ตำนานพระผงท่าดอกแก้ว (ผงโสฬสมหาพรหม)
เรื่องพระพิมพ์วัดป่า ท่าดอกแก้ว
โดย คุณปถม อาจสาคร
ครั้นลุปี พ.ศ. 2493 ทางราชการมีคำสั่งแต่งตั้งให้ข้าพเจ้าไปดำรงตำแหน่งสหกรณ์อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ไม่มีอะไรจะทําใจมันว้าเหว่ ก็มาคิดได้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2486 ได้เคยสร้างพระผงจํานวนหนึ่งถวายให้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ผู้อุปัชฌายะอธิษฐานจิตไว้จํานวนหนึ่ง และได้แจกหมดไปแล้วเมื่อครั้งอยู่ชลบุรี ดำริเช่นนั้นจึงค้นได้พระพิมพ์จังหวัดสุโขทัยพิมพ์ หนึ่ง มาเป็นต้นแบบ
ข้าพเจ้าคิดจะสร้างเป็นพระพิมพ์ขนาดเล็กเนื้อดินเผา เพราะง่ายสะดวกและลงทุนไม่มาก พระคณาจารย์นั้นมีอยู่แต่ท่านสร้างพระกันไม่เป็น หากเราไม่เป็นอีกคนพระของดีย่อมไม่อุบัติขึ้น คนทั้งหลายชอบพูดกันว่าพระรุ่นนั้นรุ่นนี้อาจารย์นั้นสร้าง ล้วนเป็นการเข้าใจผิดทั้งสิ้น ส่วนมากท่านมิได้สร้างขึ้นเอง ต้องมีบารมีประกอบ คือมีผู้จัดสร้างให้ท่านเสก บางวัดลบผงวิเศษได้แต่สร้างพระไม่เป็น บางวัด มีฝีมือทางช่างแต่เสกไม่เป็น
ฉะนั้นจึงต้องประกอบกันจึงจะเป็นผลสําเร็จ มีอยู่น้อยรายที่สร้างเองเสกเอง ที่มากก็คือควักเงินซื้อเองมันง่ายดี สร้างพระต้องประกอบด้วยบารมี พอฟังได้ไม่นานก็พอจะสืบทราบได้ว่า ยอดพระเกจิอาจารย์ท่านหนึ่ง อายุพรรษาแก่กว่าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เป็นคนกําเนิดจากตําบลท่าอุเทน ชาวไทยย้อ บวชเรียนมาแต่อายุเยาว์วัย บรรพชาเป็นสามเณรอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ไปแสวงหาวิชาความรู้ทางวิปัสสนากรรมฐานยังประเทศลาว ยังไม่สิ้นกิเลสสาสิกขาบทมาครองชีวิตเราวาส จะมีบุตรหรือไม่ มิได้สอบสวนชัดแจ้ง บรรดาศรัทธาพากันอุดหนุนทรัพย์สินเงินทองเป็นทุนรอน ด้วยใจยังมีนิสสัยทางพระ อ่อนต่อทางโลก ค้าไปก็ขาดทุนจนสิ้นเนื้อประดาตัว เขาต่อเท่าไรก็ให้ เขาถามทุนก็ไม่โกหก เขาไม่มีเงินก็ให้ฟรี เช่นนี้เรียกว่า”เจ๊ง” ญาติธรรมอุดหนุนอีก แต่มีขอแม้ว่า หากถึงครั้งที่ 3 ยังตั้งตัวไม่ได้ก็ขอให้กลับไปบวชแล้วห้ามสึก ท่านก็รับคํา เจ๊งตามเคย เพราะวาสนาบารมีท่านจะต้องบรรลุธรรม พออายุได้มัชฉิมวัย คือ วัยกลางคน ท่านบรรลุอภิญญา ได้พระบรมสารีริกธาตุมาส่วนหนึ่ง นํามาสร้างพระธาตุ ที่อําเภอท่าอุเทน สูงใหญ่มากพอสมควร
เมื่อข้าพเจ้าไปพบเห็น ได้ความว่าสร้างไว้ได้ประมาณ 40 ปีแล้ว ประมาณปี 2453 ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 และทําการอบรมสานุศิษย์ในด้านพระบาลีมูลกัจจายน์ วิปัสสนากรรมฐาน ศิษย์ที่หลงเหลืออยู่ คือ หลวงปู่สนธิ์ วัดท่าดอกแก้ว พระอาจารย์ตา วัดใต้ พระอาจารย์องค์ที่กล่าว คือ หลวงพ่อสีทัตต์ (พระอาจารย์สีทัตต์ สุวรรณมาโจ)
ในการสร้างพระธาตุเจดียในครั้งกระนั้น นอกจากบรรจุพระบรมธาตุแล้ว แน่นอน จะต้องมีการบรรจุพระพิมพ์อีกด้วย เพราะองค์พระธาตุใหญ่โตมาก เรียนให้ทราบแล้วว่าเสกเก่งแต่สร้างไม่เก่ง รอมาถึงสมัยสงครามอินโดจีน พระพิมพ์ก็ค่อยๆสาปสูญจนหาดูได้ยาก องค์พระหักเปื่อยยุ่ย เพราะไม่มีการประสานตัวที่ดีพอที่เหลือแค่เศษผงก็ยังมี
ท่านอาจารย์ตา เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พอเสียงหวอแสดง สัญญาภัยทางอากาศ ชาวบ้านถึงกับแย่งเศษผงโรยศรีษะกัน โรยไปโรยมาของก็ยิ่งหมดจนแทบจะไม่มีเหลือ ข้าพเจ้าจึงปรารภถึงการจะสร้างพระพิมพ์ขนาดเล็กขึ้น ใครๆก็โมทนาสาธุ เพราะเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ทรงภูมิธรรมหนึ่งของอําเภอท่าอุเทน มีพระอุปัชฌาย์ถึงชั้นสมเด็จ ท่านอาจารย์วัดใต้ขันอาสาลบผงวิเศษ ชาวบ้านชาวเมืองต่างค้นหาคัมภีร์และสมุดข่อยที่ชํารุดใช้การไม่ได้ และที่จารึกเป็นคาถาอาคมก็มีมาก
จึงกับการรวบรวมเผาเป็นสนุก ครั้นแล้วจึงไปหาดินที่ตําบลบ้านกลางซึ่งเป็นดินเนื้อดีชาวบ้านใช้เผาทําตุ่ม ในนากุลีการกับผงวิเศษและผงใบลานเผาจัดพิมพ์ที่เป็นองค์พระ ฝ่ายเฒ่าเคนซึ่งชํานาญในการสร้างเตาเผาก็ช่วยเหลือในการสร้างเตาเผา หาฟืนมาสุมเพื่อที่จะให้องค์พระสุก เผาอยู่ 2 วัน 2 คืนพระยังคงอยู่ในสภาพเดิม จึงไปเผาที่เตาใหญ่ใช้ในการเผาตุ่มไห ปกติใช้เวลาครึ่งชั่วโมงไฟติด แต่คราวนี้ต้อง ใช้เวลาถึง 2 วัน 2 คืนไฟจึงติด และตุ่มไหเสียทั้งเตา ไม่เคยปรากฎการณ์มาก่อน ชาวบ้านพากันตั้ง ฉายานามว่า “พระกินไห” เพราะไหเขาเบี้ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ การเผาใช้ความร้อนกว่า 2,000 องศาเซลเซียส เนื้อแกร่งระดับพระรอดเชียว กันการละลายน้ํา ได้พระประมาณ 5,000 องค์
เดินทางกลับชลบุรี ถวายหลวงพ่อเอี้ยง สมัยยังทรงสมณศักดิ์เป็น พระครูวรพรตศีลขันธ์ บอกให้ท่านช่วยอธิษฐานจิต หรือปลุกเสกให้ด้วย ท่านอาจารย์ก็ยินนำพระพิมพ์เข้าห้องเสกทุกคืนได้ 2 ปี และนําเข้าพิธีในวัดบวรนิเวศน์มหาวิหาร ท่านถวายทระนามพระพิมพ์ชุดนี้ว่า “พระเม็ดแตงวัดป่า” ไม่ใช่พระเนื้อคลุกรักที่นิยมกัน ก็แจกกนชั้นต่ำก่อน แจกคนชั้นตําแหละที่มีประสบการณ์ แจกคนชั้นสูงก็เก็บไว้เฉยๆ พวกสามล้อไปขอรับแจกเป็นคณะแรก เอาไปดื่มเหล้าดื่มเบียร์พระท่านเกิดเฮี้ยนถึงขนาดฆ่าแกงกัน ตีกันเละ จนขวดเบียร์แตกละเอียด บ้างทุบปลายขวดเป็นปากฉลามกะเสียบให้ตาย ตีกันจนเหนื่อยล้าร้านพัง ไม่ระคายผิว ยิ่งแห่ไปขอแจกกันใหญ่ และพากันเรียกว่า รุ่นสามล้อ ต่อมาทางวัดจ้างคนมาถางหน้าทําความสะอาด อากาศกําลังร้อนพูดผิดหูกันขึ้นมาเกิดผิดใจกัน หลังจากเลิกงานต่างก็พากันไปกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อแจกพระคนละองค์ คราวนี้ได้ผล คนงานผู้หนึ่งใช้มีดดายหญ้าจ้วงฟันเพื่อนเต็มเหนี่ยว ฟันๆๆจนเสื้อผ้าขาดยับเยินกะเอาให้ตาย ไม่ระคายผิว คนถูกฟันพอตกกลางคืน ย่องไปที่บ้านคู่อริเจอหน้ากันยิงด้วยปืนถึง 7 นัด ไม่ออก ทีนี้พากันมาขอบูชาทางวัดจะคิดราคาเท่าไรไม่เกี่ยง หลวงพ่อก็บอกว่า เจ้าของพระไม่ได้อนุญาติทำไม่ได้ นี่ก็ละเมิดสิทธิ์แจกไปมากมายแล้ว โดยถือว่าเขาเป็นศิษย์คงไม่ว่ากระไร และงดแจก เพราะเจ้าของพระยังไม่ได้รับของเลย เมื่อข้าพเจ้าไปนมัสการ อาจารย์ท่านมอบพระพิมพ์ที่เหลือให้ เหลือจํานวนพระพิมพ์ 500 องค์ จาก 5,000 องค์ ข้าพเจ้าก็ยินดี แต่มาคํานึงว่าพระรุ่นนี้เฮี้ยนนัก ท่านอาจารย์แฟ้ม รองเจ้าอาวาส ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระวรพรตปัญญาจารย์ แทนหลวงพ่อ เชี่ยวชาญทางด้านโหราศาสตร์เคยบอกว่า การที่ข้าพเจ้าสร้างพระพิมพ์ฤกษ์ยามไม่เหมาะ เป็นนักเลงเกเร เมตตาที่หลวงพ่อบรรจุลงไปยังแพ้อำนาจดวงดาว
ข้าพเจ้ามันชอบบู๊อยู่แล้วไม่ว่ากระไร ไม่เฮี้ยน ไฉนจะมีชื่อเล่า เมื่อข้าพเจ้ากลับถึงอําเภอท่าอุเทน จึงนำพระพิมพ์ถวายหลวงพ่อสนธิ์เสกต่ออีก 1 ไตร มาส หลวงพ่อสนธิ์ยินดีมาก บอกว่าทุกวันทําการเสกตั้งแต่เช้าถึงเย็น เพียงพักฉันอาหารเท่านั้น ปิดกุฏิไม่ยอมรับแขกใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นในหลวงเสด็จ เมื่อไปรับพระท่านบอกว่าพระนี้เดิมทีก็ดีอยู่เก่งคล้ายตะกรุด อาจารย์แรกเสกด้วยมงคลโสฬสและสัมพุทธหงษาเป็นส่วนใหญ่ ส่วนหลวงพ่อเสกด้วยนวโกตรธรรม คราวนี้เมตตาเยี่ยมยอด (โอ้โห้ตรวจไปตรวจมา เมตตากว่าผงอิทธิเจล้วนเสียอีก) เมื่อไปนมัสการหลวงพ่อวัดป่าแล้วเรียนให้ท่านทราบ หลวงพ่อถึงกับผงะ ประสบการณ์บรรยายไม่ไหวเท่ากับเขียนเรื่อง อายุพระพิมพ์นับถึงปัจจุบัน 46 ปี ของกําลังจะหมดแล้วเหลือไม่กี่องค์เลี่ยมใช้ไม่ต้องหุ้มพลาสติก