วันอังคาร, 26 พฤศจิกายน 2567

พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

ประวัติและปฏิปทา
พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม

วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี (บ้านต้าย)
อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม

ท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ ท่านถือเป็นพระป่านักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง ทำให้มีพุทธศาสนิกชนให้ความเคารพศรัทธามาเนิ่นนาน

พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี

◎ ชาติภูมิ
ท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม มีนามเดิมว่า คำก้อน น้อยพรหม เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๑ ตรงกับวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือนอ้าย (เดือน ๑) ปีมะโรง เวลา ๑๙.๐๐ นาฬิกา ณ บ้านดอนมนต์ ต.ดอนมนต์ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์

โยมบิดาชื่อ คุณพ่อทัศน์ น้อยพรหม โยมมารดาชื่อ คุณแม่อ่อน น้อยพรหม มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๑๐ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๕

การศึกษาเบื้องต้น
ในสมัยยังเด็ก พอเติบโตที่จะเข้ารับการศึกษาแล้ว โยมบิดา-โยมมารดาได้ส่งให้ท่านเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนบ้านนาลาว ต.ร่อนทอง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ในสมัยนั้นเด็กในหมู่บ้านดอนมนต์ ต้องเดินไปเรียนที่โรงเรียนบ้านนาลาว

การบรรพชา
ขณะนั้นอายุของท่านราว ๑๒-๑๓ ปี ท่านได้พบ พระอาจารย์บุญทัน ฐิตปุญฺโญ และหลวงพ่อนิล ญาณวีโร (บิดาของพระอาจารย์บุญยัง ผลญาโณ) ซึ่งครูบาอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นพระธุดงค์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตฺมหาเถระ ได้ธุดงค์มาพักบำเพ็ญภาวนาที่ปราสาทหินบ้านดอนมนต์ ส่วนโยมบิดาได้นำพระอาจารย์สุพัฒน์ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์ทั้งสอง เพื่อคอยรับใช้อุปัฏฐากติดตามท่าน

ครั้นพออายุของท่านครบ ๑๖ ปี ท่านพระอาจารย์บุญทัน ได้นำท่านไปบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดโยธาประสิทธิ์ ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ หลังจากบรรพชาแล้ว ท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ ก็ได้อยู่ศึกษาอบรมข้อวัตรปฏิบัติ อุปัฏฐากท่านพระอาจารย์บุญทัน และได้เรียนนักธรรมไปด้วยจนสามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท รวมเวลาที่ท่านอยู่กับท่านพระอาจารย์บุญทัน เป็นเวลา ๕ ปี ตลอดระยะเวลาที่ได้พักกับครูบาอาจารย์ท่านก็ได้ทำหน้าลูกศิษย์อย่างสมบูรณ์ไม่ขาดตกบกพร่อง มีการตักน้ำใช้น้ำฉัน ปัดกวาดเช็ดถูกุฏิ สรงน้ำ นวดขา เป็นต้น

การอุปสมบท
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ อายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ณ พัทธสีมาวัดหลวงสุมังคลาราม ต.เมืองใต้ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ โดยมี พระครูสิริสารคุณ (อิ่ม) เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระสมุห์สาย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “สุขกาโม” ซึ่งแปลว่า “ผู้ใคร่ความสุข

ครั้นอุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้ไปศึกษาข้อวัตร ปฏิบัติธรรมในสำนักครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ อาทิเช่น พระอาจารย์บุญทัน ฐิตปุญฺโญ , หลวงพ่อนิล ญาณวีโร , หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร, หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี และ หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร เป็นต้น

พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม ปี พ.ศ.๒๕๑๘
วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี ปัจจุบัน

ลำดับการจำพรรษา
พรรษาที่ ๑ พ.ศ.๒๔๙๒ จำพรรษา ณ วัดมหาวัลย์ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น

พรรษาที่ ๒ พ.ศ.๒๔๙๓ จำพรรษา ณ วัดวีระธรรม บ้านอุ่มเหม้า ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จ.สกลนคร

พรรษาที่ ๓-๔ พ.ศ.๒๔๙๔-๒๔๙๕ จำพรรษา ณ วัดป่าภูธรพิทักษ์ บ้านธาตุนาเวง ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร

พรรษาที่ ๕ พ.ศ.๒๔๙๖ จำพรรษา ณ วัดวิเวกพัฒนาราม บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

พรรษาที่ ๖ พ.ศ.๒๔๙๗ จำพรรษา ณ วัดป่าภูธรพิทักษ์ บ้านธาตุนาเวง ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร

พรรษาที่ ๗ พ.ศ.๒๔๙๘ จำพรรษา ณ วัดวิเวกพัฒนาราม บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

พรรษาที่ ๘-๑๒ พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๐๓ จำพรรษา ณ วัดพิชัยพัฒนาราม (วัดเขาน้อยสามผาน) ต.สองพี่น้อง อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี

พรรษาที่ ๑๓-๑๔ พ.ศ.๒๕๐๔-๒๕๐๕ จำพรรษา ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

พรรษาที่ ๑๕-๑๗ พ.ศ.๒๕๐๖-๒๕๐๘ จำพรรษา ณ วัดถ้ำกลองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

พรรษาที่ ๑๘ พ.ศ.๒๕๐๘ จำพรรษา ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร

พรรษาที่ ๑๙-๒๐ พ.ศ.๒๕๑๐-๒๕๑๑ จำพรรษา ณ วัดประสิทธิ์สามัคคี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

พรรษาที่ ๒๑ พ.ศ.๒๕๑๒ จำพรรษา ณ วัดแสงอรุณ อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย

พรรษาที่ ๒๒-๒๔ พ.ศ.๒๕๑๓-๒๕๑๕ จำพรรษา ณ วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

พรรษาที่ ๒๕ พ.ศ.๒๕๑๖ จำพรรษา ณ วัดแสงอรุณ อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย

พรรษาที่ ๒๖-๓๑ พ.ศ.๒๕๑๗-๒๕๒๒ จำพรรษา ณ วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี ต.บ้านต้าย อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

การมรณภาพ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๓ เครื่องบินโดยสารของบริษัทเดินอากาศไทย ประสบอุบัติเหตุตกที่ ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มีผู้โดยสารเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีพระอริยสงฆ์ถึงแก่มรณภาพ ๕ รูป ได้แก่
๑. หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม วัดป่าสิริสาลวัน อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี
๒. พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตุตโม) วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
๓. ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคิรีวิหาร (วัดภูทอก) ต.นาแสง อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย (ปัจจุบัน คือ จ.บึงกาฬ)
๔. ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้วชุมพล ต.บ้านชุม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
๕. ท่านพระอาจารย์ สุพัฒน์ สุขกาโม วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี
พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี

ครั้นเมื่อเครื่องบินมาถึงท้องนาทุ่งรังสิต เขตหมู่ที่ ๔ ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เหลือระยะทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตรเศษ เครื่องบินได้ตั้งลำและลดเพดานบินเพื่อเตรียมลงสู่สนาม แต่เนื่องจากเครื่องบินได้ประสบพายุหมุนและประกอบกับฝนตกหนัก จึงเสียหลักตกลงที่ท้องนาทุ่งรังสิต มีผู้โดยสารเสียชีวิตจำนวนมาก รวมทั้งพระสงฆ์ทั้ง ๕ รูป ท่ามกลางความเศร้าสลดอาลัยของคณะสงฆ์ เพื่อนสหธรรมิก คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไปเป็นยิ่งนัก ที่ต้องสูญเสียครูบาอาจารย์พระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต ไปพร้อมกันทีเดียวถึง ๕ รูปด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นการสูญเสียของวงการสงฆ์ครั้งใหญ่มากอีกครั้งหนึ่งของเมืองไทย

ผู้โดยสารที่รอดชีวิตเป็นผู้ที่นั่งทางส่วนหางของเครื่องบิน เพราะส่วนหางของเครื่องบินยังอยู่ในสภาพดี เมื่อพระอาจารย์สุพัฒน์และคณะได้ถึงแก่มรณภาพแล้ว มีการนำศพไปตกแต่งบาดแผลที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช แล้วนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุ วรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพฯ โดยอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ทั้ง ๗ วัน วันแรกพระราชทานหีบทองทึบ วันต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ รับสั่งให้เปลี่ยนใหม่เพราะทรงเห็นว่าไม่สวยงาม จึงได้เปลี่ยนเป็นหีบลายทอง

หลังจาก ๗ วันแล้ว ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๓ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ทรงเป็นเจ้าภาพ และในวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๓ คณะรัฐบาลซึ่งมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะศิษยานุศิษย์ของพระคณาจารย์ที่มรณภาพดังกล่าวซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพ นับว่าเป็นเกียรติประวัติแก่พระอาจารย์สุพัฒน์และคณะที่จากไปอย่างยิ่งยวด ยังความปลื้มปิติยินดีแก่ญาติพี่น้อง เพื่อนสหธรรมิก คณะศิษยานุศิษย์ และผู้ที่เคารพนับถือของพระอาจารย์สุพัฒน์และคณะอย่างหาที่สุดมิได้

เมื่อครบกำหนดการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายที่วัดพระศรีมหาธาตุ วรมหาวิหาร เขตบางเขน แล้วก็ได้อัญเชิญศพพระอาจารย์สุพัฒน์และพระคณาจารย์อื่นๆ อีกจำนวน ๔ รูป กลับไปสู่ยังวัดเดิมของแต่ละท่าน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หัวหน้าแผนกพระราชพิธีเป็นผู้ดูแลโดยตลอด

สำหรับรถยนต์ที่เชิญศพพระคณาจารย์ต่างๆ คุณหมอปัญญา ส่งสัมพันธ์ แห่งโรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เป็นผู้จัดหา และได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลต่างๆ เป็นอย่างดียิ่ง

ต่อมาเมื่อวันพุธที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๓ เวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกา ขบวนรถเชิญศพได้เคลื่อนออกจากวัดพระศรีมหาธาตุ วรมหาวิหาร เขตบางเขน โดยมีรถตำรวจทางหลวงนำขบวน ถัดมาเป็นรถหลวง, รถพระอาจารย์สมชาย ฐิติวิริโย และรถเชิญศพพระอาจารย์สุพัฒน์และคณะ ตามลำดับ เมื่อเวลาประมาณ ๐๗.๐๐ นาฬิกาเศษ ขบวนรถเชิญศพได้มาถึงยังจังหวัดนครราชสีมา มีคณะพระภิกษุ-สามเณรโดยการนำของ พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระชินวงศาจารย์ และ พระเทพสุทธาจารย์ (หลวงปู่โชติ คุณสมฺปนฺโน) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูคุณสารสัมปัน พร้อมด้วยคณะอุบาสก-อุบาสิกา ได้นำข้าวห่อมาต้อนรับคณะเชิญศพและมาเคารพศพกันเป็นจำนวนมาก

หลังจากพระฉันอาหารและเจ้าหน้าที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ขบวนรถเชิญศพได้ออกเดินทางต่อไปถึงวัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี เมื่อเวลา ๑๒.๓๐ นาฬิกา ทางวัดโพธิสมภรณ์และชาวอุดรธานีได้จัดต้อนรับเป็นอย่างดี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีได้นำประชาชนหลายจังหวัดมารอเคารพศพ ซึ่งแล้วเสร็จเวลาประมาณ ๑๔.๐๐ นาฬิกาเศษ รถเชิญศพจึงได้แยกย้ายกันไปยังวัดต่างๆ สำหรับศพพระอาจารย์สุพัฒน์ก็ได้ไปถึงวัดป่าประสิทธิ์สามัคคี นับว่าการเชิญศพถึงวัดได้รับความสะดวกสบายปลอดภัยทุกประการ

พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม ได้มรณภาพเมื่อสิริรวมอายุได้ ๕๑ ปี พรรษา ๓๑

ท่ามกลางความเศร้าสลดอาลัยของคณะสงฆ์ เพื่อนสหธรรมิก คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไปเป็นยิ่งนัก ที่ต้องสูญเสียครูบาอาจารย์พระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ไปพร้อมกันทีเดียวถึง ๕ รูปด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นการสูญเสียของวงการสงฆ์ครั้งใหญ่มากอีกครั้งหนึ่งของเมืองไทย

เจดีย์ พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี
รูปเหมือน พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี
อัฐิธาตุ พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี
อัฐิธาตุ พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม วัดป่าประสิทธิ์สามัคคี

สำหรับ พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กอปรด้วยศีลและธรรม มีศีลาจาริยวัตรที่งดงาม เมื่อท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ส่วนตนได้แล้ว ท่านก็ได้ออกมาบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่บวรพระพุทธศาสนา และสังคมส่วนรวม มีการเทศนาอบรมสั่งสอนพระภิกษุ สามเณร อบรมศีลธรรมแก่ญาติโยม อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ให้รู้จักการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เป็นคนดีมีศีลธรรมประจำจิตใจ ตลอดจนสอนให้รู้จักการให้ทาน คือ การทำบุญสร้างกุศล มีการทำบุญตักบาตร เสียสละวัตถุสิ่งของ เงินทองต่างๆ แก่พระสงฆ์หรือบุคคลอื่น สอนให้รู้จักการรักษาศีล คือ การรักษากาย วาจา ของตนเองให้เรียบร้อย ไม่เบียดเบียนกัน ให้มีเมตตาต่อกันและกัน รวมทั้งอบรมหลักของการภาวนา คือ การรักษาจิตใจของตนเองให้สงบเป็นเป็นหนึ่งเดียว ไม่ให้คิดในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ทำจิตใจให้ผ่องใส เป็นต้น

พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
(จากซ้าย) พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโร
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
(จากซ้าย) พระอาจารย์จวน กุลเชฎฺโฐ
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม

หลวงปู่หลุย จันทสาโร เมตตาเล่าถึงบุพกรรมที่ทำให้ครูบาอาจารย์ทั้ง ๕ รูป ต้องเครื่องบินตก

ในอดีตชาติที่นานเนมาแล้ว ท่านทั้ง ๕ (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม และ พระอาจารย์สุพัฒ สุขกาโ) เกิดในสกุลชาวนาที่ยากจน ต้องขวนขวายหาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ทั้งห้าคนเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันมา เมื่อยังเด็กได้จูงควายออกไปเลี้ยงพร้อมกัน ผูกควายกันแล้วก็พากันเล่นและออกหากบเขียดไปเป็นอาหารประสาจน

ทีนี้ ๑ ใน ๕ เกิดไปเห็นรังนกเข้า ก็ช่วยกันหาไม้เขี่ยรังนกให้ตกลงมาเพื่อหวังเอาไข่นกไปกิน แต่เมื่อรังนกตกลงมากลับกลายเป็นลูกนก ๓ ตัวแล้วตายสิ้น ไม่ใช่ไข่นกดังที่เข้าใจ ด้วยวิบากกรรมอันนี้ส่งผลให้ท่านทั้ง ๕ ต้องตกจากที่สูงมามรณภาพ ในเครื่องบินลำนั้นมีคุณหญิงท่านหนึ่งกลับจากไปปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์จวนมาด้วย ท่านเลยมาสิ้นชีวิตพร้อมกัน

ในอดีต ขณะที่เด็กชายทั้ง ๕ กำลังเขี่ยรังนกอยู่นั้น เด็กหญิงลูกชาวนาผู้เป็นน้องสาวของ ๑ ใน ๕ คนก็มายืนเชียร์อยู่ข้างๆ “จะหล่นแล้ว…จะหล่นแล้ว” โดยเธอไม่ได้ลงมือทำ เด็กหญิงในภพนั้นคือคุณหญิงในภพนี้ ก็เพียงมีจิตคิดยินดีในการประกอบอกุศลกรรมของผู้อื่น วิบากนั้นยังส่งผลมาให้เกิดในภพชาติเดียวกัน บันดาลให้ไปตกเครื่องบินพร้อมกัน แล้วถ้าทำเองเล่า

ถึงตรงนี้ หลวงปู่หลุยก็สั่งว่า อย่าไปยินดีในการทำชั่วของคนอื่น เพราะเราจะมีส่วนในบาปนั้นด้วย แต่ให้ยินดีในการประกอบคุณงามความดีของตนและของคนอื่น เพราะจะได้แต่บุญโดยฝ่ายเดียว

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เทศนาธรรมเมื่อเช้าวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๒ ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
ท่านอุปคุตฝันไม่ดี

ท่านสุพัฒน์ก็ตกเครื่องบินตาย ท่านสิงห์ทองก็ตกเครื่องบินนะ ท่านสิงห์ทองนี้อัฐิกลายเป็นพระธาตุนะ ท่านจวนอัฐิก็กลายเป็นพระธาตุเหมือนกัน นี่บ่งบอกแล้ว จะตายด้วยกันกี่คนที่ตกเครื่องบินตายด้วยกัน แล้วแยกออกมาแล้วมีที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุเพียงสองราย คือ ท่านจวน-ท่านสิงห์ทอง นี่บ่งบอกแล้ว อัฐิลงได้กลายเป็นพระธาตุแล้ว คือเป็นพระอรหันต์ล้วนๆ ตกเครื่องบินตอนนู้นมีสององค์นะ (ที่อัฐิเป็นพระธาตุ) หมดไปๆ ละวงกรรมฐานเรา ผู้นำที่ดีงามนะหมดไป การแนะนำสั่งสอนผู้สอนต้องแม่นยำ ความรู้ในขั้นไหนก็สอนไปถึงขั้นนั้น เลยนั้นไปก็ไม่แน่นัก ลูบๆ คลำๆ ถ้าอยู่ในภูมิธรรมที่เจ้าของรู้แล้ว สอนไปตรงไหนถูกต้องไปตรงนั้น ท่านสิงห์ทองก็อัฐิกลายเป็นพระธาตุ ท่านจวนก็เหมือนกัน มีอยู่สององค์ ท่านจวนตกเครื่องบิน ท่านสิงห์ทองตกเครื่องบิน อัฐิกลายเป็นพระธาตุสององค์

ตกเครื่องบินไปงานอะไรไม่รู้ ท่านอุปคุตท่านฝันแม่นยำมากนะ ที่ท่านจะไปตายคราวนี้ ไปเกาะไหนก็พัง คือท่านฝันกลางคืนนี้จนตื่นเต้นตกใจเสียใจ ทำไมถึงฝันร้ายขนาดนี้ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ไม่เคยฝันอย่างนี้เลย ฝันร้ายกาจไม่มีชิ้นดีเลย ท่านว่าอย่างนั้น แล้วเขามานิมนต์ให้ไปในงานนี้ละ แล้วกันกับความฝันมันเข้ากันได้แล้ว ไม่ใช่จะเอาเราไปตกเครื่องบินตายเหรอ ท่านพูดอย่างนั้นเลย ท่านเลยหาที่เกาะ ไปนิมนต์อาจารย์สิงห์ทอง ถ้าท่านสิงห์ทองไปเราถึงจะไป เกาะตรงนั้นนะ ถ้าท่านไม่ไปเราก็ไม่ไป เขาไปนิมนต์ท่านสิงห์ทอง ท่านสิงห์ทองรับเขาแล้วก็พังไปเลย ถ้าหากว่าท่านสิงห์ทองไม่ไปท่านจะไม่ไป ชีวิตท่านก็จะยังอยู่ เลยตายในระยะนั้นละ

ท่านฝันแปลกประหลาดมาก พอตื่นขึ้นมานี้ดูอาการโศกเศร้าเหงาหงอย มันฝันร้ายเหลือเกิน ท่านว่าอย่างนั้นนะ แต่ท่านไม่พูดเรื่องฝันร้ายว่าเป็นอย่างไรๆ แต่มันฝันร้ายไม่มีชิ้นดีเลย ท่านบอกอย่างนั้น มีแต่ล้มพังทั้งนั้น พอดีเขาก็มานิมนต์ ท่านก็ไปเกาะท่านสิงห์ทอง ท่านสิงห์ทองไปเราก็จะไป พอดีไปนิมนต์ท่านสิงห์ทอง ท่านก็รับเขา เรียกว่าเกาะแล้วพังเลย ตายด้วยกันทั้งสอง ท่านอุปคุตนี่สำคัญ ท่านฝันไม่ดีเลยท่านว่า เขามานิมนต์โดยลำพังท่าน ท่านจะไม่รับท่านบอก ทีนี้เพราะความเคารพกันเกี่ยวกับท่านสิงห์ทอง ท่านรับ แล้วท่านเลยต้องรับไปด้วย แล้วก็ไปตายด้วยกัน

หมายเหตุ : หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ตั้งฉายาประจำตัวให้ พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม ว่า “ท่านอุปคุต” เนื่องด้วยมีครั้งหนึ่งในงานครูบาอาจารย์ พระอาจารย์สุพัฒน์ท่านได้นั่งภาวนาฟังธรรมแล้วเกิดสัปปะหงกล้มลง จนส่งเสียงดัง แล้วมีคนเห็นเหตุการณ์อยู่พอสมควร แต่ท่านก็รีบลุกขึ้นนั่งหลับตาฟังธรรมต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงถูกองค์หลวงตามหาบัวนำมายกเป็นเหตุเตือนหมู่คณะ และให้ฉายาแก่ลูกศิษย์ของท่านองค์นี้ใหม่ว่า “ท่านอุปคุตปราบมาร” เพื่อเตือนสติให้ท่านสำรวมระวังและตั้งใจภาวนาด้วยความมีสติ

ที่มา : ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน