม่ให้โยมเห็น เพราะมันบวมขึ้นมา แดงขึ้นมาขนาดเท่าไข่เป็ด เปิดให้หมอดู หมอร้อง อู๊วว์.. นี่ขนาดบอกว่า ๘ วันหาย อย่างนี้ต้องไปขึ้นเขียงที่สวนดอกแล้ว นิมนต์ไปวันนี้เลยครับ ไม่ไปต้องอีก ๒-๓ วันก่อน รอเคลียร์งานให้เสร็จก่อน หมอบอกว่า..แล้วท่านจะอยู่อย่างไร ตั้ง ๓ วัน

พอเคลียร์งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ไป ไปก็ผ่ากัน แต่ผมก็จะดื้ออยู่ ดื้ออะไร? การผ่าตัดนี้ผมไม่ให้ใช้แอลกอฮอล์ไม่ให้ ฉีดยาชา ยาชาไม่ให้ฉีดแอลกอฮอล์ก็ไม่ให้ทา ให้หมอผ่าเลยมันเป็นโพรงข้างใน หนังข้างนอกมันตึงหุ้มอยู่ หมอก็ผ่าไม่ได้ จับมีดอยู่ชั่วโมงครึ่ง เดี๋ยวก็วางมีดที่ถาด เดี๋ยวก็จับขึ้นมา ไม่กล้า หมอบอกว่าถ้าไม่ฉีดยาชานี้ไม่เอา ผมก็เถียงกับหมอ ว่าลองดูนะ มันไกลหัวใจอยู่ หัวใจอยู่ตรงนี้แผลมันอยู่ตรงที่ขา (หัวเราะ).. มันอยู่คนละที่กันจะเป็นอะไรไป เราก็จะลองดูซิที่เราฝึกมามันจะได้ผลแค่ไหน หมอบอกว่าอย่าดูนะ นั่น..ไม่ให้อาตมาดูเสียด้วย..ถ้าท่านเห็นเลือดแล้วท่านจะช้อค ผ่าออกมาแล้วก้อนเกือบเท่ากำปั้นสองก้อน เลือดเต็มเลย แผลเป็นหลุมไปจนถึงเกือบกระดูก ก็เลยเย็บปิดแผลไว้ (หลวงปู่สนธิ์ ท่านถามว่าเป็นเพราะกรรมอะไรตอนนั้น).. หลวงปู่ตอบว่า เป็นเพราะกรรม ยิงไก่ป่า (ท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัด ถามว่าเจ็บไหมหลวงปู่ตอนที่ผ่า).. หลวงปู่ตอบว่า เราสามารถทำได้มันไม่เจ็บ หมอให้อยู่โรงพยาบาลอีก ๔ วัน ให้แผลมันปิดสนิทก่อนแล้วค่อยกลับ ๓๐ นาทีผมลุกได้ เปิดกลับวัดเลย (หัวเราะกันใหญ่ ).. ให้หมอที่แม่แตงนี้มาล้างแผลให้ ๔ วัน มันเปลืองค่าน้ำมันหมอ เลยเอายาไว้ ล้างเอาเองดีกว่า
(ปล. คำว่าผม..ท่านใช้กับหลวงปู่สนธ์..คำว่าเราท่านแทนตนเองกับคณะที่รับฟัง)

“ดูตัวเอง ฝึกฝนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง เรียกว่าดูที่ตัวเราก่อน ไม่ต้องไปดูคนอื่น ส่วนมากแล้วคนเรามักชอบโทษคนอื่นไม่ชอบโทษตัวเอง
มันเหมือนกับเรามองดูขนตาของเรา แต่มองเท่าไรก็มองไม่เห็น บอกไม่ถูกว่ามันมีกี่เส้น มันยาวขนาดไหน มันไม่เห็นอะไรเลย การที่เรามองดูตัวเองไม่เห็น เพราะเราขาดสติปัญญา”

โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญญวิเวก (บ้านปง)
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญญวิเวก (บ้านปง)

มรณภาพ

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ละสังขารอย่างสงบ เมื่อเวลา ๑๕.๐๓ น. ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ภายในกุฏิท่าน ณ วัดป่าอรัญญวิเวก บ้านปง ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ สิริอายุ ๘๔ ปี ๒ เดือน ๓๐ วัน พรรษา ๕๙

รูปหล่อ พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก บ้านปง
พระบรมสารีริกธาตุ วัดอรัญญวิเวก บ้านปง
อัฐิธาตุของท่าน พระอาจารย์เปลี่ยน ปญญาปทีโป